โพลมั่นใจ ครม.ใหม่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนโพล์หนุนรัฐบาลผู้เฒ่าป้องกัน-จัดการผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างจริงจังชี้นโยบายปฏิรูปการเมืองยังไม่มีความชัดเจน รวมถึงไร้แนวทางในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นเสถียรภาพทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ กลับลดลงกว่าในช่วงต้นๆ
ดร.นพดลกรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง นโยบายรัฐบาลในสายตาของประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในครั้งนี้ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 1,108 ตัวอย่าง ซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3 - 4 พฤศจิกายน 2549 ประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจในครั้งนี้
เมื่อสอบถามตัวอย่างถึงความสำคัญของการแถลงนโยบายรัฐบาลในยุคการปฏิรูปการปกครองฯพบว่า ตัวอย่างมากกว่า 2 ใน 3 คือร้อยละ 74.2 เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ในขณะที่ตัวอย่างร้อยละ 10.8 ระบุไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ และร้อยละ 15.0 ไม่ระบุความคิดเห็น
ผลสำรวจทัศนคติของประชาชนพบว่านโยบายของรัฐบาลในเรื่องการปฏิรูปการเมืองการปกครองได้รับคะแนนเฉลี่ยการสนับสนุนจากประชาชนต่ำสุดหรือ 6.24 คะแนน เปรียบเทียบกับคะแนนการสนับสนุนจากประชาชนต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจ (8.51 คะแนน) และนโยบายด้านสังคม (9.33 คะแนน)
อย่างไรก็ตามนโยบายด้านการเมืองการปกครองที่ประชาชนเห็นด้วยมากที่สุดได้แก่ นโยบายป้องกันการกระทำที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน และการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้องโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองและราชการ (ร้อยละ 91.9 ระบุเห็นด้วย) รองลงมาคือ นโยบายส่งเสริมเสรีภาพการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อ สังคม (ร้อยละ 91.6 ระบุเห็นด้วย) และการที่รัฐบาลจะเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญทุกระดับ (ร้อยละ 90.1 ระบุเห็นด้วย) ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า มีนโยบายบางประการที่พบว่าประชาชนอาจจจะยังไม่เข้าใจหรือยังไม่เห็นการทำงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน จึงมีประชาชนบางส่วนไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อนโยบายดังกล่าว ได้แก่ การจัดตั้งสภาพัฒนาการเมือง (ร้อยละ 29.5 ไม่ระบุความคิดเห็น) การผลักดันให้มีกฎหมายประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ให้เป็นสื่อสาธารณะอย่างแท้จริง (ร้อยละ 28.0 ไม่ระบุความคิดเห็น) และ การเสริมสร้างมาตรการป้องกันปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบในภาคการเมือง ราชการ ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ (ร้อยละ 25.9 ไม่ระบุความคิดเห็น)
นอกจากนี้ผลการสำรวจทัศนคติของประชาชนต่อนโยบายในภาคเศรษฐกิจนั้นพบว่า นโยบายที่ประชาชนเห็นด้วยมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่วางแผน จนถึงดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศ (ร้อยละ 92.5 ระบุเห็นด้วย) รองลงมาคือนโยบายการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมในทางการค้า (ร้อยละ 91.4 ระบุเห็นด้วย) และนโยบายสนับสนุนการออมในทุกระดับ ส่งเสริมจิตสำนึกในการประหยัด เพื่อลดหนี้สินในระดับครัวเรือน (ร้อยละ 86.6 ระบุเห็นด้วย)
สำหรับทัศนคติของประชาชนต่อนโยบายภาคสังคมนั้นพบว่าประชาชนส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 80 เห็นด้วยกับทุกนโยบายที่รัฐบาลแถลง ทั้งนี้นโยบายที่ประชาชนเห็นด้วยมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ นโยบายเสริมสร้างความตระหนักในคุณค่าของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ร้อยละ 96.4 ระบุเห็นด้วย) นโยบายส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ความสมานฉันท์ของคนในชาติ (ร้อยละ 95.8 ระบุเห็นด้วย) และส่งเสริมสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันอย่างสมานฉันท์ บนพื้นฐานของคุณธรรมร่วมกับภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ สื่อมวลชนและสถาบันศาสนา (ร้อยละ 94.7 ระบุเห็นด้วย) ตามลำดับ
ผลสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ ในอีก 6 เดือนข้างหน้านั้น ดร.นพดล กล่าวว่า สัดส่วนของประชาชนที่ระบุมีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศมีแนวโน้มลดลงจากการสำรวจก่อนหน้านี้ (30 กันยายน 2549) โดยพบว่าในด้านเสถียรภาพทางการเมืองนั้น ตัวอย่างร้อยละ 58.4 ระบุค่อนข้างเชื่อมั่น-เชื่อมั่น ในขณะที่ร้อยละ 32.2 ระบุไม่ค่อยเชื่อมั่น-ไม่เชื่อมั่น และร้อยละ 9.4 ไม่ระบุความคิดเห็น เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจของประเทศที่พบว่ามีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย โดยพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 58.7 ระบุค่อนข้างเชื่อมั่น-เชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 25.7 ระบุไม่ค่อยเชื่อมั่น-ไม่เชื่อมั่น และร้อยละ 15.6 ไม่ระบุความคิดเห็น
สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการแก้ปัญหายาเสพติดในอีก6 เดือนข้างหน้านั้นพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 11.9 ระบุเชื่อมั่น ร้อยละ 14.8 ระบุค่อนข้างเชื่อมั่น ในขณะที่ตัวอย่างมากกว่า 1 ใน 3 คือร้อยละ 37.9 ระบุไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 25.8 ระบุไม่เชื่อมั่น และร้อยละ 9.6 ไม่ระบุความคิดเห็น
ดร.นพดลกล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า นโยบายของรัฐบาลปัจจุบันโดยภาพรวมได้รับการตอบรับจากประชาชนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีและถึงดีมากในส่วนของนโยบายด้านสังคม แต่ปัญหาที่ต้องพิจารณาคือ นโยบายเรื่องการปฏิรูปการเมืองการปกครองที่ไม่ชัดเจนและไม่ครอบคลุมแนวทางแก้ปัญหาสำคัญที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้ว ทำให้ได้คะแนนสนับสนุนจากประชาชนต่ำสุด ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่นำมาซึ่งการปฏิรูปการปกครองฯ ด้วยการยึดอำนาจ
ดร.นพดลกล่าวต่อว่า รัฐบาลกลับเขียนนโยบายที่ดูจะทำยากภายในกรอบเวลาเพียงหนึ่งปี ที่จริงเขียนสั้นๆ เน้นไปที่ 9 เรื่องและทำให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมก็น่าจะพอ คือ
1) เร่งสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติและเสริมสร้างความเป็นธรรม คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมประเพณีไทย
2) เร่งรัดดำเนินการเอาผิดบรรดานักการเมือง ข้าราชการและนายทุนที่ทุจริตคอรัปชั่นในช่วงเวลาของรัฐบาลที่ผ่านมา และเสริมสร้างระบบและกลไกป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นทั้งในรัฐบาลชุดปัจจุบันและอนาคต
3) เร่งรัดดำเนินการเอาผิดกับการแทรกแซงองค์กรอิสระในรัฐบาลที่ผ่านมา และสร้างเสริมระบบและกลไกปกป้ององค์กรอิสระต่างๆ ให้เข้มแข็ง เช่น การเสริมสร้างทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดการเลือกตั้งได้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ได้ผู้แทนราษฎรที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรมแท้จริง การเสริมสร้างทำให้คณะกรรมการ ปปช. มีศักยภาพดำเนินการเอาผิดนักการเมือง ข้าราชการ และนายทุน ที่ร่วมกันทุจริตคอรัปชั่น ฮั้วประมูล ถึงไม่มีใบเสร็จแต่พบว่ามีการเอื้อประโยชน์หรือการเลี้ยงดูปูเสื่อคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น
4) ดำเนินการเอาผิดกลุ่มบุคคลที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพและมีท่าทีอันเชื่อได้ว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งรัฐบาลต้องมีนโยบายชัดเจนในการรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนทุกหมู่เหล่า
5) ส่งเสริมให้ประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคมปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเสริมสร้างสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน
6) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกชนชั้นและระดับการปกครอง ในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
7) นโยบายการต่างประเทศเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและการค้าระหว่างประเทศในเวทีโลก
นโยบายด้านความมั่นคงที่รัฐบาลจะส่งเสริมผนึกกำลังทุกภาคส่วนของสังคมในการรักษาป้องกันราชอาณาจักรและความมั่นคงภายใน
9) ดำเนินการสานต่อนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนทั่วไปโดยทำให้เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง เช่น นโยบายแก้ปัญหายาเสพติด หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
"แต่ปัญหาที่พบหลังจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลคือ นโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติน่าจะเหมาะกับรัฐบาลชุดต่อไปในอนาคตมากกว่า เพราะเป็นนโยบายที่ต้องใช้เวลามากในการทำให้บรรลุได้ และประชาชนจำนวนมากที่ค้นพบในการสำรวจครั้งนี้ต่างก็มองว่า มันเป็นนโยบายที่เป็นนามธรรมมากจับต้องได้ยาก สุดท้ายก็ส่งผลกระทบทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นและไม่มีพลังที่มากพอในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล" ดร.นพดล กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ