บัวแก้วเต้นกดขี่มุสลิมระบุผู้นำ'ปาส'บั่นทอนร่วมมือตอก'แม้ว'ไม่รับผิด-โยนสื่5 กันยายน 2548 กองบรรณาธิการ
รัฐบาลเต้นถูกหากดขี่มุสลิม โฆษกกระทรวงต่างประเทศแถลงโต้มุขมนตรีแห่งรัฐกลันตันวิจารณ์ไม่สร้างสรรค์ บั่นทอนความร่วมมือของ 2 ประเทศ หลายฝ่ายตอก "แม้ว"
ปิดปากสื่อเพื่อหนีความเป็นจริง ปชป.เตือนอย่าผูกขาดรักชาติคนเดียว ส.ส.นราธิวาสแฉกฎหมายติดหนวดแผลงฤทธิ์ หน่วยเหนือกำหนดนโยบายวัดปริมาณผู้หลงผิดเข้ามอบตัว ลูกน้องสนองนายไล่ต้อนผู้บริสุทธิ์เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ชี้ชาวบ้านหวาดผวาหนีเข้ามาเลย์เพราะเชื่อเจ้าหน้าที่ฆ่าโต๊ะอิหม่าม ผวจ.นราฯ นำทีมบุกเจรจาเจอต้าน อ้างมือที่สามสร้างสถานการณ์
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกคำชี้แจงเมื่อวันที่ 4 กันยายนนี้ ถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในกรณีที่มีรายงานข่าวการให้สัมภาษณ์ของดาโต๊ะ นิก อาซิซ ผู้นำพรรค PAS ในรัฐกลันตันและมุขมนตรีแห่งรัฐกลันตัน มาเลเซีย วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รวมทั้งเรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ว่าการแสดงทัศนะของดาโต๊ะ นิก อาซิซ ดังกล่าว แสดงถึงการไม่รับรู้หรือสะท้อนถึงเจตนาที่จะไม่พยายามรับรู้ถึงการดำเนิน การของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในภาคใต้ ซึ่งได้เน้นแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเสริมสร้างสันติสุขและความมั่นคงในบริเวณชายแดน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ย่อมสวนทางกับความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียที่ดำเนินการมา อย่างใกล้ชิด ในการเสริมสร้างความมั่นคงบริเวณแนวชายแดนระหว่างกัน และการร่วมกันพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดน เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งรวมทั้งชายแดนบริเวณด้านรัฐกลันตันด้วย ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ในกรณีเหตุการณ์คนไทย 131 คน ที่ได้เดินทางเข้าไปในมาเลเซียอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ได้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างไทยและมาเลเซียในทุกระดับ โดยรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายมีความเข้าใจที่ดีต่อกัน และได้กำหนดแนวทางร่วมกันที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความเป็น เพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน
"ในภาวการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศกำลังดำเนินความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จึงมีความจำเป็นที่บุคคลระดับสูงของทั้งสองฝ่ายต้องหลีกเลี่ยงการแสดงทัศนะ ใดๆ ที่จะส่งผลบั่นทอนต่อความพยายามร่วมกันของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศที่จะร่วมมือกันส่งเสริมความมั่นคงในบริเวณชายแดนทั้ง 2 ประเทศ และการสร้างการกินดีอยู่ดีของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ทัศนคติของมุขมนตรีแห่งรัฐกลันตันนอกจากจะส่งผลกระทบข้างต้นแล้ว ยังจะบั่นทอนต่อความพยายามของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาในภาคใต้บนพื้นฐานแนว ทางสมานฉันท์อีกด้วย" นายสีหศักดิ์ระบุ
"แม้ว" ป้ายสื่อหวังกลบข่าว
ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความเห็นแย้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้สื่อมวลชนหยุดเสนอข่าวคนไทย 131 คนหนีภัยความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าไปหลบซ่อนตัวในเขตประเทศมาเลเซียและถูกจับกุม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จุดประสงค์ของนายกรัฐมนตรีคือต้องการให้เรื่องนี้เงียบหายไปเฉยๆ ซึ่งคิดว่ายิ่งจะสร้างความไม่เข้าใจให้คนที่เกี่ยวข้องและผู้ที่รับรู้ ข่าวสาร รัฐบาลควรออกมาทำความชัดเจนว่าปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็มีจุดยืนชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาภายในที่เราจะ ต้องแก้ไขกันเอง รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากการอพยพหนีภัยของคนไทย 131 คนเป็นไปตามคำพูดของ รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย ที่ว่าเกิดความเข้าใจผิด ชาวบ้านคิดว่าเจ้าหน้าที่จะทำร้าย รัฐบาลก็ยิ่งต้องเร่งทำความเข้าใจ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่โดยเร็ว หรือหากเป็นการสร้างสถานการณ์ของคนบางกลุ่ม รัฐบาลก็ต้องหาว่าบุคคลนั้นคือใคร
ในส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้เชิญ ส.ส.ภาคใต้ของฝ่ายค้านเข้าหารือสะท้อน ปัญหาในกลางสัปดาห์นี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันจันทร์และอังคารนี้ พรรคจะสรุปประเด็นข้อเสนอต่างๆ โดยข้อเสนอที่จะเสนอต่อรัฐบาลนั้น จะมีการเฉพาะเจาะจงเป็นประเด็นๆ ไป โดยเฉพาะเรื่องที่ละเอียดอ่อน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้นายกฯ ใจเย็นๆ และมองปัญหาอย่างแยกแยะกรณีคนไทยอพยพเข้ามาเลเซีย การเสนอข่าวของสื่อมวลชนเป็นไปตามข้อเท็จจริง นายกฯ จึงไม่ควรห้ามสื่อ เพราะสื่อก็มีเลือดไทยเข้มข้นเช่นเดียวกับนายกฯ จึงไม่อยากให้นายกฯ มองสื่อในแง่ร้าย หรือแม้สื่อไทยไม่เสนอข่าวนี้ เหตุดังกล่าวก็เป็นข่าวแพร่ไปทั่วโลกอยู่แล้ว
"ที่นายกฯ ระบุว่ามีวิชามารอยู่เบื้องหลังนั้น ก็เป็นหน้าที่ของนายกฯ ต้องจัดการกับมารดังกล่าวมากกว่าการออกมาพูดด้วยอารมณ์"
นายองอาจกล่าวว่า ไม่มีคนไทยคนไหนในประเทศอยากย้ายไปประเทศอื่นหากไม่มีเหตุการณ์อะไรมากระทบ ต่อชีวิตของพวกเขา ส่วนการนัดหารือเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่าง ส.ส.ฝ่ายค้านกับนายกฯ นั้น พรรคจะระดมข้อมูลอีกครั้งในวันที่ 6 ก.ย.นี้ ก่อนมอบหมายให้ ส.ส.ของพรรคไปพูดคุยกับนายกฯ ในวันที่ 8 ก.ย. โดยจะมี ส.ส.ในจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ภายใต้การนำของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรค โดยมี ส.ส.ภาคใต้ของพรรคชาติไทย 1 คนร่วมด้วย ทั้งนี้ พรรคเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่จะนำเสนอต่อนายกฯ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หากนายกฯ และรัฐบาลจะนำไปแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้
แฉเหตุชาวบ้านเผ่นเข้ามาเลย์
นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคได้ส่งทีมงานไปสอบถามข้อมูลที่เป็นจริงจากคนไทย 131 คนที่อพยพเข้ามาเลเซียแล้ว พบว่าประชาชนที่อพยพไป เกิดความกดดันจากนโยบายสร้างภาพของรัฐบาลที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองต้องการ ให้มีคนมามอบตัวจากกรณีความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงให้นโยบายเจ้าหน้าที่ระดับล่างเป็นทอดๆ ให้นำประชาชนที่หลงผิดมามอบตัวให้มากที่สุด จึงทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น "ลูกน้องต้องการเอาใจนาย สนองนโยบายนาย บางพื้นที่ถึงกับมีการร้องขอให้ประชาชนบริสุทธิ์ช่วยเข้ามามอบตัวทั้งที่ ไม่มีความผิด ซึ่งประชาชนเหล่านี้ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพราะตัวเองไม่มีความผิดและไม่ต้องการให้มีประวัติที่มีปัญหาเกี่ยวกับความ มั่นคง เมื่อมีแรงกดดันข่มขู่ต่างๆ นานา ทำให้ประชาชนหมดที่พึ่ง เพราะนอกจากกลัวอำนาจมืดแล้วต้องมากลัวอำนาจรัฐอีก และหาทางออกไม่ได้จึงอพยพทิ้งถิ่นฐานไปขออาศัยอยู่กับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้" นายเจะอามิงกล่าว
ส.ส.นราธิวาสเรียกร้องให้รัฐบาลทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่อย่างเร่ง ด่วน ให้ความมั่นใจว่าอำนาจรัฐจะไม่รังแกประชาชน และไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกในอนาคต
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า การทำหน้าที่ของสื่อหรือฐานันดรที่ 4 ถือเป็นกระจกเงาบานใหญ่ เป็นตัวตนของสังคมไทย ที่จะสะท้อนภาพความเป็นจริงของสังคมในการนำเสนอปัญหาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสื่อก็ต้องตระหนักในเรื่องความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศไทยอยู่แล้ว ข่าวที่ออกมาได้สะท้อนถึงความห่วงใย และต้องการเห็นแนวทางที่ชัดเจนของรัฐบาลในการแก้ปัญหาคนไทย 131 คนที่กำลังทิ้งแผ่นดิน เพราะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
"พรรคฝ่ายค้านอยากเห็นรัฐบาลทำความกระจ่างว่าทั้ง 131 คนอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรจึงจะมาพูดความจริงได้ เพราะต่างพูดกันไปเองว่าเหตุที่หนีไปเนื่องจากไม่สามารถพึ่งอำนาจรัฐได้ อยู่แล้วไม่ปลอดภัย จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ" นายสมศักดิ์กล่าว และว่า ตนเป็นห่วงเรื่องการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ผ่านมา 1 เดือนแล้ว ทำให้ประชาชนอกสั่นขวัญแขวนไม่มีความเชื่อมั่นและถูกคุกคามจากอำนาจรัฐนั้น จริงหรือไม่ หากเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐจะเป็นอันตราย อย่างใหญ่หลวง เหมือนกับการที่ รมว.ต่างประเทศของมาเลเซีย ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องรับฟัง และรีบสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับประชาชนว่าสามารถใช้อำนาจรัฐคุ้ม ครองดูแลให้ความสงบสุขแก่ประชาชนได้
"การที่คนต่างประเทศมองว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจแล้วจึงทำให้คนในประเทศต้องหลบ หนีทิ้งแผ่นดินไปอาศัยอำนาจรัฐที่อื่น ถือเป็นเรื่องอันตราย และการที่นายกฯ ออกมาบอกให้ทุกฝ่ายหยุดพูดแล้วคิดว่าจะดีขึ้นนั้น มันกลับตรงกันข้าม เพราะถ้าหยุดพูดหรือไม่ให้นำเสนอข้อมูล ไม่มีเสียงสะท้อนใดๆ ออกมาจะยิ่งเกิดความอึมครึมมากขึ้น ทำให้รู้สึกเคลือบแคลงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นรัฐบาลต้องพูดให้ชัด ต้องกล้าให้คนที่รู้จริงออกมาพูด เพราะรัฐบาลมีหน้าที่แก้ปัญหา ไม่ใช่หมกปัญหาหรือซุกปัญหาด้วยการไม่ให้พูด ปิดหูปิดตา ไม่ให้ผู้คนรับรู้หรือมีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาของคนทั้งประเทศ เพราะนี่คือระบอบประชาธิปไตย"
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า การที่นายกฯ ห้ามพูดเรื่องนี้ สร้างความหวาดวิตกให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก ตนขอถามว่าทำไมสื่อจึงพูดเรื่องนี้ไม่ได้ในเมื่อเป็นความจริง ถ้านายกฯ อยากให้เรื่องนี้เป็นไปด้วยดี นายกฯ ก็ควรเริ่มต้นด้วยการขอโทษประชาชนต่อทุกๆ สิ่งที่ได้ทำผิดไป แต่การที่นายกฯ ห้ามไม่ให้เสนอข่าว สิ่งที่จะตามมาคือจะมีหน่วยงาน องค์กรอิสระ องค์กรสิทธิมนุษยชนเข้ามายุ่มย่ามกับเรามากขึ้น เพราะตอนนี้เขากำลังจับตาจ้องมองเราอยู่ว่าสถานการณ์ของไทยจะเหมือน สถานการณ์ของกลุ่มอาเจะห์ในอินโดนีเซียหรือไม่
เตือนฆ่าโต๊ะอิหม่ามประเด็นเดือด
นายอับดุลเราะห์มาน อับดุลซามัด ประธานคณะกรรมการกลางอิสลามจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า ชาวบ้านจากอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นญาติของคนไทยมุสลิม 131 คนที่หลบหนีเข้ามาเลเซีย และญาติของนายสะตอปา ยูโซ๊ะ โต๊ะอิหม่ามมัสยิดบ้านระหาร ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต มาหาตนและบอกว่าที่คนไทย 131 คนหลบหนีออกจากพื้นที่ เป็นเพราะรู้สึกกดดันและเกรงกลัวการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ซึ่งคนที่ยังอยู่ในพื้นที่ อยู่ระหว่างชั่งใจว่าจะทำอย่างไร หากรัฐไม่ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ก็มีแนวโน้มว่าชาวบ้านอีกจำนวนมากจะหลบหนีเข้าประเทศมาเลเซีย
นายมิมะนาเซ สะมะอารี นายกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่คนไทย 131 คนหลบหนีเข้ามาเลเซียและถูกจับกุม จากการสอบถามข้อมูลจากคนในพื้นที่ ทราบว่าการอพยพเข้าไปในรัฐกลันตันของคนไทยกลุ่มดังกล่าว น่าจะเกิดจากการที่ภาครัฐไปกดดัน โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่มากเกินไป
"เท่าที่ทราบคือทางผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ได้ทำหนังสือถึงนายอำเภอ ทุกอำเภอในพื้นที่ ให้นำกลุ่มวัยรุ่นที่หลงผิดเข้ามามอบตัว และหากไม่เข้ามอบตัว ก็มีคำขู่ว่าทางการจะเข้าไปจับกุมตัวโดยทันที ซึ่งในส่วนนี้ผมเข้าใจว่าผู้ที่หลบหนีเข้าไปในประเทศมาเลเซียคงเกิดความกด ดัน ที่สำคัญคือพวกเขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุยิงนายสะตอปา ยูโซ๊ะ โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดบ้านละหาร อ.สุไหงปาดี ทั้งนี้เพราะชาวบ้านในพื้นที่มีข้อมูลว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นฝีมือของ เจ้าหน้าที่ของรัฐ" นายมิมะนาเซระบุ
นายกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.เปรียบเสมือนละครฉากหนึ่งที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความไม่สงบที่ เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ อีกทั้งจนถึงขณะนี้ตนเชื่อว่ารัฐบาลก็ยังไม่ทราบเลยว่าผู้ใดเป็นผู้อยู่ เบื้องหลังเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเห็นว่าเมื่อรัฐบาลประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก.แล้วก็ยังไม่ทำให้เหตุการณ์ในพื้นที่ดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน ยิ่งส่งผลให้เหตุการณ์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส.ว.นัดถกคณะทำงานถูกลอบยิง
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ว.นครราชสีมา และประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวว่า การที่คนไทย 131 คนลี้ภัยยังประเทศมาเลเซีย แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงต้องไปหาที่อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า ที่ตนทราบว่าโยงไปถึงการฆ่าโต๊ะอิหม่ามที่พวกเขานับถือ ทำให้ทุกคนหวาดกลัวและหลบหนี การที่รัฐบาลรีบร้อนออกมาระบุว่าการอพยพดังกล่าวเป็นการจัดฉาก โดยที่ไม่สอบสวนข้อเท็จจริงเสียก่อนจึงไม่สมควรอย่างยิ่ง ซึ่งแม้แต่คณะทำงานของตนก็ยังถูกลอบยิงอาการสาหัส จึงจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ วุฒิสภา ที่มี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานีเป็นประธาน ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี กล่าวว่า การที่คนไทย 131 คนหลบหนีเข้ามาเลเซีย สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของการประกาศใช้ พ.ร.ก. ที่ออกมาไม่ตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่ หากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น รัฐต้องจริงใจต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูล หรือกล้าเปิดเผยความจริง ไม่ใช่ออกมาตำหนิติติงสื่อว่าไม่ควรเสนอข่าว
"ตอนนี้รัฐบาลกำลังนำประเด็นรักชาติ ไม่รักชาติ มาปลูกฝังให้คนไทยเข้าใจแบบผิดๆ ว่าคนที่รักชาติคือคนที่เห็นด้วยกับรัฐบาล ส่วนพวกที่ไม่รักชาติคือคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและไม่เอา พ.ร.ก. หากรัฐใช้แนวคิคแบบนี้ประชาชนที่บริสุทธิ์ก็จะเดือดร้อนอีกมากมาย" นพ.นิรันดร์กล่าว
คุกคามนักสิทธิมนุษยชน 3 จว.
ที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) มีการแถลงกรณีการคุกคามนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและชาวบ้าน 131 คนอพยพเข้ามาเลเซีย
นายสมชาย หอมละออ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวว่า ขณะนี้ภัยคุกคามนักสิทธิมนุษยชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทวีความรุนแรงขึ้นมาก ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รัฐบาลจึงควรส่งคนไปให้ความคุ้มครองบุคคลเหล่านี้ เพราะถือเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารให้กับสังคมรับทราบ ซึ่งเป็นผลดีต่อนโยบายสมานฉันท์ของรัฐบาล ส่วนกรณีการลอบยิงนายสะตอปา อาแว คณะทำงานด้านคนหาย ก็ขอเรียกร้องให้รัฐบาลติดตามหาคนทำผิดมาลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือใครก็ตาม
"เหตุการณ์ที่คนไทยลี้ภัยไปมาเลเซีย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าบ้านเมืองไทยไม่ปกติจริง เหมือนกับที่พม่าและเขมรอพยพเข้าประเทศไทย วันนี้สถานการณ์ภาคใต้ยังมีการลอบฆ่าผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมชาวบ้านต้องหลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย"
นายสมชายกล่าวว่า การที่ไทยเรียกร้องให้ทางการมาเลเซียส่งตัวคนไทยกลับมานั้น คงไม่มีประโยชน์อะไร แต่จะยิ่งขายหน้า เพราะคนไทยเหล่านี้มีสิทธิ์ได้รับการดูแลตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติก็ส่งคนไปดูแลอยู่แล้ว รัฐบาลจึงควรแก้ปัญหาที่ต้นตอ หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ สุดท้ายภาคใต้จะเป็นประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า ครป.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดทางให้คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่ง ชาติ (กอส.) เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับภาครัฐ เพื่อสร้างความกระจ่างต่อประชาชน เพราะรัฐบาลพยายามบอกว่าคนไทยมุสลิม 131 คนลักลอบเข้าไปทำงานบ้าง หรือมีนักการเมืองท้องถิ่นหนุนหลัง แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเรื่องนี้เป็นผลมาจากการบังคับใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ หากการลี้ภัยครั้งนี้เป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายจริง ก็ย่อมสะท้อนชัดเจนว่ารัฐบาลยังไม่ได้นำแนวทางสมานฉันท์มาใช้อย่างจริงจัง ยังไม่สามารถขจัดเงื่อนไขความหวาดระแวงในพื้นที่ได้
"วันนี้ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวเรื่องนี้ ไม่มีประโยชน์ที่รัฐบาลจะห้ามสื่อเสนอข่าว เพราะสำนักข่าวต่างประเทศก็คงได้ข่าวนี้ และเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งกว่าถ้าสำนักข่าวของไทยไม่รู้ แต่ต่างประเทศรู้" นายสุริยะใสกล่าว
น.ส.กชวรรณ ชัยบุตร เลขาธิการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) กล่าวว่า สมัยก่อนตนและเพื่อนๆ ในองค์กรสามารถสอบถามข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์กับเพื่อนๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่หลังจากมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ ตนและเพื่อนๆ ไม่สามารถติดต่อกันได้อีกเลย เพราะมีการดักฟังโทรศัพท์ นี่คือสิ่งที่แสดงออกถึงความไม่จริงใจของรัฐ จึงคิดว่ารัฐบาลน่าจะยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
ชี้มือที่สามยิงโต๊ะอิหม่าม
วันเดียวกัน นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง ในพื้นที่ อ.สุไหงปาดี เพื่อหาข้อสรุปในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านในพื้นที่บ้านละหาร เหนือ หมู่ 8 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี กับเจ้าหน้าที่ หลังคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงนายสะตอปา ยูโซ๊ะ อายุ 53 ปี โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดบ้านละหารเหนือ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 48 โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่ปักใจเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้ประชาชนใน 4 อำเภอ จำนวน 131 คน อพยพไปยังประเทศมาเลเซีย
การประชุมดังกล่าวเป็นไปอย่างเคร่งเครียดประมาณ 1 ชั่วโมง สรุปว่าการสังหารนายสะตอปาเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อให้เจ้าหน้าที่กับประชาชนเกิดความแตกแยก โดยมีระดับแกนนำกลุ่มผู้ไม่หวังดีประมาณ 3 คน อยู่เบื้องหลังเป่าหูชาวบ้านให้อพยพเข้ามาเลเซีย
หลังการประชุมเสร็จสิ้น ผวจ.นราธิวาสได้นำคณะเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 25 หมู่ 8 บ้านละหารเหนือ ซึ่งเป็นบ้านของนายสะตอปา ยูโซ๊ะ ผู้เสียชีวิต เพื่อเข้าเยี่ยมเยียนทำความเข้าใจกับภรรยาและเครือญาติ โดยทางขบวนได้จัดให้มีกองกำลังตำรวจ ทหาร และ อส.ฝ่ายปกครองติดตามไปด้วยเพื่อคุ้มกัน แต่เมื่อถึงจุดหมายได้มีกลุ่มแม่บ้านและเด็กนักเรียนตาฎีกาประจำมัสยิดบ้าน ละหารเหนือกว่า 100 คน รวมตัวกันปิดถนนทางเข้ามัสยิดไม่ให้คณะนายประชาและสื่อมวลชนผ่านเข้าไป โดยบรรดาเด็กๆ และวัยรุ่น อายุระหว่าง 10-15 ปีทั้งชายและหญิง กล่าวว่า "หมู่บ้านนี้ไม่ต้อนรับเจ้าหน้าที่ที่รังแกประชาชน" เด็กบางคนถือไม้แสดงอาการโกรธแค้น ด้วยการใช้ท่อนไม้เคาะลงกับพื้นถนน จนเจ้าหน้าที่และทีมสื่อมวลชนต้องถอยออกไปยังถนนใหญ่
อย่างไรก็ตาม จากการเจรจา ชาวบ้านก็ยอมให้ ผวจ.นราธิวาสและสื่อมวลชนส่วนหนึ่งเข้าไปได้ ยกเว้นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองที่ชาวบ้านไม่ยอมให้เข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ นักเรียนตาฎีกา 1 คนได้สวดอาซานผ่านเครื่องขยายเสียงเพื่อเป็นสัญญาณเตือนคนในหมู่บ้านเตรียม พร้อมรับสถานการณ์ ขณะที่ชายฉกรรจ์นับร้อยคนในหมู่บ้านไม่ยอมปรากฏตัวให้เจ้าหน้าที่เห็น แต่สุดท้ายก็ไม่มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น โดยคณะ ผวจ.นราธิวาสได้เดินทางกลับในอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งอ้อมกว่าเพื่อความปลอดภัย
ในการชี้แจงต่อญาตินายสะตอปา ผวจ.นราธิวาสกล่าวว่า พร้อมจะให้ความเป็นธรรมในเรื่องนี้ แต่เบื้องต้นไม่ควรปักใจว่าคนร้ายคือเจ้าหน้าที่ ขอให้มีการสืบสวนสอบสวนก่อน
นายประชาให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.สุไหงปาดีครั้งล่าสุด มีแนวร่วมอย่างน้อย 3 คนปลุกระดมชวนเชื่อชาวบ้านให้ออกนอกพื้นที่ ซึ่งผู้ปลุกระดมก็เดินทางปะปนไปกับชาวบ้านทั้ง 131 คน และต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ก่อนที่จะถูกส่งกลับมายังภูมิลำเนา และจะมีการตรวจสอบรายชื่อต่อไป
จะขอลี้ภัยทำได้ยาก
มีรายงานว่า คนไทย 131 คนที่ถูกทางการมาเลเซียจับกุม ขณะนี้ยังถูกควบคุมไว้ที่สถานกักกันด่านตรวจคนเข้าเมืองตาเนาะแมเราะ ต.ปาเสมัส รัฐกลันตัน โดยเมื่อเย็นวันเสาร์ นายสุโข ภิรมย์นาม กงสุลใหญ่เมืองโกตาบารู พร้อมเจ้าหน้าที่ไทย ได้ประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการมาเลเซียที่กรุงกัวลา ลัมเปอร์ เพื่อเจรจาในรายละเอียดเกี่ยวกับการช่วยเหลือ โดยเฉพาะเรื่องการส่งตัวคนไทยกลับประเทศ แต่ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ในเรื่องการปล่อยตัวคนไทยว่าจะเป็นวันใด เนื่องจากเป็นอำนาจการตัดสินใจของรัฐบาลกลางมาเลเซีย
สำหรับคนไทยที่ถูกจับกุม ได้รับการปฏิบัติดูแลจากเจ้าหน้าที่มาเลเซียเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารการกินและที่พักอาศัย ในขณะเดียวกันประชาชนชาวมาเลเซียเองก็เห็นใจในชะตากรรมของคนไทยกลุ่มนี้ จึงได้ช่วยกันบริจาคเงินมอบให้จำนวน 3 พันริงกิต หรือประมาณ 3 หมื่นบาท
นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า วันที่ 5 ก.ย.นี้ สำนักงานอัยการสูงสุดคงได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ประสานความช่วยเหลือคนไทย ที่ถูกมาเลเซียจับกุม ซึ่งคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะไทยและมาเลเซียมีความร่วมมือต่อกันอยู่แล้ว ในส่วนของคนไทยที่ถูกจับกุม หากจะขอลี้ภัยในมาเลเซียโดยอ้างความไม่ปลอดภัยหลังการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และได้รับการรับรองจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
ด้านสถานการณ์ความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง นายธำรง ลิ้มเจริญ อายุ 48 ปี มีอาชีพหาของป่า ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านในท้องที่หมู่ 2 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เพื่อออกไปหาของป่า ระหว่างทางถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต คาดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์
นายไพศาล พรหมยงค์ คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) กล่าวว่า การแก้ปัญหาสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาล ยังมีความสับสนมาตลอด ล่าสุดเอาดาราไปขายสินค้าถูก หรือจะติดตั้งยูบีซีถ่ายทอดฟุตบอล รวมทั้งมีรายการที่อาจจะไม่เหมาะหรือขัดต่อศาสนาอิสลาม
"เวลานี้การกระทำของรัฐบาลทำให้ชาวบ้านมองในภาพลึกว่ารัฐบาลรับจ๊อบมาทำลาย สังคมมุสลิมหรือเปล่า เขามองเลยว่าท่านทักษิณไปรับนโยบายของพวกยุโรปตะวันตกมาทำลายศาสนาและ วัฒนธรรมของคนในพื้นที่ ที่คิดว่าจะติดยูบีซีให้คนดูบอลในขณะที่รัฐบาล กำลังปราบปรามโต๊ะรับพนันบอล เรื่องนี้แค่คิดก็บ้าแล้ว" นายไพศาลกล่าว
นายไพศาลกล่าวว่า ประมาณกลางเดือนนี้ กอส.จะสรุปข้อมูลเบื้องต้นเพื่อส่งให้นายกรัฐมนตรี จากนั้น กอส.ก็จะยุบตัวลง ที่ผ่านมา กอส.เคยเสนอกับรัฐบาลที่จะทำอะไรหลายอย่าง แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง
"แต่เรื่องบ้าๆ กลับไปตอบสนอง โดยเฉพาะเรื่องยูบีซี เป็นเรื่องผลประโยชน์เพื่อหาที่ระบายสินค้า ขยายเครือข่ายเท่านั้น"
นายไพศาลกล่าวว่า ข่าวในภาคใต้ที่ผ่านมามักออกจากปากคนในรัฐบาล แต่นายกฯ ก็กลับมาโทษการนำเสนอข่าวของสื่อ อีกทั้งการปฏิบัติของรัฐบาลมักจะสวนทางกับคำพูดของรัฐบาลที่บอกว่าต้องการ ให้ประชาชนเข้ามาเป็นแนวร่วม เพราะขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐยังมองว่าประชาชนคือตัวปัญหา ล่าสุดเจ้าหน้าที่ก็จับกุมผู้หญิงที่เรียนจบมาจากประเทศจอร์แดนเพียงแค่มี เอกสารเรื่องรัฐปัตตานี ซึ่งปกติแล้วเอกสารดังกล่าวมีอยู่ทั่วไป ในเว็บไซต์ก็มีเต็มไปหมด ผู้หญิงคนนี้เพิ่งคลอดลูกได้ 6 เดือน ลูกยังกินนมแม่อยู่ แต่มีนายทหารยศพันเอกคนหนึ่งไปประกันตัวออกมา เจ้าหน้าที่จับกุมผู้หญิงคนนี้มาเพื่อที่จะต่อรองให้พี่ชายที่หนีไปเข้ามอบ ตัว
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=5/Sep/2548&news_id=112555&cat_id=501