สั่งไม่ฟ้อง..ถอนฟ้อง..กลุ่มพันธมิตร..เพื่อความสมานฉันท์..ป.วิ อาญา มาตราไหนครับ อ่านไม่เจอ
แต่คนไหนที่เป็นพวกรัฐบาลเก่า กลับรีบเร่งลนลานหาพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับมาดำเนินคดีโดยไว
มันเป็นดับเบิ้ลแสตนดาร์ต..หรือเปล่าครับ หรือเพื่อความสมานฉันท์ของพวก ข้าฯ เองหรือ ขอรับ ผู้มีอำนาจวาสนา
บ้าดีเมืองไทย+-+
มาตราที่ว่าด้วยการสั่งถอนฟ้องค่ะ อ่านใหม่ก็แล้วกัน
แล้วที่โกวิทย์สั่งไม่ฟ้องนายทักษิณ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ป.วิ อาญา มาตราไหนคะ อ่านไม่เจอเหมือนกัน
http://webboard.mthai.com/7/2006-09-03/264351.htmlถอนฟ้อง "ธัมมชโย" กับค่านิยมหันหลังให้ความจริง
โดย สุรพศ ทวีศักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หัวหิน
ความเหมือนโดยบังเอิญระหว่างการปฏิเสธ "ทักษิณ" กับการปฏิเสธ "พระธัมมชโย" (พระราชภาวนาวิสุทธิ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คือ มีการปฏิเสธทักษิณแต่ไม่ได้ปฏิเสธพรรคไทยรักไทย มีการปฏิเสธพระธัมมชโยแต่ไม่ได้ปฏิเสธวัดพระธรรมกาย
สังคมต้องการให้ทักษิณเคลียร์ตัวเองในข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การเลี่ยงภาษีเป็นต้นตามกระบวนการยุติธรรมฉันใด ก็ต้องการให้พระธัมมชโยได้เคลียร์ตัวเองในข้อหาเรื่องเงินวัด เรื่องความซื่อตรงต่อพระไตรปิฎกเป็นต้นตามกระบวนการยุติธรรมและกระบวนการทางพระธรรมวินัยฉันนั้น
แต่น่าเสียดายที่สังคมไม่มีโอกาสได้เห็นคุณทักษิณพิสูจน์ตนเองด้วยกระบวนการยุติธรรม และการถอนฟ้องคดีพระธัมมชโยกับลูกศิษย์เมื่อ 22 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา ก็ตัดโอกาสที่ท่านจะได้พิสูจน์ ความบริสุทธิ์ของตนเองหลังจากที่ถูกกล่าวหามานานกว่า 7 ปี
การถอนฟ้องจึงแทนที่จะทำให้สังคมได้กระจ่างในความจริง กลับทำให้สังคมอยู่กับความคลุมเครืออีกต่อไป
โปรดพิจารณาเหตุผลของการถอนฟ้องคดีพระธัมมชโย ซึ่งสาระสำคัญมี 3 ประการ ดังนี้
1.เพราะพระธัมมชโย คืนเงินและที่ดินมูลค่า 959,300,000 บาท ให้แก่วัดพระธรรมกายแล้วจึงไม่ดำเนินคดีฐานยักยอกทรัพย์
2.เพราะได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือกิจการของศาสนาทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก
3.เพราะบ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ
จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามต่างๆ ตามมา เช่น
1.เป็นการทำลายบรรทัดฐานความยุติธรรมตามกฎหมายหรือไม่? ถ้ามีการจับใครก็ตาม และฟ้องดำเนินคดียักยอกทรัพย์แล้วเขายอมคืนเงินให้ก็ถือว่าไม่มีความผิด ต่อไปถ้านักการเมืองหรือใครๆ ถูกจับได้ว่าโกงเงิน แล้วยอมคืนเงินก็ต้องถือว่าไม่มีความผิดเช่นกันใช่หรือไม่
ที่สำคัญตามพุทธบัญญัติอาบัติปาราชิกที่พระภิกษุละเมิดแล้วขาดจากความเป็นพระที่ว่า "ภิกษุมีเจตนาถือเอาทรัพย์ของผู้อื่น ได้ราคา 5 มาสก (1 บาท) ขึ้นไป ต้องขาดจากความเป็นภิกษุ" องค์กรปกครองสงฆ์ที่มีหน้าที่วินิจฉัยจะยึดการจำหน่ายคดีนี้เป็นเหตุผลว่าพระธัมมชโยไม่ได้ต้องอาบัติปาราชิกได้หรือไม่
ผู้เขียนไม่เก่งภาษากฎหมาย แต่ข้อความว่า "...จำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดซึ่งมีทั้งที่ดินและเงิน จำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย..." (มติชน,23/8/2549) ตามภาษาสามัญทั่วไป "คืนให้" หมายความว่า "ยืมหรือเอาของคนอื่นไปเป็นของตนเองแล้วจึงคืนแก่เจ้าของเดิม" (แต่กรณีนี้ไม่ปรากฏว่าพระธัมมชโยได้ยืมเงินของวัดไปซื้อที่ดินในนามของตนเอง)
ถ้าในกรณีเช่นนี้ไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายได้ จะถือว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิกได้ด้วยหรือไม่ องค์กรสงฆ์ที่รับผิดชอบน่าจะอธิบายกับสังคม
2.จากเหตุผลข้อที่ 2 องค์กรสงฆ์ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ควรอธิบายให้สังคมเข้าใจด้วยว่า ตามพุทธบัญญัติและประเพณีปฏิบัติของพระสงฆ์ เคยมีตัวอย่างปรากฏหรือไม่ว่า ถ้าพระภิกษุถูกกล่าวหาว่าต้องอาบัติถึงขั้นขาดจากความเป็นภิกษุแล้วสามารถอ้างคุณความดีของพระรูปนั้นมาลบล้างความผิด หรือเป็นเหตุผลให้ยุติการไต่สวนหาข้อเท็จจริงได้
3.เหตุผลข้อที่ 3 ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลอย่างที่เรียกกันว่า "เหตุผลทางรัฐศาสตร์" แต่เป็นเหตุผลที่น่าจะอยู่ในขั้นตอนการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลและเป็นดุลยพินิจของศาลมากกว่าที่จะเป็นข้อเสนอของอัยการมิใช่หรือ
ในสังคมที่ดีควรจะถือเป็นบรรทัดฐานได้หรือไม่ว่า ถ้าใครก็ตามซึ่งมีคนศรัทธามาก (หรือมีคะแนนเสียงสนับสนุนมาก) ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด เราไม่ควรดำเนินคดีกับเขาเพราะเกรงว่าสังคมจะแตกแยก
อันที่จริงฝ่ายที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พระธัมมชโย ไม่ได้รังเกียจนโยบายหรือเป้าหมายของวัดพระธรรมกาย (เช่นเดียวกับคนที่ต่อต้าน "ทักษิณ" ก็ไม่ได้รังเกียจนโยบายของไทยรักไทย) ที่มุ่งส่งเสริมให้คนเข้าวัดให้มากที่สุด ที่มุ่งเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก ที่ต้องการทำประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก และที่ก่อสร้างอาคารสถานที่ตลอดถึงมีรูปแบบการบริหารจัดการที่สามารถรองรับและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนเรือนแสน
แต่ที่ชาวพุทธจำนวนมากข้องใจคือ "วิธีการ" ของพระธัมมชโยต่างหาก (เช่นเดียวกับข้องใจวิธีการจัดการแบบทักษิณ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายแล้วในมติชน,28/8/2549) ที่ไม่โปร่งใส เช่น นำเงินของวัดไปซื้อที่ดินในชื่อตนเองและลูกศิษย์ใกล้ชิด (ทักษิณถูกตั้งคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน)
ไม่ตรงไปตรงมาหรือไม่ซื่อตรงต่อหลักคำสอนในพระไตรปิฎก (ทักษิณอ้างว่า "ประชาธิปไตยเป็นเพียงวิถี" "ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง" "ต้องดูแลจังหวัดที่เลือกพรรครัฐบาลก่อน" ฯลฯ จึงถูกตั้งคำถามว่าใช้ประชาธิปไตยอย่างไม่ซื่อตรงต่อประชาธิปไตย) เช่นสอนว่านิพพานเป็น "อัตตา" ทั้งที่ปรากฏชัดในพระไตรปิฎกว่า นิพพานเป็น "อนัตตา"
การถอนฟ้องคดี (ทั้งที่มีการสืบพยานมาแล้วเกือบ 100 ครั้ง เหลือสืบพยานอีกเพียง 2 ครั้ง ก็จะขึ้นสู่การพิจารณาของศาล) จึงเป็นการตัดโอกาสที่พระธัมมชโยจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ตนเองอย่างกระจ่างแจ้ง
เป็นการตัดโอกาสที่สังคมควรได้รับรู้ความจริง และเป็นการสร้างค่านิยมหันหลังให้กับความจริงแก่สังคม ทำให้น่าห่วงว่าสังคมที่ไม่สามารถใช้กระบวนการพิสูจน์ความจริงอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมาได้ จะเป็นสังคมที่คลุมเครือในเรื่องความถูกต้องชอบธรรม ใช้อารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เกิดความขัดแย้งง่าย และขาดภูมิคุ้มกันความรุนแรง
ถ้าวัดพระธรรมกายหันมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ตรงตามพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่การถอนคดีเพื่อจบปัญหา และไม่ดำเนินการทำความถูกต้องตามพระธรรมวินัยให้กระจ่าง จะกลายเป็นบรรทัดฐานที่ทำให้สังคมมีค่านิยมหันหลังให้ความจริงซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง