Animal Farm กับการทำให้ศัตรูเป็นตัวร้ายโดย ทิฆัมพร เอี่ยมเรไร คณะวิทยาการจัดการฯ มหาวิทยาลัยนเรศวรท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่ยังไม่นิ่งนัก การได้กลับมาอ่านซ้ำหนังสือแปล
ล้อเลียนการเมืองเรื่อง "Animal Farm" อีกครั้ง
นอกจากจะเป็นการพักผ่อนแบบลำลองแล้ว ยังจะทำให้เราได้แง่คิดอะไรหลายๆ อย่าง
ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้อ่านมีต้นทุนความรู้ทางการเมืองแบบใด ขนาดไหน และอย่างไร
ใครที่ยังไม่เคยอ่าน ก็อาจจะลองไปหามาอ่านสัมผัสความเพลิดเพลินได้ อย่างน้อย
วรรณกรรมเรื่องนี้ก็ "เปิด" ต่อการตีความมาหลายทศวรรษแล้ว ซึ่งการหยิบมาอ่านซ้ำ
แต่ละครั้ง ความคิดความอ่านก็มักจะเปลี่ยนไปด้วย จะมากหรือน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"และที่สำคัญคือ เป็นการทดสอบจุดยืนทางการเมืองในปัจจุบันของผู้อ่านไปด้วย"
Animal Farm ที่ประพันธ์โดย "จอร์จ ออร์เวลล์" ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีผู้แปล
เป็นภาษาไทยอย่างน้อย 2 ชุดในชื่อไทยว่า "การเมืองของสัตว์"
อีกฉบับที่พบนั้นใช้ชื่อว่า "รัฐสัตว์" นอกจากนี้ยังมีคนนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละคร
อีกมากมายหลายเวอร์ชั่น
เนื้อหาเป็นเรื่องการปฏิวัติของสัตว์ในฟาร์ม นำโดย "กลุ่มหมู" ที่มีความฉลาดเฉลียว
วางแผนล้มการปกครองของคนที่เป็นเจ้าของฟาร์มดั้งเดิม แต่ครองอำนาจอยู่ไม่นาน
หมูผู้นำก็แย่งอำนาจกันเอง
"นโปเลียน" หมูที่มีลักษณะผู้นำ และแฝงอำนาจ ก็กระชากตำแหน่งหัวหน้ามาจาก
"สโนบอลล์" หมูที่ร่วมคบคิดกันมาแต่ต้นได้ สุดท้ายสโนบอลล์ ก็ถูกตะเพิดพ้นอาณา
บริเวณฟาร์มสัตว์ และหายสาบสูญไปในที่สุด
บทความนี้อยากจะเลือกมอง Animal Farm เพียงบางส่วนของเรื่อง ในแง่มุมของการ
สื่อสารลักษณะหนึ่งที่เรียกกันว่า "demonization" หรือกระบวนการทำให้ศัตรูคู่อริกลาย
เป็นตัวร้าย สัตว์ร้าย หรือปีศาจในสายตาคนทั่วไป
พูดง่ายๆ ก็คือ ความพยายามที่จะให้ร้ายต่างๆ นานา ตราหน้า ประฌาม หยามเหยียด
เหยียบย่ำซ้ำเติม ฯลฯ เหมือนเช่นที่นโปเลียน สั่งการให้ทีมงานของตัวเองกระทำกับ
สโนบอลล์ ใน Animal Farm
ในโลกวรรณกรรมนั้น ออร์เวลล์ ไม่ได้บอกผู้อ่านว่า ชีวิตหลังตกจากอำนาจของ สโนบอลล์
เป็นเช่นไร แต่กระบวนการกล่าวหาสโนบอลล์ โดยทีมงานของนโปเลียนนั้น ประสบความ
สำเร็จอย่างยิ่ง เพราะทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดในการบริหารงานของนโปเลียน ความเลว
ร้ายทั้งหลายจะเป็นที่เข้าใจกันว่า เป็นผลพวงมาจากสโนบอลล์ที่พยายามจะเล่นสกปรก
"อย่างไรก็ตาม
ในโลกความเป็นจริง วิธีการทำให้คู่อริกลายเป็นสัตว์ร้ายในสายตาคน
ทั่วไป หรือ demonization ด้วยกลไกสื่อมวลชนนั้น ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไปหลายต่อหลายครั้งที่ผู้กุมอำนาจการสื่อสารพยายามจะใช้มัน กลับพบว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า"
ที่น่าสนใจก็คือ
ทันทีที่วิธีการนี้ล้มเหลว ผลลัพธ์มักจะย้อนมาเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เอง เช่น
"ยัสเซอร์ อาราฟัต" ผู้นำขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์ ที่ลุกขึ้นทวงดินแดนจากอิสราเอล
ก็ตกเป็นผู้ร้าย ที่ถูกกล่าวหาจากอิสราเอลและพันธมิตรอย่างสหรัฐว่า เป็นกลุ่มก่อการร้าย
คล้ายกันกับ "ฟิเดล คาสโตร" ผู้นำคิวบา ในฐานะหอกข้างแคร่ของอเมริกัน แต่สุดท้าย
ทั้งอาราฟัต และคาสโตร ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น "ฮีโร่" ของชาติ
"และที่สำคัญ ทั้งคู่กลายเป็นวีรบุรุษของประเทศโลกที่สาม และเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิ
ต่อต้านการล่าอาณานิคม"
อาราฟัต และคาสโตร โดยเฉพาะทีมงานของทั้งคู่นั้น ไม่ได้มองว่าการถูกให้ร้ายป้ายสี
เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์
แต่กลับมองว่า "การถูกให้ร้ายเป็นเพียงหนึ่งในพื้นที่การต่อสู้ ที่สามารถจะประลองกันได้
และจัดว่าเป็นความท้าทายชนิดหนึ่ง" เพราะขณะที่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ
ผู้ให้ร้ายก็ไม่อาจ
ไปครอบงำความเห็นที่แตกต่างออกไปของคนอื่นได้ เช่นเดียวกับอิสราเอล และสหรัฐ
ที่ต้องมาพลาดท่าง่ายๆ เพราะถูกมองว่าพยายามจะขยายลัทธิล่าอาณานิคม
ดังนั้น ยิ่งอิสราเอลเปิดฉาก
โจมตีอาราฟัต
หนักเท่าใด คนดูก็ยิ่งสงสารเขามากขึ้นเท่านั้นอาราฟัตจึงยกระดับ
กลายสภาพเป็นพระเอกที่ตกเป็นเหยื่อมาร (victim-hero) ไปในบัดดล
แม้อาราฟัต จะเสียชีวิตไปเกือบ 2 ปีแล้ว ทว่าทุกวันนี้ชาวปาเลสไตน์ก็ยังไม่ลืมเขา
และมักจะชูภาพขนาดใหญ่ใบหน้าของเขานำขบวนต่อต้านอิสราเอลอยู่เสมอ
"เนลสัน แมนเดล่า" อดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้เองก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่กว่าจะเลื่อน
ฐานะขึ้นเป็นฮีโร่ของคนผิวดำในประเทศและทั่วโลก ด้วยอุดมการณ์ต่อต้านการเหยียดผิว
ที่รุนแรงในประเทศตัวเอง เขาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ โดนรัฐบาลโจมตีจนอ่วมมาก่อน
แต่เป็นเพราะการพลิกกลับของโอกาสที่เข้าข้าง เมื่อสิ่งที่เขายืนหยัดต่อสู้นั้น เป็นสิ่งที่คน
ทั่วโลกเองก็น้อมรับ และพร้อมที่จะสนับสนุนนี่เองที่เป็นจุดพลิกผันให้รัฐบาลแอฟริกาใต้
ที่มีแมนเดล่าเป็นศัตรูตัวร้าย ต้องกลายเป็นตัวโกงเสียเอง
"โอซามา บิน ลาเดน" หัวหน้ากลุ่มอัลเคด้า ที่ถูกสหรัฐยำใหญ่และตราหน้าว่าเป็นกลุ่ม
ผู้ก่อการร้ายของโลก ก็อยู่ในวิถีของ demonization ไม่ต่างกัน และดูเหมือนว่าเขาจะ
โดนโจมตีหนักกว่าใคร หลังจากที่ออกมายืนยันว่า เหตุการณ์ 9/11 ถล่มตึกเวิลด์เทรด
ที่สหรัฐ เมื่อ 5 ปีก่อนนั้นเป็นฝีมือกลุ่มของเขาเอง
แน่นอนว่าในมุมมองของพันธมิตรอเมริกันแล้ว บิน ลาเดน คือตัวร้าย ที่ผู้คนอยากให้ชีวิต
ของเขาย่อยยับเหมือนกับสภาพตึกเวิลด์เทรด
ทว่า ในมุมของประชาชนมุสลิมหลายประเทศนั้น เขาคือฮีโร่ที่พยายามกอบกู้ศักดิ์ศรี
ดินแดน และทรัพยากรให้กับชาวมุสลิมทั่วโลก
ขณะเดียวกัน คำว่า "ผู้ก่อการร้าย" ที่เคยเข้าใจกันว่าหมายถึงกลุ่มอัลเคด้าของบิน ลาเดน
ทุกวันนี้ก็เริ่มคลี่คลาย และถูกตีความเสียใหม่โดยนักวิชาการในหลายศาสตร์ เช่น "นอม
ชอมสกี้" นักภาษาศาสตร์ชื่อดังชาวอเมริกัน ที่มองว่าการก่อการร้ายจะต้องหมายรวมถึง
การก่อการร้ายโดยรัฐด้วย
เช่น การส่งกองทัพไปย่ำยีอัฟกานิสถาน หรือถล่มอิรักของรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้การนำ
ของ จอร์จ บุช จูเนียร์
นั่นก็หมายความว่า ถ้าบิน ลาเดนเป็นผู้ก่อการร้ายในความหมายนี้ จอร์จ บุช เองก็ไม่ต่างกัน
อาจเป็นไปได้ว่า "ความสำเร็จในการแปลงศัตรูคู่อริให้เป็นตัวร้าย" (demonization) ของ
นโปเลียน และทีมงานในสมัยหนึ่ง ที่กระทำต่อสโนบอลล์ อาจเผชิญอุปสรรค และปัจจัย
แทรกน้อยกว่า จนทำให้ สโนบอลล์ ไม่อาจจะพลิกผันกลับมาท้าทาย ต่อรอง และต่อต้าน
จนเป็นหอกข้างแคร่ได้
แต่การ
demonization ในปัจจุบันท่ามกลางรูปแบบการสื่อสาร โดยเฉพาะสื่อสารมวลชน
ในยุคสังคมข่าวสารที่เปลี่ยนแปลง และผันผวนรวดเร็วอย่างนี้
"การยัดเยียด หรือเปลี่ยนความคิดของผู้คน ก็ยิ่งไม่อาจทำได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด"และหากคุณกำลังอ่าน Animal Farm ซ้ำอีกครั้งในขณะนี้...ระวัง สโนบอลล์ จะกลับมา!
มติชน วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10473http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun02121149&day=2006/11/12ระวังนะคะ ตรวจสอบจะเอาผิดเขาแล้วเอาไม่ได้
จะกลายเป็นช่วยยืนยันรับรองความไม่ผิดให้เขาไป
ทีนี้ละจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่
ได้คะแนนมากกว่า 19 ล้านเสียง
โดยไม่ต้องซื้อ เพราะคนเต็มใจให้
เกิด backfire หรือ paradox
ย้อนมาเป็นหอกทิ่มแทงตัวเอง