รัฐบาลท่านสุรยุทธ์ยึดแนวทางสมานฉันท์ในการจัดการกับศัตรูทางการเมือง และศัตรูของประเทศ แต่บทบาทและลีลาที่ท่านเล่น ทำให้เหมือนว่า กำลังเล่นอยู่ฝ่ายเดียว โดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้สนใจอยากเล่น สมานฉันท์ กับท่านด้วย
การฝ่าฝืนกฎอัยการศึกของคลื่นใต้น้ำ และ การพยายามระดมพลของแกนนำคลื่นใต้น้ำในภาคเหนือและอีสาน ทุกกลุ่มได้กระทำอย่างค่อนข้างเปิดเผยตัวตน มิได้ปิดบังอำพรางเลย แต่ก็ยังไม่เห็นการจับกุม ดำเนินคดีกับแกนนำเหล่านี้ นัยว่า เพราะต้องการ "สมานฉันท์"
การก่อการร้ายในภาคใต้ ที่นับวันจะทวีความดุเดือด รุนแรง สวนทางกับที่ท่านสุรยุทธ์แสดงการ "ขอโทษ" อย่างเป็นทางการ และดำเนินนโยบายถ้อยทีถ้อยอาศัยอย่างที่สุด ยอมถอนฟ้องคดีที่เกี่ยวข้องกับการก่อความรุนแรง ฉีกทิ้งบัญชีดำ แถมยังยินดีจ่ายเงินก้อนหนึ่ง ปลอบขวัญญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ ซึ่งเคยระบุว่า คนเหล่านั้น คือ ผู้ต้องหาก่อความไม่สงบ
ในขณะที่ ชาวไทยพุทธผู้สูญเสียบ้านช่อง ชีวิตญาติพี่น้อง รัฐบาลก็ยังไม่เคยไปขอโทษและอัดฉีดเงินปลอบขวัญอย่างเป็นทางการเลย
คำถามคือ สมานฉันท์กับผู้ก่อความไม่สงบ กับ คลื่นใต้น้ำ ที่ทำอยู่นี้ จะเป็นแนวทางไปสู่ ความสงบเรียบร้อยทางการเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนได้หรือไม่?
ขอวิเคราะห์แยกเป็นสองกรณี คือ กรณีคลื่นใต้น้ำ กับ กรณีก่อการร้ายที่ภาคใต้ นะครับ
กรณีคลื่นใต้น้ำคลื่นใต้น้ำตอนนี้มีสองกลุ่ม คือ กลุ่มคนรักทักษิณ กับ กลุ่มประชาธิปไตยแบบสุดโต่ง ทั้งสองกลุ่มนี้โดยพื้นฐานเป็นคนต่างอุดมการณ์กัน แต่ตอนนี้สามารถร่วมมือกันได้ เพราะเป้าหมายสอดคล้องกัน คือ เกลียดรัฐบาล และ คมช. เหมือนกัน
กลุ่มประชาธิปไตยยังเป็นแค่กระแสน้ำ ยังไม่ใช่คลื่น เพราะยังไม่มีชนวนที่จุดให้ติดขึ้นมาเป็นขบวนการใหญ่ที่ล้มรัฐบาลได้ เนื่องจากนักวิชาการที่ต่อต้านระบอบทักษิณประกาศตัวไว้ชัดเจนก่อนหน้านี้ยังมีอยู่มาก แต่ต่อไปภายภาคหน้า หากรัฐบาลรีๆ รอๆ และบิดพริ้วเงื่อนไขของการก่อรัฐประหาร หรือ สัญญาประชาคมใดๆ ไว้ อาจทำให้กลุ่มนี้เป็นภัยร้ายแรงได้
กลุ่มคนรักทักษิณ หรือ
กลุ่มที่สูญเสียประโยชน์จากการที่ทักษิณไม่ได้เป็นนายก กลุ่มนี้ตอนนี้ไฟยังคุอยู่ แต่จุดไม่ติด เพราะฝ่ายคมช.เองก็ระมัดระวัง และป้องกันการจุดชนวนของคนกลุ่มนี้เอาไว้ทุกครั้งที่มีการนัดหมาย
ถ้าถามว่า นายทักษิณมีเอี่ยวกับการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้หรือไม่ ณ เวลานี้ ต้องตอบว่า ท่านไม่มีเอี่ยว แต่เป็นกำลังใจอยู่ในที่เปลี่ยว สิ่งที่คุณทักษิณต้องการในเวลานี้ ไม่ใช่การแตกหักกับคมช. แต่ต้องการให้คนกลุ่มนี้คอยเป็นก้างขวางคอการทำงานของคณะผู้ตรวจสอบการทุจริต และรักษาสถานภาพของการเกาะกลุ่มเอาไว้จนกว่า ทักษิณจะกลับมาประเทศไทย
ตัวนายทักษิณเองอาจไม่อยากกลับมาทำงานการเมืองอีกต่อไปแล้ว แต่พะวงอย่างยิ่งต่อข้อกล่าวหาที่กำลังถูกตรวจเข้มทั้งทางแพ่งและทางอาญา ทำอย่างไรจึงจะรักษาตัว และฐานะของทรัพย์เอาไว้ได้ นี่เป็นประเด็นใหญ่กว่าการกลับมาเล่นการเมืองเสียอีก
ใน 12 โครงการที่คตส.จับตา เป็นไปไม่ได้ที่จะ "หลุด" ทุกกรณี และเป็นไปไม่ได้ที่จะ "โดน" ทุกกรณีเช่นกัน
ตอนนี้ คือ
ทำอย่างไรจึงจะเจ็บตัวน้อยที่สุดเท่านั้น ถ้าไม่เกิน 1 หมื่นล้านแล้วจบๆ กันไป ผมเชื่อว่า ทักษิณไม่รีรอที่จะจบด้วย
แนวทางสมานฉันท์จะเปิดโอกาสให้มีการ "ซูเอี๋ย" กันหรือไม่ ให้จับตาประเด็นที่จะหยิบยกมาเป็นข้อต่อรองของทั้งสองฝ่ายในภายภาคหน้า คือ
"เป็นคนไทยด้วยกัน"กาวใจที่นายทักษิณจะซื้อตัวและหัวใจมาดำเนินการเรื่องนี้ ต้องเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม และ คมช.ด้วย การเปิดตัวของ บิ๊กจิ๋ว เมื่อสองวันก่อน ก็น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะสายสัมพันธ์ระหว่าง นายและบ่าว (ต่างก็เคยเป็นทั้งสองด้านสลับกัน
) ตัดไม่ขาด โดยเฉพาะบิ๊กจิ๋ว โดนใครขอมากๆ ท่านอ่อนเป็นมะเขือเผาทันที
การเข้าพบพลเอกเปรมของหญิงอ้อ อาจไม่มีนัยสำคัญเป็นรูปธรรมมากมายนัก แต่ชี้ให้เห็นว่า มีความพยายาม
วิ่งเต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อขอรอมชอม และเพื่อเกียรติภูมิของทักษิณเมื่อกลับเมืองไทย
จู่ๆ นางพญาบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ไปคารวะถึงบ้านป๋าหรอกครับ ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่เธอปรากฏตัวได้ทุกที่ เมื่อสามีมีภัย ใครที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตลอดจะรู้ว่า คุณหญิงนี่แหละ เป็นกาวใจชั้นดีมาทุกครั้งที่
ปากสามีพาจนความเคลื่อนไหวของหญิงอ้อ และ บิ๊กจิ๋ว มีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอนในขั้นของความ
พยายามแต่ยังมีอีกนะครับ ไม่หมดแค่นี้ คนที่สังคมฟังเสียง และเคารพในบทบาทยังไม่ปรากฏตัวออกมา เพราะเงื่อนเวลายังไม่อำนวย แต่ไม่เกินหนึ่งปีจากนี้จะมีตามๆ มาอีก
กรณีผู้ก่อความไม่สงบสิ่งที่นายกสุรยุทธ์กระทำลงไปในช่วงที่ผ่านมา ล่อแหลมมากต่อ
การบังคับใช้กฎหมายบ้านเมืองอย่างเป็นธรรม (ตามประกาศของท่านว่า จะดำเนินนโยบายบริหารแบบ 4 ป.)
แนวทางสมานฉันท์ถูกตีความว่า หน่อมแน้มไปหน่อยในการจัดการปัญหาความรุนแรงในภาคใต้
แน่ล่ะ ได้รับเสียงตอบรับ และชื่นชมจากชาวมุสลิมทั่วโลก (รวมถึงผู้ก่อการร้าย) แต่สำหรับชาวบ้านและทหารที่สูญเสียชีวิตไปจากเหตุการณ์ก่อการร้าย คงทำหน้างงๆ อยู่บ้าง รวมทั้งนักกฎหมาย และนักวิชาการ เพราะเป็นการดำเนินนโยบาย
สองมาตรฐาน ที่ชัดเจน
ผมเชื่อว่า แนวทางสมานฉันท์ เป็นเรื่องดี แต่ส่งผลในระยะยาว ซึ่งจะเกิดผลในอีกหลายปีด้วยความพยายามและความอดทนของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ยาวนานเกินกว่า อายุของรัฐบาลสุรยุทธ์ แน่นอน
สิ่งที่ผมคิดว่า แนวทางสมานฉันท์ อาจไม่ประสบความสำเร็จโดยง่าย คือ ต้นตอของการก่อการร้าย ที่ผูกโยงไปไกลกว่า ความไม่พอใจในการบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในอดีตเท่านั้น
มันเชื่อมโยงกับเป้าหมายขององค์กรการก่อการร้ายข้ามชาติองค์กรใหญ่ และการสถาปนาตัวเองเป็นรัฐอิสระ ลำพังความไม่พอใจของชาวบ้านธรรมดา ไม่รุนแรง และยาวนานมาได้ถึงเพียงนี้หรอกครับ การก่อการร้ายแต่ละครั้ง มีต้นทุน นอกจากชีวิตแล้ว เงินจำนวนนับแสนๆ บาทในการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ และสถานที่กบดาน ค่าจ้าง มีมากมายต่อการดำเนินการหนึ่งครั้ง
ก่อการมาทั้งหมดกว่า 300 ครั้ง และยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ต้องมีขบวนการหนุนหลัง ทั้งปัจจัย และ การฝึกปรือ
ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในต่างประเทศทั้งสิ้นแล้วการสมานฉันท์จะสำเร็จได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้คุยกับคนไทยด้วยกันเองเท่านั้นแล้ว ผลประโยชน์ของประเทศชาติ(ไทย) ย่อมไม่ใช่ผลประโยชน์ของเขา
นโยบายสมานฉันท์จะประสบความสำเร็จสูงสุด คือ
สร้างเกราะป้องกันภัยของคนในชาติให้เข้มแข็งขึ้นเท่านั้น
แต่จุดสูงสุดนั้น มิได้หมายความว่า ปัญหาก่อการร้ายในภาคใต้จะยุติลงได้อย่างบริบูรณ์ และการดำเนินไปสู่จุดสูงสุดนั้น ขณะนี้ก็ยังอยู่อีกยาวไกลมาก มีโอกาสที่จะล้มลุกคลุกคลานเสียก่อน จากความสิ้นสุดความอดทน อดกลั้นของชาวไทยพุทธ และผู้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งในที่สุด
อาจระเบิดออกมาเป็นความไม่พอใจ การทำงานของรัฐบาลโอกาสที่คนกลุ่มนี้จะไปร่วมกับคลื่นใต้น้ำกลุ่มแรกๆ ที่กล่าวมาเพื่อล้มรัฐบาล(ทั้งๆ ที่มาจากปัญหาที่แตกต่างกัน) ก็เป็นไปได้เช่นกัน