จากสามสิบบาทถึงศูนย์บาท อย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
ต่อประชาชน?
โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข (chanwaleesrisukho@hotmail.com)เมื่อสิ้นรัฐบาลท่านทักษิณ มีเสียงปฏิเสธว่าโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคที่ปูพื้น
เต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2545 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสามสิบบาทช่วยคนไทยห่างไกลโรค
ในปี พ.ศ. 2548 ไม่ใช่โครงการประชานิยม แต่เป็น
โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
(คปน.) อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และมีนัก
วิชาการหลายสาขาได้ร่วมกันคิดเรื่องนี้มานานนับสิบปี
แต่ในความเป็นจริงเมื่อพูดถึงสามสิบบาทนอกจากประชาชนจะเข้าใจมากกว่าคปน.
แล้ว สามสิบบาทยังเป็นสัญลักษณ์ของการแพทย์ที่มีการเมืองนำที่ประสบความสำเร็จ
เป็นอย่างสูงในการเรียกคะแนนความนิยม นับว่า
เป็นโครงการที่ประชาชนชื่นชมที่สุดดังนั้น
แม้จะปฏิเสธอย่างไร สามสิบบาทก็เป็นโครงการประชานิยมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้การสำรวจ
ความพึงพอใจของประชาชนและผู้ให้บริการต่อการดำเนินการสร้างหลัก
ประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี พ.ศ. 2548 คะแนน
เต็ม 10 คะแนน ประชาชนให้ 7.45คะแนน ขณะที่
ผู้ให้บริการมีความพึงพอใจเพียง 5.42 คะแนน สามสิบบาทจึงเป็น
โครงการที่ผู้รับบริการนิยมมากถึงมากสุด
ในขณะที่ผู้ให้บริการนิยมน้อย นอกจากเป็นโครงการในหัวใจประชาชน ยังเป็นโครงการ
ที่มีปัญหา และสร้างปัญหาให้ผู้บริการ ว่ากันว่าหากผู้รับบริการมีความทุกข์ ผู้ให้บริการ
จะมีความสุขอยู่อย่างไร เช่นเดียวกัน หาก
ผู้ให้บริการมีความทุกข์ ผู้รับบริการจะมีความ
สุขก็เป็นไปไม่ได้
นายกรัฐมนตรี พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวไว้ว่า ปัญหาของประเทศชาติในปัจจุบัน
เกิดจากความไม่เป็นธรรมในสังคม ปัญหาของ คปน.ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเปลี่ยน
ชื่อโครงการ หรือเปลี่ยนจากเก็บเงิน 30 บาทเป็นศูนย์บาท คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
หากไม่มีการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น โดยการแก้ไขจุดด้อยและเสริมจุดแข็งอย่าง
รีบด่วน
ด้วยความจริงจังและจริงใจไม่ยืนบนผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
จุดแข็งที่ต้องคงไว้เสริมให้มั่นคงหรือเพิ่มขึ้น1. เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
2. เพิ่มการเข้าถึงการบริการแก่ประชาชน (สามารถครอบคลุมประชาชนผู้มีสิทธิร้อยละ
97.23 ของประชากรทั้งประเทศจำนวน 62.74 ล้านคน : ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2549)
3. พัฒนาคุณภาพหน่วยบริการ (มีการพัฒนาตามมาตรฐาน (HA, ISO) ร้อยละ 89.80
ของหน่วยบริการจำนวน 961 แห่ง : ข้อมูล 30 มิ.ย. 2549)
4. รับเรื่องร้องเรียน แก้ปัญหา คุ้มครองสิทธิผู้รับบริการ รวมถึงการใช้มาตรา 41 ช่วย
เหลือเบื้องต้นกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาลในระบบ คปน.
5. มีการกระจายการรักษาพยาบาลไปเป็นระบบใกล้บ้านใกล้ใจมีการติดตามเยี่ยมบ้าน
เพิ่มการใช้บริการรักษาที่อนามัย และโรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน
6. ใช้สื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ วารสาร จุลสาร เอกสาร ฯลฯ ประชาสัมพันธ์และ
ส่งเสริมภาพลักษณ์ของ คปน.
จุดอ่อนต้องแก้ไขโดยรีบด่วน1.
งบประมาณไม่เพียงพอ มีการโต้เถียงกันมากว่าก่อนเกิด คปน.โรงพยาบาลกระทรวง
สาธารณสุขได้งบฯเพียง 800 กว่าบาทต่อหัวยังเพียงพอ แต่เมื่อมี คปน. ได้งบฯตั้ง
1,600 กว่าบาทต่อหัว ทำไมจะไม่เพียงพอ เรื่องนี้ต้องลงรายละเอียดและไม่หมก
เม็ด เพราะในความเป็นจริงคือ การดำเนินงาน คปน. ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนเข้า
ขั้นวิกฤตจากงบฯที่ไม่เพียงพอถึงกว่า 200 แห่ง (ข้อมูลจากชมรมแพทย์ชนบท) มี
การงด ลด การลงทุนทั้งสถานที่เครื่องไม้เครื่องมือ การพัฒนาบุคลากร จำนวน
บุคลากร เงินค่าล่วงเวลา ยาที่มีราคาแพง อย่างสามารถยืนยันข้อมูลได้ ฯลฯ
2.
ปัญหาการกระจายงบประมาณที่ผ่านมา การกระจายงบฯขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ เมื่อ
เป็นประโยชน์แก่หน่วยงานหนึ่ง ก็อาจเกิดความไม่เป็นธรรมแก่หน่วยอื่น สร้างความ
ขัดแย้งระหว่าง สปสช. กับกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลชุมชนกับโรงพยาบาล
ทั่วไป ชนบทกับในเมือง ฝ่ายบริหารกับผู้ให้บริการ ฯลฯ
3. การสร้าง
จิตสำนึกให้
ประชาชน ในเรื่องความเอื้ออาทร เฉลี่ยสุข-ทุกข์ การเสียสละ
การรับผิดชอบสังคมร่วมกัน การรับผิดชอบดูแลตนเอง ฯลฯ สภาพสังคมทุนนิยม มือ
ใครยาวสาวได้สาวเอาทำให้เสมือนว่า คปน. สนับสนุนการเอาเปรียบในสังคม เกิด
ความไม่เป็นธรรมต่อคนยากจน ซึ่งอาจไม่มีแม้เงินค่ารถมาโรงพยาบาล แต่ต้องมา
ยืนเข้าแถวรักษาพยาบาลร่วมกับคนร่ำรวยที่มีเส้นสายหรือเสียงดัง ที่เสียค่าใช้จ่าย
เท่ากัน
4. การขาดแคลนแพทย์ แม้
การลาออกของแพทย์จากระบบรัฐมีปัจจัยมากมาย แต่
ปัจจัยหนึ่งคือ
งานหนักเงินน้อย การฟ้องร้องสูง การทำงานที่ไร้ความสุข ซึ่งเกี่ยว
ข้องกับ คปน. แม้จะมีการทำไปแก้ไป เช่น เน้นการป้องกันสุขภาพมากกว่าการซ่อม
กระจายหน่วยบริการไปยังชุมชน วางมากฐานการบริการ (CPG) แต่ก็เป็นแบบกว่า
ถั่วจะสุกงาก็ไหม้ นอกจากนั้นยังไม่มีการวางแผนบุคลากรในระยะยาวเช่น คปน. จะ
สำเร็จตามเป้าประสงค์ ต้องอาศัยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปจำนวนมาก แต่ผลิตไม่
เพียงพอ
5. การสร้างแพทย์ทดแทน เมื่อแพทย์ขาดแคลน มีการเร่งสร้างแพทย์ใหม่ทดแทนอย่าง
รีบด่วน จนเกิดเครื่องหมายคำถามถึง
คุณภาพของแพทย์ที่สร้างมาใหม่ และเมื่อปัญหา
สาเหตุที่แพทย์ลาออกไม่ได้รับการแก้ไขแพทย์ที่จบใหม่ ก็ไม่ต่างจากรุ่นเก่า ไม่อยาก
อยู่ชนบทบ้างยอมใช้ทุนลาออก บ้างลาออกเมื่อใช้ทุนจบ บ้างถูกดูดเข้าระบบเอกชน
บ้างเป็นแพทย์เมืองกรุง บ้างขอศึกษาต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง
6.
คุณภาพของการรักษาพยาบาล แม้ไม่มีการยอมรับจากบางฝ่ายว่า คปน. ทำให้
คุณภาพการรักษาพยาบาลด้อยลง รวมทั้งมีการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติขึ้นมา
ให้ครอบคลุมยาที่จำเป็น แต่ในทางปฏิบัติการลดต้นทุนให้ต่ำสุด ลดการซื้อเครื่องไม้
เครื่องมือ ลดจำนวนบุคลากร ลดการพัฒนาบุคลากร ลดการใช้ยา ลดทางเลือกใน
การใช้ยา ท่ามกลางขวัญและกำลังใจบุคลากรถดถอยฯลฯ ส่งผลทางลบให้กับ
คุณภาพการบริการ
7.
ปัญหาการบริหารจัดการ มีเรื่องราวรายละเอียดมากมายที่เป็นปัญหา เช่น มีทั้ง
เสียงคัดค้านและสนับสนุนให้รวมเงินเดือนบุคลากรเข้ากับเงินรายหัว โดยทั้งสอง
ฝ่ายมีเหตุผลของตน, มีการกำหนดจำนวนบุคลากรตามจำนวนคนไข้ในเขตที่รับ
ผิดชอบ ทั้งๆ ที่มีเสียงคัดค้านว่าเป็นการสกัดกั้นการพัฒนาทางการแพทย์, กำหนด
แบบตายตัว มีปัญหามากมายที่ทำให้จำนวนคนไข้ไม่เป็น ดังนั้น เช่น การอพยพ
ย้ายถิ่นของประชาชน, โรคที่พบมากในแถบนั้น ฯลฯ การส่งตัวคนไข้รักษาต่อตาม
ลำดับขั้นหากไม่ต้องตามไปจ่ายเงินค่าส่งต่อ มีการผลักคนไข้ หากต้องจ่ายค่าส่งต่อ
หรือมีรายได้เพิ่ม พยายามรักษาคนไข้เอง กว่าจะส่งต่อก็อาการหนัก ฯลฯ
แนวทางการแก้จุดอ่อนการทำให้ คปน. เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน มีหลายปัจจัย
มาเกี่ยวข้อง ฯลฯ การแก้ไขปัญหาของ คปน. มีการพูดกันมา แต่ส่วนหนึ่งเสนอแนวทาง
ตามมุมมอง ประสบการณ์ จุดยืน ผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
การจะแก้ไข คปน. ให้ลุล่วง ควรเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เช่น ระดมทุกฝ่าย
ที่เกี่ยวข้องมาให้ความคิดเห็น เสนอแนวทางการแก้ปัญหา โดยปราศจากอคติ และ
อิทธิพลการเมืองมาเกี่ยวข้อง ฯลฯ
ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจต้องมีใจเป็นธรรม และสามารถสร้างความเป็นธรรม เรื่องงบ
ประมาณ การบริหารจัดการ นโยบาย การปฏิบัติเรื่องบุคลากร ฯลฯ ผู้ให้บริการต้อง
มีจริยธรรม
ผู้รับบริการนอกจากมีสิทธิหน้าที่ แล้วควรต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
ที่มา: มติชน วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10458http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01281049&day=2006/10/28