รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม เว็บมาสเตอร์และอธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สิทธิเสรีภาพของสื่อนับเป็นกระจกสะท้อนประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี ในช่วงหลังการทำรัฐประหารที่ผ่านมา พื้นที่ทางสื่อ เว็บไซต์ หลายพื้นที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ เช่นเดียวกับเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ชุมชนวิชาการขนาดใหญ่ของเมืองไทยที่มีคนเข้าไปอ่านกว่า 2 2.5 ล้านครั้งต่อเดือนถูกเจ้าหน้ากระทรวงไอซีทีปิดไปรอบหนึ่ง ก่อนศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองให้เว็บไซต์ดังกล่าวกลับมาเปิดได้อีกครั้ง
และเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ประชาไท ร่วมกับโครงการพื้นที่ทางสังคมและสื่อทางเลือก ได้มีโอกาสสนทนากับ รองศาสตราจารย์สมเกียรติ ตั้งนโม อาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการบดีและเว็บมาสเตอร์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จากการสนทนาหนนี้ อาจารย์สมเกียรติได้บอกเล่าถึงพื้นที่การสื่อสารในสังคมไทย และชวนผู้อ่าน ประชาไท จินตนาการถึง คลื่นลูกที่ 3 ที่จะมาปฏิรูปการเมืองไทยพร้อมร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงขัน ขึ้นมาใหม่ หลังการฟัดกันของคลื่นลูกที่ 1 และคลื่นลูกที่ 2 จบลง
คลื่นลูกที่ 3 นี้ มาได้อย่างไร เป็น คลื่นใต้น้ำ อย่างที่ผู้หลายคนพูดถึงหรือเปล่า มาฟังการอาจารย์สมเกียรติ ไขปริศนา คลื่นลูกที่ 3 นี้กัน
ประสบการณ์ที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนถูกปิดเว็บ มาในปัจจุบันนี้เปิดเป็นทางการได้แล้วใช่ไหมตอนนี้ โดยหลักการแล้ว เว็บไซต์
www.midnightuniv.org ได้รับการคุ้มครองชั่วคราวจากศาลปกครองกลางกรุงเทพฯ ให้สามารถเปิดเว็บไซต์ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่คำพิพากษาจริงๆ จะอยู่ช่วงเดือนธันวาคม ตอนนี้ที่เราเปิดได้เพราะศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้เปิดเว็บไซต์ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือ ICT ให้ดำเนินการแจ้งให้ ISP ทุกแห่งยุติการปิดกั้น และแจ้งให้ศาลทราบภายในวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา
จากตรงนี้อาจารย์คิดอย่างไรในประเด็นของสิทธิ เสรีภาพของสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็ดี หรือหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ อยู่ในสถานการณ์ที่น่าพอใจหรือไม่ และมีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างไรคิดว่าภายใต้ คมช. ซึ่งแปรรูปมาจาก คปค. อีกที มีประกาศ คปค. ฉบับที่ 5/2549 ว่าด้วยการให้อำนาจของกระทรวงไอซีที สามารถยับยั้ง หักห้าม ยุติ หรือทำลายเครือข่ายเว็บไซต์ได้ ถ้าเกิดเครือข่ายเว็บไซต์นั้นเป็นอันตรายต่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ผมคิดว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นการรอนสิทธิของคนที่ทำสื่อหรือเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่ประกาศ คปค. ฉบับที่ 5/2549 นี้ยังอยู่ คนที่ทำด้านสื่อโดยรวมจะถูกรอนสิทธิไม่ให้สามารถมีเสรีภาพในการแสดงออกในการสื่อสารได้อย่างเต็มที่ครับ
เป็นข้อจำกัด
ใช่ครับ
ถ้าพูดถึงประกาศ คปค. ฉบับที่ 5 มันจะทำให้กระบวนการประชาธิปไตยมีปัญหาอย่างไร ถ้ากฎอัยการศึก ยังอยู่
มันทำให้การแสดงออกของสื่อ การแสดงออกทางวิชาการ มีโอกาสถูกปิดกั้นได้ โดยให้กระทรวงไอซีทีเป็นเครื่องมือใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือของกระทรวงไอซีทีบล็อก ใช้ในการปิดกั้น
ฉะนั้นจริงๆ ก็คือภายใต้สภาวการณ์ปัจจุบัน กฎอัยการศึก และประกาศ คปค. ไม่เฉพาะฉบับที่ 5/2549 แต่ประกาศ คปค. ทุกฉบับควรจะเลิกได้แล้ว เพราะปัจจุบันเรากำลังมีคณะรัฐบาลใหม่ และเราอยู่ภายใต้กรอบมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว มันขัดแย้งกันนะ มาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว กับ คปค.ฉบับที่ 5
ฉะนั้น 2 ฉบับนี้ถ้าไปถึงศาล ศาลก็จะงงเหมือนกัน ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะว่าธรรมนูญว่าด้วยการให้สิทธิ เสรีภาพ ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งรัฐบาลไทยไปเซ็นสัญญา แต่ประกาศฉบับที่ 5/2549 กลับเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ มันขัดแย้งกัน ผมว่าศาลก็คงยุ่งยากใจพอสมควร ถ้าไม่ยกเลิกกฎอัยการศึก, ประกาศ คปค. ฉบับนี้หรือทั้งหมด
เมื่อเรามีรัฐบาลชั่วคราวแล้ว ดังนั้นมีกฎระเบียบต่างๆ ที่มันขัดแย้งกัน
ควรจะต้องยุติลงหรือทำให้มันหมดอายุลงไป
แต่ปัจจุบันประกาศ คปค. ทุกฉบับก็ยังอยู่จริงๆ เราไม่ได้มีแค่ 39 มาตราในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนะ เราต้องบวกประกาศ คปค. ทุกฉบับด้วย