เหมือนอย่างอเมริกา คนในท้องถิ่นก็รู้จักหน้าค่าตาว่าตำรวจคนนี้เป็นใคร ลูกหลานตระกูลไหน ตำรวจก็จะไม่กล้าชั่วด้วย
แต่จากข่าวอชิรวิทย์ไม่ชอบใจเลย แปลกใจจัง
'อชิรวิทย์' จวก 'สังศิต-ปานเทพ' ไม่รู้จริงอย่าจุ้นรัฐตำรวจ [15 พ.ย. 49 - 18:08] พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าววันนี้ (15 พ.ย.) ตอบโต้ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กรณีเสนอปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ทั้งสองไม่รู้จริงเรื่องงานของตำรวจ จึงไม่ควรออกมาพูดหรือแสดงความคิดเห็นเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากมั่นใจว่าหากมีการจัดทำผลสำรวจ จะไม่มีหน่วยงานใดต้องการไปขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นเชื่อว่าวงการตำรวจจะลุกเป็นไฟ
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ขอเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไปแก้ไขกฎหมายกรณีที่มีการแจ้งความกล่าวหากัน ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยให้สำนักพระราชวัง เป็นผู้เสียหายเข้าแจ้งความ เพื่อปิดโอกาสไม่ให้มีการแจ้งความเพื่อดิสเครดิตกันไปมา
ด้าน นายสังศิต กล่าวก่อนหน้านี้ วันเดียวกัน กรณีนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หารือกับนายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อหาแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า หลักการในการตั้งคณะทำงานพัฒนาระบบงานตำรวจ ควรเป็นบุคคลที่มีความเป็นกลาง ส่วนตัวขอเสนอให้ตั้งคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และคณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มาเป็นกรรมการ ให้เวลาไม่เกิน 3 เดือน เพื่อหาแนวทางที่จะทำให้รัฐตำรวจมีการกระจายอำนาจ และสามารถตรวจสอบการทำงานได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ประสิทธิภาพในการให้บริการกับประชาชนมีมากขึ้นกว่าเดิม
"อยากให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลมาขึ้นอยู่กับผู้ว่าฯ กทม. ส่วนตำรวจใน 75 จังหวัดที่เหลือ ให้ขึ้นตรงกับผู้ว่าฯ ยกเว้นกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ กองปราบปราม ให้คงไว้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของตำรวจในจังหวัดต่างๆ" นายสังศิต กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับไปสังกัดกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ นายสังศิต กล่าวว่า คงไม่ต้อง เมื่อถามว่าการให้ตำรวจภูธรไปขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด เท่ากับเป็นการคืนอำนาจให้กระทรวงมหาดไทย หรือไม่ นายสังศิต กล่าวว่า การให้ตำรวจไปขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่ได้หมายความว่าจะบริหารโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เพียงคนเดียว แต่จะมีองค์กรภาคประชาชนเข้าร่วมในการกำหนดนโยบาย อาทิ สภาทนายความ คณะทำงานเรื่องสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน เพื่อให้สามารถตรวจสอบการทำงานของตำรวจได้
นายสังศิต กล่าวต่อว่า จากแนวทางที่เสนอจะไม่ต้องมีตำรวจภูธรภาค และทำให้หน่วยงานตำรวจเล็กลง มีขอบเขตอยู่ในจังหวัด ในระยะต่อไปจะสามารถยกเลิกตำแหน่งนายพลตำรวจให้ลดน้อยลง ช่วยให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณในการจ้างตำรวจ และประชาชนจะเสียภาษีให้รัฐบาลน้อยลง หรือแม้จะเสียเท่าเดิมจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณเพิ่มขึ้นในการพัฒนาด้านการศึกษา และสวัสดิการของประชาชนมากขึ้น
"ผมคิดว่า ระบบคนเดียวดูแลคนถึง 240,000 คน มันมากเกินไป ไม่ว่าจะเอาใครมาก็ยาก ที่จะทำให้ระบบตำรวจให้บริการกับประชาชน เพราะระบบตำรวจใหญ่เกินไป แนวทางนี้จะทำให้ระบบตำรวจเล็กลง แต่การเอาตำรวจไปไว้กับผู้ว่าฯ คงไม่ได้แก้ไขปัญหาการวิ่งเต้นได้ทั้งหมด จึงต้องพิจารณาว่า จะจัดโครงสร้างองค์กรอย่างไร เพื่อให้มีการตรวจสอบ การให้ตัวแทนของภาคประชาชน และบุคลากรด้านยุติธรรมเข้ามามีส่วนร่วม และจำกัดไม่ให้นักธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของตำรวจ จะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้" สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้สอบถามความเห็นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ นายสังศิต กล่าวว่า โดยหลักการ ในการตั้งคณะทำงานต้องมีตัวแทนของตำรวจเข้ามาอยู่แล้ว จะไปดำเนินการโดยไม่มีตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาร่วมคงไม่ได้
http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=26716