ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
27-11-2024, 15:50
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ชายคาพักใจ  |  คิดต่างมุม (เอาใจเขามาใส่ใจเรา) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
คิดต่างมุม (เอาใจเขามาใส่ใจเรา)  (อ่าน 2975 ครั้ง)
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« เมื่อ: 11-09-2006, 13:12 »

ได้ forwarded mail มาค่ะ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง
ยังไงก็ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ทั้งเจ้าของเรื่องและผู้ที่ส่งมาให้ได้อ่าน  Razz

                            เปลี่ยนมุมมอง

เคยคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ส่งลูกสาวไปเรียนต่างประเทศ ฟังหลักสูตรการเรียนการสอนแล้วน่า
อิจฉาริษยาเป็นยิ่งนัก เขาเล่าให้ฟังถึงวิธีการสอนเด็กแบบให้รู้จัก "คิด" แทนที่จะให้ "จำ"
เพียงอย่างเดียว

ตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ ครูให้นักเรียนเขียนจดหมายถึงแม่ สมมุติสถานการณ์ว่า ถ้า
นักเรียนจะขอย้ายไปอยู่กับแฟน เราจะให้เหตุผลกับแม่อย่างไร แม่จึงจะยอมรับ ให้เรียบเรียง
เป็นจดหมายส่งในวันรุ่งขึ้น

พอวันรุ่งขึ้น ครูจะสร้างสถานการณ์ใหม่ สมมุติให้เด็กนักเรียนเป็นแม่ คราวนี้ให้เขียนจดหมาย
ถึงลูกที่ขอย้ายไปอยู่กับแฟน เราจะให้เหตุผลคัดค้านลูกอย่างไร ผมไม่รู้ว่าครูสรุปเรื่องนี้ต่อไป
อย่างไร แต่ฟังเท่านี้ก็อึ้งแล้ว
 
นี่คือ การสอนแบบไม่ต้องสอน สอนให้นักเรียนรู้จักคิดเอง และสอนให้รู้จักคิดต่างมุม ไม่ต้อง
มาสอนให้นักเรียนท่องจำว่าวัยนี้เป็นวัยเรียน อย่าริรักในวัยเรียนนะ แต่ใช้วิธีให้นักเรียนรู้จักคิด
ต่างมุม   

เริ่มจากการคิดจากมุมของตัวเรา และไม่ใช่คิดด้วย "ความรู้สึก" แต่คิดแบบมีเหตุผล พอคิด
จากมุมมองของตัวนักเรียนเสร็จ ก็เปลี่ยนองศาใหม่ เปลี่ยนมุมใหม่ ลองคิดจากมุมของคนที่
เป็นแม่ดูบ้าง


ทุกคนคงยอมรับว่าคงยากที่แม่คนไหนจะเห็นด้วยกับลูกที่เรียนแค่ระดับ "ไฮสกูล" จะย้ายไป
อยู่กับแฟน เมื่อแม่ทุกคนคิดเหมือนกันก็แสดงว่าแม่ต้องมีเหตุผลของแม่ จดหมายที่ให้นักเรียน
เขียนจึงเริ่มต้นด้วย "จุดยืน" ที่เหมือนกัน คือ "ไม่เห็นด้วย" อะไรคือเหตุผลของคนที่เป็นแม่

ไม่บอก แต่ให้คิดเอง ลองคิดแบบเข้าใจคนเป็นแม่ และเรียบเรียงเหตุผลออกมา ผมเชื่อว่า
เมื่อนักเรียนถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องคิดแบบ "แม่" เขาจะเข้าใจ "แม่" มากขึ้น เข้าใจ
มุมมอง เข้าใจเหตุผลของคนที่เป็น "แม่" อาจไม่ครบร้อย แต่เข้าใจมากขึ้นอย่างแน่นอน

การสอนให้ "คิดต่างมุม" จะทำให้เขาเข้าใจคนอื่นดียิ่งขึ้น
และติดแน่นทนนานกว่าการสอน
แบบท่องจำ เพราะท่องจำนั้นอาจพูดได้ แต่ไม่เข้าใจ ส่วนการคิดต่างมุมนั้นท่องไม่ได้แต่
จดจำนาน   

ผมชอบที่ครูใช้การเขียนจดหมายแทนการพูด เพราะการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดที่ดีที่สุด
ผมใช้วิธีนี้เป็นประจำ เวลาเจอน้องๆ ที่มีอาการสับสนทางจิต คิดไม่ออกว่าจะเลือกทางไหนดี
ผมจะเสนอให้ใช้วิธีการเขียน แยกแยะเหตุผลเป็นข้อๆ ข้อดีมีอะไรบ้าง ข้อเสียมีอะไรบ้าง

เหตุผลที่เสนอให้ใช้วิธีการเขียนมีอยู่ 2 ข้อ

ข้อแรก เป็นการยืดเวลาให้กับตัวเราเอง คิดไม่ออกแต่ดู "เท่" ยืดเวลาได้ตั้งหลายวัน

ข้อที่สอง ผมเชื่อว่าการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบได้ดีที่สุด
พอบังคับตัวเอง
ว่าต้องเขียน ความคิดที่กระเจิดกระเจิงจะเริ่มเป็นระบบ "เหตุผล" เวลาอยู่ในสมองจะมีนิสัย
เหมือนเด็กช่างกล ชอบยกพวกตีกันเป็นประจำ แต่การเขียนเหมือนการเป่านกหวีดจัดระเบียบ
"เหตุผล" จาก "สมอง" สู่ "แขน" ไป "มือ" พอเรียงร้อยเป็นตัวอักษร มันผ่านกระบวนการ
กลั่นกรองมากมาย "เหตุผล" ที่ยกพวกตีกัน พอเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ บางทีเราจะตกใจ
ที่คิดว่ามีกันมากมายหลายสิบหลายร้อย แต่จริงๆ มีแค่ไม่กี่ข้อ จากนั้นก็ตัดสินใจไม่ยากว่าควร
เลือกหนทางใดดีกว่ากัน

การรู้จักเปลี่ยนมุมความคิดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะการเข้าใจคนอื่นจะทำให้เรามี
มุมมองที่หลากหลายขึ้น ไม่ตัดสินอะไรจากมุมมองของเราเพียงด้านเดียว

 
ในเชิงการตลาด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในอดีต ผู้ผลิตสินค้าชอบคิดแบบ "สินค้า" เป็นใหญ่
ไม่สนใจว่าผู้บริโภคต้องการอะไร เชื่อว่าถ้าผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพแล้ว ผู้บริโภคต้องซื้อ
แต่วันนี้ต้องเปลี่ยนมุมคิดใหม่ ต้องเริ่มต้นจากผู้บริโภคต้องการอะไร แล้วจึงผลิตสินค้ามาตอบ
สนองความต้องการของผู้บริโภค เป็นวิธีคิดแบบ "ผู้บริโภค" เป็นใหญ่


วันนี้ต้องคิดแบบ "OUTSIDE IN" ไม่ใช่ "INSIDE OUT" ก็คือการเปลี่ยนมุมคิด มองจากข้างนอก
มาหาตัวเรา ไม่ใช่คิดแบบมองจากตัวเราไปข้างนอก


ถ้าจะอธิบายด้วยสำนวนตะวันตกก็คือ การเปลี่ยนไปใส่รองเท้าของคนอื่นบ้าง คือเปลี่ยนจุดยืน
จากที่เรายืนอยู่ จากรองเท้าที่เราสวมใส่ ไปสู่รองเท้าคู่ใหม่ คู่ที่คนอื่นสวมอยู่ มองจากมุมนั้น
มาสู่ตัวเรา จะทำให้เราเข้าใจว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรา กำหนด จังหวะก้าวได้ง่ายขึ้น

ความจริงเรื่องนี้คนโบราณเขาสอนกันมานานแล้ว จำสำนวนนี้ได้ไหมครับ"เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
ถ้าเราเป็นเขา เราจะคิดอย่างไร ทั้งมุมมอง และกระบวนการคิด นั่นแหละครับ "OUTSIDE IN"
รู้ไหมครับว่าใครเป็นคนคิดสำนวนที่ว่า "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก...
 
คนคิดเป็น"หมอ"ครับ   ...หมอผ่าตัด "หัวใจ"   Laughing
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #1 เมื่อ: 13-09-2006, 18:02 »

ลดราคาเบนซิน-ดีเซลอีก ตีห้าพรุ่งนี้

ที่มา มติชน Hot News วันที่ 13 ก.ย. 2549

รายงานข่าวจากวงการธุรกิจค้าน้ำมันเปิดเผยว่า วันนี้ (13 ก.ย.) ผู้ค้าน้ำมันได้แจ้งปรับลดราคา
น้ำมันเบนซิน 40 สตางค์/ลิตร และน้ำมันดีเซล 50 สตางค์/ลิตร มีผลเวลา 05.00 น. วันที่ 14
กันยายน ส่งผลให้ราคาน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นดังนี้

เบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 26.39 บาท/ลิตร
เบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 25.59 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ระดับ 24.89 บาท/ลิตร
และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 26.24 บาท/ลิตร

โดยราคาเบนซินถือว่าต่ำสุดในรอบ 1 ปี ส่วนดีเซลต่ำสุดในเกือบ 6 เดือน
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #2 เมื่อ: 13-09-2006, 19:05 »

กปน. แจ้งน้ำไม่ไหล

การประปานครหลวง (กปน.) ประกาศหยุดการสูบจ่ายน้ำประปาจากโรงงานผลิตน้ำบางเขน
เพื่อทำการเปลี่ยนประตูน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1,000 มิลลิเมตร ในคืนวันที่ 14 กันยายน
นี้ ตั้งแต่เวลา 22.00-05.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ในระหว่างดำเนินการจะส่งผลให้สถานีสูบจ่ายน้ำ
ลาดกระบัง ลาดพร้าว สำโรง คลองเตย ลุมพินี ต้องหยุดสูบจ่ายน้ำทำให้น้ำประปาไม่ไหลเป็น
บริเวณกว้างในพื้นที่บริการของสำนักงานประปาสาขาสมุทรปราการ สุขุมวิท พระโขนง ตากสิน
(เฉพาะสุขสวัสดิ์) ลาดพร้าว พญาไท (เฉพาะถนนรัชดาภิเษกจากช่วงถนนลาดพร้าว-ถนน
พระราม 9)


ที่มา มติชน วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10413

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01lif03130949&day=2006/09/13
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
No_Tuky
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 296


« ตอบ #3 เมื่อ: 13-09-2006, 19:32 »

ได้ forwarded mail มาค่ะ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง
ยังไงก็ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ทั้งเจ้าของเรื่องและผู้ที่ส่งมาให้ได้อ่าน  Razz

                            เปลี่ยนมุมมอง

เคยคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ส่งลูกสาวไปเรียนต่างประเทศ ฟังหลักสูตรการเรียนการสอนแล้วน่า
อิจฉาริษยาเป็นยิ่งนัก เขาเล่าให้ฟังถึงวิธีการสอนเด็กแบบให้รู้จัก "คิด" แทนที่จะให้ "จำ"
เพียงอย่างเดียว

ตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ ครูให้นักเรียนเขียนจดหมายถึงแม่ สมมุติสถานการณ์ว่า ถ้า
นักเรียนจะขอย้ายไปอยู่กับแฟน เราจะให้เหตุผลกับแม่อย่างไร แม่จึงจะยอมรับ ให้เรียบเรียง
เป็นจดหมายส่งในวันรุ่งขึ้น

พอวันรุ่งขึ้น ครูจะสร้างสถานการณ์ใหม่ สมมุติให้เด็กนักเรียนเป็นแม่ คราวนี้ให้เขียนจดหมาย
ถึงลูกที่ขอย้ายไปอยู่กับแฟน เราจะให้เหตุผลคัดค้านลูกอย่างไร ผมไม่รู้ว่าครูสรุปเรื่องนี้ต่อไป
อย่างไร แต่ฟังเท่านี้ก็อึ้งแล้ว
 
นี่คือ การสอนแบบไม่ต้องสอน สอนให้นักเรียนรู้จักคิดเอง และสอนให้รู้จักคิดต่างมุม ไม่ต้อง
มาสอนให้นักเรียนท่องจำว่าวัยนี้เป็นวัยเรียน อย่าริรักในวัยเรียนนะ แต่ใช้วิธีให้นักเรียนรู้จักคิด
ต่างมุม   

เริ่มจากการคิดจากมุมของตัวเรา และไม่ใช่คิดด้วย "ความรู้สึก" แต่คิดแบบมีเหตุผล พอคิด
จากมุมมองของตัวนักเรียนเสร็จ ก็เปลี่ยนองศาใหม่ เปลี่ยนมุมใหม่ ลองคิดจากมุมของคนที่
เป็นแม่ดูบ้าง


ทุกคนคงยอมรับว่าคงยากที่แม่คนไหนจะเห็นด้วยกับลูกที่เรียนแค่ระดับ "ไฮสกูล" จะย้ายไป
อยู่กับแฟน เมื่อแม่ทุกคนคิดเหมือนกันก็แสดงว่าแม่ต้องมีเหตุผลของแม่ จดหมายที่ให้นักเรียน
เขียนจึงเริ่มต้นด้วย "จุดยืน" ที่เหมือนกัน คือ "ไม่เห็นด้วย" อะไรคือเหตุผลของคนที่เป็นแม่

ไม่บอก แต่ให้คิดเอง ลองคิดแบบเข้าใจคนเป็นแม่ และเรียบเรียงเหตุผลออกมา ผมเชื่อว่า
เมื่อนักเรียนถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องคิดแบบ "แม่" เขาจะเข้าใจ "แม่" มากขึ้น เข้าใจ
มุมมอง เข้าใจเหตุผลของคนที่เป็น "แม่" อาจไม่ครบร้อย แต่เข้าใจมากขึ้นอย่างแน่นอน

การสอนให้ "คิดต่างมุม" จะทำให้เขาเข้าใจคนอื่นดียิ่งขึ้น
และติดแน่นทนนานกว่าการสอน
แบบท่องจำ เพราะท่องจำนั้นอาจพูดได้ แต่ไม่เข้าใจ ส่วนการคิดต่างมุมนั้นท่องไม่ได้แต่
จดจำนาน   

ผมชอบที่ครูใช้การเขียนจดหมายแทนการพูด เพราะการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดที่ดีที่สุด
ผมใช้วิธีนี้เป็นประจำ เวลาเจอน้องๆ ที่มีอาการสับสนทางจิต คิดไม่ออกว่าจะเลือกทางไหนดี
ผมจะเสนอให้ใช้วิธีการเขียน แยกแยะเหตุผลเป็นข้อๆ ข้อดีมีอะไรบ้าง ข้อเสียมีอะไรบ้าง

เหตุผลที่เสนอให้ใช้วิธีการเขียนมีอยู่ 2 ข้อ

ข้อแรก เป็นการยืดเวลาให้กับตัวเราเอง คิดไม่ออกแต่ดู "เท่" ยืดเวลาได้ตั้งหลายวัน

ข้อที่สอง ผมเชื่อว่าการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบได้ดีที่สุด
พอบังคับตัวเอง
ว่าต้องเขียน ความคิดที่กระเจิดกระเจิงจะเริ่มเป็นระบบ "เหตุผล" เวลาอยู่ในสมองจะมีนิสัย
เหมือนเด็กช่างกล ชอบยกพวกตีกันเป็นประจำ แต่การเขียนเหมือนการเป่านกหวีดจัดระเบียบ
"เหตุผล" จาก "สมอง" สู่ "แขน" ไป "มือ" พอเรียงร้อยเป็นตัวอักษร มันผ่านกระบวนการ
กลั่นกรองมากมาย "เหตุผล" ที่ยกพวกตีกัน พอเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ บางทีเราจะตกใจ
ที่คิดว่ามีกันมากมายหลายสิบหลายร้อย แต่จริงๆ มีแค่ไม่กี่ข้อ จากนั้นก็ตัดสินใจไม่ยากว่าควร
เลือกหนทางใดดีกว่ากัน

การรู้จักเปลี่ยนมุมความคิดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะการเข้าใจคนอื่นจะทำให้เรามี
มุมมองที่หลากหลายขึ้น ไม่ตัดสินอะไรจากมุมมองของเราเพียงด้านเดียว

 
ในเชิงการตลาด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในอดีต ผู้ผลิตสินค้าชอบคิดแบบ "สินค้า" เป็นใหญ่
ไม่สนใจว่าผู้บริโภคต้องการอะไร เชื่อว่าถ้าผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพแล้ว ผู้บริโภคต้องซื้อ
แต่วันนี้ต้องเปลี่ยนมุมคิดใหม่ ต้องเริ่มต้นจากผู้บริโภคต้องการอะไร แล้วจึงผลิตสินค้ามาตอบ
สนองความต้องการของผู้บริโภค เป็นวิธีคิดแบบ "ผู้บริโภค" เป็นใหญ่


วันนี้ต้องคิดแบบ "OUTSIDE IN" ไม่ใช่ "INSIDE OUT" ก็คือการเปลี่ยนมุมคิด มองจากข้างนอก
มาหาตัวเรา ไม่ใช่คิดแบบมองจากตัวเราไปข้างนอก


ถ้าจะอธิบายด้วยสำนวนตะวันตกก็คือ การเปลี่ยนไปใส่รองเท้าของคนอื่นบ้าง คือเปลี่ยนจุดยืน
จากที่เรายืนอยู่ จากรองเท้าที่เราสวมใส่ ไปสู่รองเท้าคู่ใหม่ คู่ที่คนอื่นสวมอยู่ มองจากมุมนั้น
มาสู่ตัวเรา จะทำให้เราเข้าใจว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรา กำหนด จังหวะก้าวได้ง่ายขึ้น

ความจริงเรื่องนี้คนโบราณเขาสอนกันมานานแล้ว จำสำนวนนี้ได้ไหมครับ"เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
ถ้าเราเป็นเขา เราจะคิดอย่างไร ทั้งมุมมอง และกระบวนการคิด นั่นแหละครับ "OUTSIDE IN"
รู้ไหมครับว่าใครเป็นคนคิดสำนวนที่ว่า "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก...
 
คนคิดเป็น"หมอ"ครับ   ...หมอผ่าตัด "หัวใจ"   Laughing
เขียนได้ดี  Very Happy Smile Cool
บันทึกการเข้า
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #4 เมื่อ: 14-09-2006, 21:14 »

ดูรายละเอียดข้างบนนะคะ

ต้องรู้เองด้วยว่าบ้านเรารับน้ำจากสถานีจ่ายไหน  Neutral
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #5 เมื่อ: 21-09-2006, 05:30 »

คู่แข่งที่แท้จริง

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

อี-เมลฉบับหนึ่งที่ผมได้รับเมื่อเร็วๆ นี้ มีแง่คิดที่น่าสนใจมากจนต้องนำมาเผยแพร่ต่อให้ได้
อ่านกันกว้างขวาง ต่อไปนี้เป็นข้อความที่ได้รับมา

ทุกปีในสหรัฐอเมริกาจะมีการประกวดแข่งขันสะกดคำโดยจำกัดเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี
งานนี้เป็นงานระดับชาติ มีเด็กมาร่วมแข่งขันถึง 10 ล้านคน และมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ
ในรอบสุดท้าย

ในปีนั้นผู้ที่ฝ่ามาถึงรอบสุดท้ายมีเพียง 13 คน ซามีร์ ปาเตล วัย 12 ขวบ ซึ่งปีที่แล้วได้อันดับ
2 เป็นตัวเต็งอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือ ราชีพ ทาริโกพูลา ซึ่งได้ที่ 4 เมื่อปีที่แล้ว ชัยชนะน่า
จะเป็นของซามีร์ แต่แล้วเขาก็พลาดเมื่อเจอคำว่า eramacausis (แปลว่าอะไร โปรดหาจาก
พจนานุกรมเล่มใหญ่ๆ เอาเอง) การตกรอบของซามีร์ทำให้ราชีพเป็นตัวเต็งอันดับ 1 ทันที

มีนักข่าวคนหนึ่งถามราชีพว่า ดีใจไหมที่คู่ปรับตกรอบไป คำตอบของราชีพก็คือ "ไม่ครับ นี่เป็น
การแข่งขันกับคำ ไม่ใช่กับคน ครับ"

ไม่ทันขาดคำ เสียงตบมือก็ดังก้องห้องประชุม

คำตอบของราชีพคงทำให้ผู้ใหญ่หลายคนได้คิด ใช่หรือไม่ว่าเวลาเราแข่งขันเรื่องอะไรก็ตาม
เรามักจะมองเห็นผู้ร่วมแข่งขันเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้าม ในใจจึงอยากให้เขามีอันเป็นไป
เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชนะแต่ผู้เดียว หารู้ไม่ว่าลึกๆ แล้วความอิจฉาและพยาบาทกำลังก่อตัวขึ้น
ดังนั้นแข่งไปจึงทุกข์ไป แข่งเสร็จแล้วก็ยังทุกข์อีกที่เห็นคนอื่นเก่งกว่าตน

แต่สำหรับราชีพ แม้การแข่งขันจะดุเดือดอย่างไร เขาไม่ได้มองไปที่คน แต่มองไปที่คำ
สำหรับเขาความท้าทายอยู่ที่การต่อสู้กับคำยากๆ คำยากทุกคำคือปริศนาที่เขาต้องถอด
ออกมาเป็นตัวๆ ให้ได้ เมื่อใจไปจดจ่ออยู่ที่คำเหล่านี้ เขาจึงมิได้ยินดียินร้ายที่ผู้ร่วม
แข่งขันจะไปหรืออยู่

แม้ว่าในที่สุดราชีพจะได้เป็นที่ 4 (เพราะแพ้คำว่า Hiligenschein) แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้
ทุกข์เพราะเกลียดหรืออิจฉาคนที่เก่งกว่าเขา คงมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าให้หนัก
ขึ้นเพื่อพิชิตคำยากๆ ในปีหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปีหน้าเขาต้องเก่งกว่าปีนี้แน่ มองในแง่นี้
แม้เขาจะ "แพ้" แต่เขาไม่ขาดทุนเลย กลับมีกำไรด้วยซ้ำ

มุมมองของราชีพนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะในยามแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าสำหรับ
การดำเนินชีวิตและสัมพันธ์กับผู้คนด้วย ใช่หรือไม่ว่าในชีวิตประจำวันเมื่อเราถูกวิพากษ์
วิจารณ์ใจเรามักจะพุ่งตรงไปยังคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เท่าใด
นัก ดังนั้น แม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์จะถูกต้องให้แง่คิดที่ดีเพียงใดก็ตาม แต่เราไม่สนใจที่จะ
ไตร่ตรองเสียแล้ว เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดและโกรธคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา

ถ้าเราหันมาใส่ใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันให้มากขึ้น และสนใจให้น้อยลงกับการตอบโต้
เพื่อเอาชนะคะคานคนที่วิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเราจะทุกข์หรือโกรธเกลียดน้อยลงแล้ว
เรายังมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นด้วย โดยเฉพาะหากเป็นคำ
วิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้องด้วยท่าทีเช่นนี้ เราจะได้กำไรสถานเดียว คุณเล็ก วิริยะพันธุ์
ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณถึงกับบอกว่าวันไหนไม่ได้รับคำตำหนิ วันนั้นถือเป็นอัปมงคลเลย
ทีเดียว

เวลาทำงานก็เช่นกัน ถ้าเรามองว่านี้เป็นการต่อสู้ปลุกปล้ำกับงาน เราจะไม่เดือดร้อนที่
คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ใครจะดีจะเก่งก็เป็นเรื่องของเขา เพราะในใจนั้นนึกอยู่เสมอว่า
"ฉันกำลังแข่งขันกับงาน ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น" นอกจากจะไม่อิจฉาเขาแล้ว ยังพยายาม
เรียนรู้จากเขาว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อเอาไปใช้ในการพิชิตงานที่กำลังทำอยู่ หรือทำให้
งานนั้นดีขึ้น

มองให้ลึกลงไปแล้ว คนไม่ใช่คู่แข่งของเรา กิเลสตัณหา ความเห็นแก่ตัว หรือความหลงตน
ต่างหากที่เป็นคู่แข่งของเรา แทนที่จะสู้กับใครต่อใคร เราควรหันมาสู้กับอกุศลธรรมในตัว
เราดีกว่า ที่แล้วมาเราต่อสู้กับใครต่อใครมากแล้ว แต่ไม่ได้ต่อสู้กับอกุศลธรรมเหล่านี้ เราจึง
ทุกข์ไม่เว้นแต่ละวัน

ถึงที่สุดแล้ว แม้แต่คนที่คิดร้ายต่อเรา เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเรา ความโกรธความเกลียด
หรือความเห็นแก่ตัวในใจเขาต่างหากที่เป็นศัตรูของเรา
สิ่งที่เราควรจัดการคือความชั่วร้าย
ในใจของเขา มิใช่จัดการตัวเขา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะปลอดภัยและมีชีวิตที่สงบสุขอย่าง
แท้จริง เพราะการขจัดศัตรูที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร

แล้วอะไรล่ะที่จะเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้ หากมิใช่การใช้ความดีเอาชนะใจเขา
(ขอขอบพระคุณ คุณหญิงชัชนี จาติกวนิช ที่กรุณาส่งอี-เมลที่มีค่าฉบับนี้ซึ่งไม่ปรากฏนาม
เจ้าของมาให้และขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ ขอขอบคุณท่านผู้เขียนที่อาจไม่รู้ตัวว่าได้
กระทำสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งในยุค "ชิงชังกัน" เยี่ยงปัจจุบัน

ที่มา มติชน วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10421

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act04210949&day=2006/09/21
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
ลูกไทย หลานไทย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,196


วันนี้วันดี วันที่เป็นไท


« ตอบ #6 เมื่อ: 21-09-2006, 11:22 »

สำหรับตัวอย่างแรกนั้น ผมเคยเจอในราชดำเนินครับ

ตอนผมเล่นราชดำเนินใหม่ๆ น่าจะเกือบๆสี่ปีมาแล้ว มีอมยิ้มท่านหนึ่งตั้งกระทู้ เสนอให้ฝ่ายสนับสนุนทักษิณลองให้ความเห็นค้านคุณทักษิณ ส่วนฝ่ายค้านคุณทักษิณให้ลองให้ความเห็นในมุมมองสมาชิกไทยรักไทย(อย่างไม่ประชด)

กระทู้นั้นเป็นกระทู้ผีสิงครับ แทบไม่มีใครตอบเลย 
บันทึกการเข้า

Ŋēmŏ mē ĩmρưŋē ĺдċęşšįҐ
หน้า: [1]
    กระโดดไป: