บทเรียนประชานิยม
แทบไม่น่าเชื่อว่า เพียงเวลา 5 ปี ภายใต้การบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สร้างภาระหนี้ผูกพันไว้ให้กับประเทศไทยถึง 1.01 แสนล้านบาท จากโครงการประชานิยมต่างๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำขึ้นมาเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง
หนี้ดังกล่าวนั้นเป็นหนี้ของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ที่ค้างจ่ายให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โครงการรับจำนำข้าว กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หนี้กองทุนประกันสังคม ค่าวิทยฐานะของครู หนี้จากการขาดทุนของ องค์การคลังสินค้า (อคส.) หนี้โครงการกองทุนหมู่บ้าน หนี้โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ค้างจ่ายในโรงพยาบาล ที่ขาดทุน เป็นต้น
นอกจากนี้ ก็มีหนี้โครงการกองทุนหมู่บ้านวงเงิน 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งกฎหมายกำหนดให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณทยอยชำระหนี้คืนธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.ในช่วงระหว่างปีงบประมาณ 2551 และ 2552 เป็นเงินรวมประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท
รัฐบาลดูท่าแล้วคงเห็นว่าไม่สามารถจะใช้คืนหนี้ได้ไหว จึงได้ใช้มติคณะรัฐมนตรีให้ยกภาระหนี้ดังกล่าวออกไปก่อน ส่งผลให้เหลือเฉพาะหนี้กองทุนหมู่บ้านที่ต้องจ่ายตามกฎหมายในปีงบประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ที่ต้องตั้งงบประมาณชำระคืนในปีงบประมาณ 2550 ส่งผลให้ภาระหนี้ที่รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณชดใช้ในโครงการต่างๆ ในช่วงปีงบประมาณ 2550 เหลือวงเงินเพียง 8.54 หมื่นล้านบาทเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้หนี้ รัฐบาลจึงได้ตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มอีก 4 หมื่นล้านบาท จากที่ตั้งวงเงินขาดดุลงบประมาณไว้แล้ว 1 แสนล้านบาท และ ไปตัดงบกลางออกมาอีก 4 หมื่นล้านบาท เพื่อโปะหนี้ให้ครบตามจำนวน
การดำเนินนโยบายประชานิยมนี้ เป็นนโยบายที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ก็เป็นการสร้างหนี้ให้กับประเทศแบบมหาศาลเช่นกัน และเป็นหนี้ที่รัฐบาลอื่นจะต้องมารับเป็นมรดกตกทอดไปแก้ไข
สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ รัฐบาลต่อมาต้องไปหาเงินภาษีอากรมาใช้หนี้ประชานิยมที่รัฐบาลเก่าสร้างไว้ ด้วยการเร่งรัดเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น เกิดผลกระทบไปทั่วอย่างกว้างขวาง
แต่ต้องยอมรับว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเหมือนกับการฉีดสารเสพติดให้สังคมไทย แม้ว่าสารเสพติดนั้นบางส่วนจะเป็นยารักษาโรคที่ดี ยกตัวอย่างเช่น โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค หรือแม้แต่หวยบนดิน ซึ่งก็ถือว่าเป็นนโยบายที่มีจุดดี ก่อประโยชน์ในเชิงดูแลสังคมและการบริหาร แม้จะมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข แต่รัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลต่อไปก็คงต้องดำเนินโครงการต่อไป แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้สังคมไทยต้องเสพติดประชานิยมไปด้วยอาการหนักเอาการ
น่าเป็นห่วงว่า ในช่วง 1 ปีกว่าๆ ของรัฐบาลชั่วคราวชุดปัจจุบัน นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงจะมีประสิทธิภาพพอที่จะสามารถเยียวยาถอนพิษสารเสพติดประชานิยมจากสังคมไทยได้หรือไม่ และนโยบายของพรรคการเมืองที่จะเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังจากรัฐบาลชุดนี้ จะสามารถสลัดกลิ่นอายประชานิยมได้หรือเปล่า
หากในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นสังคมไทยยังถวิลหาประชานิยมและพรรคการเมืองต่างๆ ก็สนองตอบความต้องการเหล่านั้นด้วยการแข่งกันนำเสนอนโยบายประชานิยมครั้งใหม่โดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านศักยภาพและทรัพยากรของประเทศ สุดท้ายเข็มนาฬิกาก็จะหมุนไปที่จุดเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า นั่นคือการเกิดวิกฤตทางการเงินการคลังของประเทศ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=editorial&id=131862เอาข้อมุลมาให้ดูกันครับ