เอาเงินคนไทยไปให้พม่ากู้...ให้ครอบครัวตัวเองขายของ11 พฤศจิกายน 2549 00:00 น.
นี่คือ"ผู้มีส่วนได้เสีย" ชัดๆ
คำว่า
"ผู้มีส่วนได้เสีย" ในกฎหมายว่าด้วยการปราบคอร์รัปชันของไทยนั้นจะเป็นบรรทัดฐานในการจับนักการเมืองและข้าราชการที่เข้าข่าย
"ผลประโยชน์ทับซ้อน" หรือConflict of Interest
และหากอีกด้านหนึ่งจับข้อหาเรื่อง "
สร้างความเสียหายต่อรัฐ" ด้วยแล้วก็จะยิ่งชัดเจนว่าการกระทำใดๆ ที่ "
ไม่มีใบเสร็จ" ชัดๆว่าฉ้อฉล แต่สร้างความเสียหายให้กับผลประโยชน์ต่อรัฐและประชาชน ก็ย่อมเข้าข่ายที่จะต้องถูกลงโทษอย่างเหมาะเจาะกับสิ่งที่กระทำลงไป
เมื่อเรื่องผัวเป็นนายกฯและเมียไปแย่งซื้อที่ดินจากประชาชนแล้ว ก็ย่อมเข้าข่ายมาตรา 100 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (กฎหมาย ป.ป.ช.) ที่ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญา "มีส่วนได้เสีย" ในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
เพราะตามกฎหมายแล้วผัวกับเมียเป็นคนคนเดียวกัน การกระทำใดๆ ของเมียก็คือการกระทำของผัว และหากเมียไปทำอะไรที่เกี่ยวกับรัฐ ก็ย่อมเป็นเรื่องของการ "
มีส่วนได้เสีย" ซึ่งก็คือการทับซ้อนของผลประโยชน์ที่ชัดเจน
จะพูดอย่าง"
ศรีธนญชัย" ว่าเรื่องอย่างนี้ "
ผิดจริยธรรมแต่ไม่ผิดกฎหมาย" ไม่ได้อีกต่อไป
ทำนองเดียวกับการที่ทักษิณ สมัยเป็นนายกฯ ตัดสินใจให้รัฐบาลพม่ากู้เงิน 4 พันล้านบาท ผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ Ex-Im Bank ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ และปรากฏว่าโครงการที่เงินกู้ก้อนนี้ช่วยสนับสนุนนั้น ได้มีกลุ่มบริษัทเอกชนไทยที่เป็นคู่สัญญากับทางการพม่า 14 บริษัท ทั้งหมด 19 สัญญา
และในเหล่าบรรดาบริษัทเอกชนไทยที่ได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากสัญญาเหล่านี้มีชื่อ
บริษัทชิน แซทเทลไลท์ ในเครือชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตร2 สัญญา มูลค่า 600 ล้านบาท
นี่คือตัวอย่างของการ"
ทับซ้อนผลประโยชน์" หรือภาษีของกฎหมายป.ป.ช. คือ "
ผู้มีส่วนได้เสีย" ของครอบครัวของคนของรัฐ...และในกรณีนี้ขณะที่เกิดเรื่อง เมียนายกฯและลูกนายกฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของชินคอร์ปอยู่
เมียกับผัวเป็นคนคนเดียวกันตามกฎหมายจึงชัดเจนว่านี่คือการมี "
ส่วนได้เสีย" ของคนที่เป็นผู้นำของประเทศไม่เพียงแค่ผิดจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายว่าด้วยการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างชัดเจนอีกด้วย
และยังมีบริษัทกรุงไทยแทรคเตอร์ 3 สัญญา มูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท...ตามข่าวที่รู้กันบอกว่า บริษัทนี้เป็นของครอบครัว
นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณมาก่อนด้วย
นี่ก็เป็นตัวอย่างของConflict of Interest ที่จะแจ้ง รัฐมนตรีคนไหนที่ต้องการจะแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่มี "
ส่วนได้เสีย" เมื่อตนมีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ก็จะต้อง "
รักษาระยะห่าง" อันเหมาะควรกับธุรกิจที่อาจจะทำให้เกิดความสงสัยว่าญาติพี่น้องของตนได้ใช้อิทธิพลของตนในการเข้าแข่งขันกับเอกชนรายอื่นๆ
อย่างนี้คือประเด็นเรื่อง
"สนามแข่งขันที่ไม่เรียบเสมอกัน" หรือไม่ใช่Level-Playing Field ที่คนไทยต้องการเห็นเพื่อความเสมอภาคในประเทศ และเพื่อปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เป็นมะเร็งร้ายที่เกาะกินประเทศชาติอย่างร้ายแรงยิ่ง
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลคุณสุรยุทธ์ ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำอย่างเป็นรูปธรรมว่า ที่ปฏิวัติเพื่อขับไล่ทักษิณออกไปนั้น จะตามไล่ล่าเอาสมบัติของประชาชาติคืนมาและลงโทษคนโกงในรูปแบบต่างๆอย่างขะมักเขม้นและเข้มข้นสมกับความคาดหวังของประชาชนhttp://www.bangkokbiznews.com/level3/news_120407.jspกาแฟดำ ยิงตรงอีกแล้ว