ชอบแถ
|
 |
« เมื่อ: 24-10-2006, 09:02 » |
|
สรรพากรไล่ทุบภาษีรายใหญ่ [24 ต.ค. 49 - 04:14] ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า จากการจัดทำงบประมาณรายได้ของรัฐบาล วงเงินประมาณการรายได้ปีงบประมาณ 2550 ภายใต้ กรอบวงเงิน 1,420,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 20,000 ล้านบาท ตามคำสั่งของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังนั้น ได้สร้างความลำบากใจให้แก่กรมสรรพากรเป็นอย่างมาก เนื่องจากประมาณการรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,000 ล้านบาทนั้น ได้ถูกผลักให้เป็นรายได้ของกรมสรรพากรที่จะต้องจัดเก็บภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 15,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5,000 ล้านบาท เป็นการเพิ่มรายได้จากกรมสรรพสามิต 4,000 ล้านบาท และบรรดารัฐวิสาหกิจให้เพิ่มนำส่งรายได้อีก 1,000 ล้านบาท
โดยในปีงบประมาณ 2550 กรมสรรพากรได้รับเป้าหมายในการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,141,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้ที่จัดเก็บจริงของปีก่อนเท่ากับ 1,057,198 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 83,802 ล้านบาท หรือ 8% กรมสรรพสามิต ได้รับเป้าหมายในการจัดเก็บรายได้ 289,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้ที่จัดเก็บจริงของปีก่อนเท่ากับ 274,098 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14,904 ล้านบาท หรือ 5.4% ขณะที่กรมศุลกากรได้รับเป้าหมายในการจัดเก็บรายได้เพียง 88,000 ล้านบาท ลดลงจากรายได้ที่จัดเก็บจริงของปีก่อน 8,232 ล้านบาท หรือลดลง 8.5% โดยมียอดรายได้ของ 3 กรมภาษีรวมกัน 1,518,000 ล้านบาท (ยังไม่หักเงินคืนภาษีอากรต่างๆ)
สำหรับสาเหตุที่กระทรวงการคลังประมาณ การรายได้กรมศุลกากรลดลง เพราะรัฐบาลมีนโยบายที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศตามกรอบการค้าเสรีต่างๆ อย่างต่อเนื่องเช่น การค้าเสรี (เอฟทีเอ) องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) และเขตการค้าเสรีอาเซียน เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับผู้ประกอบการไทย โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของไทยเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรลดลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การผลักภาระการจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีก 15,000 ล้านบาท ให้แก่กรม สรรพากรในครั้งนี้ จะทำให้ระบบการทำงานของกรมสรรพากรรวนไปหมด เนื่องจากการแบกภาระในการจัดเก็บรายได้ที่เป็นเงินก้อนโตถึง 1,141,000 ล้านบาทนั้น จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประ-กอบการอย่างแน่นอน เพราะเจ้าหน้าที่สรรพากรจะเข้าไปตรวจสอบการเสียภาษีของผู้ประกอบการอย่างละเอียด โดยเฉพาะผู้เสียภาษีรายใหญ่ เพื่อเก็บรายได้ให้ตรงประมาณการที่กระทรวงการคลังมอบหมาย
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเองก็ถูกผู้ประกอบการตราหน้าว่า ไล่บี้ผู้เสียภาษีมากจนเกินไป จนมีการร้องเรียนว่า เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเก็บภาษีเพิ่มเพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำให้ ข้าราชการระดับปฏิบัติงานเกิดความเบื่อหน่าย และลำบากใจในการทำงานเป็นอย่างมาก
ส่วนสาเหตุที่ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบ 2549 ออกมาสูงกว่าประมาณ การรายได้เกือบทุกปีเพราะข้าราชการส่วนใหญ่ชื่นชอบนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร และนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังอดีตอธิบดีกรมสรรพากร แต่พอมีกระแสข่าว รมว. คลังจะย้ายนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ จากอธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้ตรวจราชการแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ประมาณการรายได้งบปี 2550 จะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาก เนื่องจากข้าราชการกรมสรรพากรหมดกำลังใจ
นอกจากนี้ การที่กระทรวงการคลังเพิ่มประมาณการจัดเก็บรายได้ให้กับกรมสรรพากรเป็นจำนวนเงินถึง 83,802 ล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) จึงไม่มีรายได้จากส่วนนี้เข้ามาเพิ่มเติม จากเดิมที่เคยตั้งประมาณการรายได้ว่า จะมีรายได้จากการขายหุ้นในสัดส่วนที่กระทรวงการคลังถืออยู่เข้าคลังประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท จำกัด (มหาชน) เป็นต้น. ไทยรัฐ เซ็งเป็ด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: 24-10-2006, 09:58 » |
|
ตลกจัง...เศรษฐกิจและธุรกิจไทยในปี2550จะรุ่งเรืองขนาดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 8-9% เชียวรึนี่!?! ฮ่าๆๆๆ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
555555555555
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: 24-10-2006, 10:01 » |
|
ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่เขาก็เก็บภาษีมหาโหดเหมือนกัน การเก็บภาษีก็ถือว่าเป็นการหารายได้เข้ารัฐอย่างนึง ผมมองว่าจะเก็บภาษีเท่าไรก็เก็บไปเถอะ หากว่าเงินภาษีนั้นนำไปสู่ประโยชน์ของชาติ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักจะมีลุกเล่นในการหลีกเลี่ยงภาษีอยู่เสมอๆ การเสียภาษีเป้นหน้าที่ของ ปชช ในชาติอยู่แล้ว ผมว่าเก็บมากเก็บน้อยมันก็เป้นเรื่องปกติของนโยบายการคลังนะ เราลองมาดูเหตุผลที่ต้องเก็บภาษีเพิ่มกันดีกว่าว่าทำไมต้องเพิ่ม มัปัจจัยอะไรเกี่ยวข้องไหม ก่อนไปวิจารณ์อะไรก็ลองดูภาพรวมก่อนดีกว่านะจ๊ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: 24-10-2006, 10:09 » |
|
น้องห้าเฮ้าเลี่ยนคงเป็นลูกจ้างละสิถึงวิจารณ์การเก็บภาษีแบบไม่มีกึ๋นได้ขนาดนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: 24-10-2006, 10:53 » |
|
ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่เขาก็เก็บภาษีมหาโหดเหมือนกัน การเก็บภาษีก็ถือว่าเป็นการหารายได้เข้ารัฐอย่างนึง ผมมองว่าจะเก็บภาษีเท่าไรก็เก็บไปเถอะ หากว่าเงินภาษีนั้นนำไปสู่ประโยชน์ของชาติ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักจะมีลุกเล่นในการหลีกเลี่ยงภาษีอยู่เสมอๆ การเสียภาษีเป้นหน้าที่ของ ปชช ในชาติอยู่แล้ว ผมว่าเก็บมากเก็บน้อยมันก็เป้นเรื่องปกติของนโยบายการคลังนะ เราลองมาดูเหตุผลที่ต้องเก็บภาษีเพิ่มกันดีกว่าว่าทำไมต้องเพิ่ม มัปัจจัยอะไรเกี่ยวข้องไหม ก่อนไปวิจารณ์อะไรก็ลองดูภาพรวมก่อนดีกว่านะจ๊ะ
นั่นซิว่าต้องดูภาพรวมก่อน แสดงว่าภาพรวมบอกว่านักธุรกิจมีปัญญาจ่ายภาษีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าการค้าขายเป็นไปด้วยดีในปี 2550 ใช่ไหม!?!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
อมพระมาพูด
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: 24-10-2006, 10:56 » |
|
 ไม่ว่าจะยุคไหนก้อถอนขนเป็ด ทั้งนั้นไม่งั้นจะเอางบระมาณไปใช้จ่ายได้อย่างไร.... วุ้ย.อีกหน่อยคงมาถอนขนที่ตูดเป็ดตรูแน่ เซ็งว้อย...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
พึงทำความเพียรในวันนี้ ใครเล่าจะรู้วันตายในวันพรุ่ง
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: 24-10-2006, 11:01 » |
|
 ไม่ว่าจะยุคไหนก้อถอนขนเป็ด ทั้งนั้นไม่งั้นจะเอางบระมาณไปใช้จ่ายได้อย่างไร.... วุ้ย.อีกหน่อยคงมาถอนขนที่ตูดเป็ดตรูแน่ เซ็งว้อย... จากประสบการณ์ที่ต้อง deal กับเจ้าหน้าที่สรรพากรหลายพื้นที่ พื้นที่ละ 2-3 รอบต่อปี พบว่านโยบายของ นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร (หรืออาจจะมาจากกระทรวงการคลังในรัฐบาลก่อน) มีเหตุมี ผลเข้ากับความเป็นจริงในการประกอบธุรกิจมากที่สุด ตั้งแต่เคยมีกรมสรรพากรมา แม้จะทำให้มีผู้เสียผล ประโยชน์เพิ่มอย่างมาก แต่ทุกอย่างก็เข้ารัฐและไม่มีการเรียกร้องเงินใต้โต๊ะ เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ทำงาน หนักด้วยความเต็มใจ ด้วยทัศนคติที่ดี แต่ตอนนี้ถ้ามองไปข้างหน้า มันเกินจุดสมดุลแล้ว โอกาสเน่าสูงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
irq5
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: 24-10-2006, 11:14 » |
|
 ความจริงเก็บที่จุดไหนคนซวยคือ ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเก็บภาษี หรือสัมปทาน สุดท้ายผู้ขายก็ขึ้นราคา ไม่งั้นก็ลดปริมาณ หรือ คุณภาพ ทางออกที่ดีคือ ในอัตราไม่สูงนัก แต่เข้มงวด กำหนดปิดช่องการ เลี่ยงภาษีให้ได้ โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลาง ซึ่งใช้วิธีโง่ๆ หลายวิธีเลี่ยงภาษี และหามารฐาน การรวบรวมเอกสารภาษีที่ดี ต้องพึ่ง 1 เทคโนโลยี 2 กฎหมายพาณิช ที่รัดกุม ส่วน บ.ผมหาเงินจากรัฐ ภาษีแพงขึ้นผมก็ไปเอากับรัฐเหมือนเดิม - -!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs.. .:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs.. .:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs.. .:M................................................hs.. .:M.............//:................//:.............hs.. .:M...........:MMs.............NMd............hs.. .:M................................................hs.. .:M................................................hs.. .:M.............yNNNNNNNNNN................hs.. .:M.................................................hs.. .:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..
....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD.......... .....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D....... .....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD.......... . . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
|
|
|
Can ไทเมือง
|
 |
« ตอบ #8 เมื่อ: 24-10-2006, 12:05 » |
|
หาเงินหมู ๆ แบบหน้าเหลี่ยม เพิ่มหวย ก็ได้แล้วปีละ 4-50,000 ล้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
555555555555
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: 24-10-2006, 12:08 » |
|
น้องห้าเฮ้าเลี่ยนคงเป็นลูกจ้างละสิถึงวิจารณ์การเก็บภาษีแบบไม่มีกึ๋นได้ขนาดนี้
เพราะผมมองอะไรเป็นแบบ มหภาคมากกว่านะ คุณเสียภาษี ผมก็เสียภาษี ทุกคนต้องเสียทั้งนั้น จะมากจะน้อยก็ต้องเสีย แต่คุณควรเข้าใจก่อนว่าเราเสียภาษีไปเพื่ออะไร และ ภาษีของเราจะเอามาทำอะไรบ้าง ถ้าคุรมองแต่ตัวคุรเอง คุณก็จะมอง ส่วนรวมไม่ออก ของอย่างนี้ กึ๋นก็สำคัญ และ แน่นอนว่า คนที่เขาใช้กึ๋นอย่างถูกต้องย่อมกว่าคนที่ใช้กึ่นในทางที่ผิดอย่างแน่นอน ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่เขาก็เก็บภาษีมหาโหดเหมือนกัน การเก็บภาษีก็ถือว่าเป็นการหารายได้เข้ารัฐอย่างนึง ผมมองว่าจะเก็บภาษีเท่าไรก็เก็บไปเถอะ หากว่าเงินภาษีนั้นนำไปสู่ประโยชน์ของชาติ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักจะมีลุกเล่นในการหลีกเลี่ยงภาษีอยู่เสมอๆ การเสียภาษีเป้นหน้าที่ของ ปชช ในชาติอยู่แล้ว ผมว่าเก็บมากเก็บน้อยมันก็เป้นเรื่องปกติของนโยบายการคลังนะ เราลองมาดูเหตุผลที่ต้องเก็บภาษีเพิ่มกันดีกว่าว่าทำไมต้องเพิ่ม มัปัจจัยอะไรเกี่ยวข้องไหม ก่อนไปวิจารณ์อะไรก็ลองดูภาพรวมก่อนดีกว่านะจ๊ะ
นั่นซิว่าต้องดูภาพรวมก่อน แสดงว่าภาพรวมบอกว่านักธุรกิจมีปัญญาจ่ายภาษีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าการค้าขายเป็นไปด้วยดีในปี 2550 ใช่ไหม!?!คงไม่ใช่มองแค่อย่างนั้นหรอกครับ มันต้องดูว่า สถานะการคลังในประเทศเป็นอย่างไรบ้าง และ จะใช้นโยบายอย่างไรบ้าง อย่างในข่าวเขาจะลดภาษีนำเข้านี่ครับ เขาก้ต้องเพิ่มการจัดเก็บภาษีเพื่อชดเชยรายได้นี่ครับ เด๋วขอทานข้าวก่อนนะครับแล้วค่อยมาว่ากันต่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: 24-10-2006, 12:24 » |
|
 ไม่ว่าจะยุคไหนก้อถอนขนเป็ด ทั้งนั้นไม่งั้นจะเอางบระมาณไปใช้จ่ายได้อย่างไร.... วุ้ย.อีกหน่อยคงมาถอนขนที่ตูดเป็ดตรูแน่ เซ็งว้อย... จากประสบการณ์ที่ต้อง deal กับเจ้าหน้าที่สรรพากรหลายพื้นที่ พื้นที่ละ 2-3 รอบต่อปี พบว่านโยบายของ นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร (หรืออาจจะมาจากกระทรวงการคลังในรัฐบาลก่อน) มีเหตุมี ผลเข้ากับความเป็นจริงในการประกอบธุรกิจมากที่สุด ตั้งแต่เคยมีกรมสรรพากรมา แม้จะทำให้มีผู้เสียผล ประโยชน์เพิ่มอย่างมาก แต่ทุกอย่างก็เข้ารัฐและไม่มีการเรียกร้องเงินใต้โต๊ะ เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ทำงาน หนักด้วยความเต็มใจ ด้วยทัศนคติที่ดี แต่ตอนนี้ถ้ามองไปข้างหน้า มันเกินจุดสมดุลแล้ว โอกาสเน่าสูงครับ แล้วทำไมสรรพากรเข้ามาตรวจธุรกิจผม 6 ครั้ง จนสุดท้าย ต้องมากราบขอร้องให้ขอให้เพิ่มยอดภาษี ในสมัยทักษิณหล่ะ ธุรกิจผมแม้จะเล็ก แต่ภาษีเข้าออกตรงทุกรายการ เข้ามาตรวจบัญชีแล้ว นับสต๊อกก็ทำแล้ว ปิดดูบิลซื้อ-ขายทุกใบ ก็ทำมาแล้ว แต่ยังจับไม่ได้ทำไมช่างมีพรสวรรค์ในการหลบภาษีเช่นนี้ ลืมบอกมันไปอย่างว่า ให้มายืนเฝ้าที่หน้าประตูร้าน ใส่ชุดยามยืนนับจำนวนคนซื้อด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Killer
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: 24-10-2006, 13:32 » |
|
พวกสากกระเบือนี่คิดอะไรสร้างสรรค์ไม่เป็นหรอก ลืมตามาก็หาทางไถเงินลูกเดียว
ไม่แยแสเสียด้วยนะว่า ไอ้พวกที่โดนไถ มันจะไปหาเงินมาจากไหน ด้วยวิธีใด
ทนไม่ได้ก็เจ๊งกันไป ใครมีลมหายใจอยู่ก็ไปหาทางโกงมาจ่ายให้ได้
สมัยเด็กๆมันเคยทำมาหากินเสียที่ไหนเล่า แบมือขอเงินพ่อแม่ นอนรอรับมรดก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pongman
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 24-10-2006, 14:10 » |
|
หาเงินหมู ๆ แบบหน้าเหลี่ยม เพิ่มหวย ก็ได้แล้วปีละ 4-50,000 ล้าน
ช่ายยยยๆๆๆๆ เเล้วไปรีดภาษีพ่อค้าเเม่ค้าเเผงลอย เเล้วให้คนจนๆๆ ราถหญ้า บ้าหวย เล่นหวยให้มันจนตายไปเลย นี่ไง....ผมจะให้คนจนหมดไปจาถประเทศ 
|
รักในหลวง รักชาติ
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: 24-10-2006, 14:23 » |
|
 ไม่ว่าจะยุคไหนก้อถอนขนเป็ด ทั้งนั้นไม่งั้นจะเอางบระมาณไปใช้จ่ายได้อย่างไร.... วุ้ย.อีกหน่อยคงมาถอนขนที่ตูดเป็ดตรูแน่ เซ็งว้อย... จากประสบการณ์ที่ต้อง deal กับเจ้าหน้าที่สรรพากรหลายพื้นที่ พื้นที่ละ 2-3 รอบต่อปี พบว่านโยบายของ นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร (หรืออาจจะมาจากกระทรวงการคลังในรัฐบาลก่อน) มีเหตุมี ผลเข้ากับความเป็นจริงในการประกอบธุรกิจมากที่สุด ตั้งแต่เคยมีกรมสรรพากรมา แม้จะทำให้มีผู้เสียผล ประโยชน์เพิ่มอย่างมาก แต่ทุกอย่างก็เข้ารัฐและไม่มีการเรียกร้องเงินใต้โต๊ะ เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ทำงาน หนักด้วยความเต็มใจ ด้วยทัศนคติที่ดี แต่ตอนนี้ถ้ามองไปข้างหน้า มันเกินจุดสมดุลแล้ว โอกาสเน่าสูงครับ แล้วทำไมสรรพากรเข้ามาตรวจธุรกิจผม 6 ครั้ง จนสุดท้าย ต้องมากราบขอร้องให้ขอให้เพิ่มยอดภาษี ในสมัยทักษิณหล่ะ ธุรกิจผมแม้จะเล็ก แต่ภาษีเข้าออกตรงทุกรายการ เข้ามาตรวจบัญชีแล้ว นับสต๊อกก็ทำแล้ว ปิดดูบิลซื้อ-ขายทุกใบ ก็ทำมาแล้ว แต่ยังจับไม่ได้ทำไมช่างมีพรสวรรค์ในการหลบภาษีเช่นนี้ ลืมบอกมันไปอย่างว่า ให้มายืนเฝ้าที่หน้าประตูร้าน ใส่ชุดยามยืนนับจำนวนคนซื้อด้วย นี่ไงผู้เสียประโยชน์ตัวจริง สรรพากรเค้าคงงงกับบัญชีรายได้ค้างรับกระมัง ที่เค้ามาตรวจ 6 ครั้งเพราะอะไรลองทบทวนดูหรือเปล่า ไม่ไปชี้แจงเองใช่มั้ย ไปคุยกับซี 7 ซี 8 ไม่รู้เรื่องละสิ เจอซี 4 ไปบ่ายเบี่ยงเขาเรื่องมันก็ไม่จบ ถ้ามีกำไรก็จ่ายๆ เหอะภาษี อย่าไป หลบเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนในวงการ
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: 24-10-2006, 14:54 » |
|
สำหรับสาเหตุที่กระทรวงการคลังประมาณ การรายได้กรมศุลกากรลดลง เพราะรัฐบาลมีนโยบายที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศตามกรอบการค้าเสรีต่างๆ อย่างต่อเนื่องเช่น การค้าเสรี (เอฟทีเอ) องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) และเขตการค้าเสรีอาเซียน เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับผู้ประกอบการไทย โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของไทยเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรลดลง อ่านข้ามตรงนี้หรือปล่าวคุณชอบแถ Killer อะไรจ๊ะ แหม๋พูดเป็นต่อยหอยเลยนะ FTA หนะควายตัวใหนผลัดดันนะ แล้วการเร่งบังคับใช้ตาม WTO กะ AFTA หนะ ควายตัวใหนเร่งบังคับใช้ ทั้งที่ประเทศอื่น ๆ เค้าหมกเม็ดกันเต็มที่ มีควายในไทยนี่แหละ ที่เปิดตูดให้เค้าล่อ อ้อ แล้วก็อุตสาหกรรมหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของไทย ที่สร้างศักยภาพในการแข่งขันหนะ ของรัฐมนตรีในรัฐบาลใหนนะ สงสัยจังเลย อ่านข้ามกันไปหมด จริงอยู่คุณอุ๋ยหนะท่านอาจไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่ตอนนี้ที่คุณอุ๋ยทำคือเร่งกอบกู้เรือที่กำลังจะจมเพราะคนจั***กลุ่มหนึ่งที่ตอนเป็นรัฐบาลได้ทำปู้ยี่ปู้ยำประเทศไทยไว้ ผมไม่เข้าใจพวกคุณเท่าไหร่นักหรอก ว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนฉลาดที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผม หรือว่าเป็นคนโง่กันแน่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee. Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath." - Balian of Ibelin -
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: 24-10-2006, 14:58 » |
|
สำหรับสาเหตุที่กระทรวงการคลังประมาณ การรายได้กรมศุลกากรลดลง เพราะรัฐบาลมีนโยบายที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศตามกรอบการค้าเสรีต่างๆ อย่างต่อเนื่องเช่น การค้าเสรี (เอฟทีเอ) องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) และเขตการค้าเสรีอาเซียน เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับผู้ประกอบการไทย โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของไทยเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรลดลง อ่านข้ามตรงนี้หรือปล่าวคุณชอบแถ Killer อะไรจ๊ะ แหม๋พูดเป็นต่อยหอยเลยนะ FTA หนะควายตัวใหนผลัดดันนะ แล้วการเร่งบังคับใช้ตาม WTO กะ AFTA หนะ ควายตัวใหนเร่งบังคับใช้ ทั้งที่ประเทศอื่น ๆ เค้าหมกเม็ดกันเต็มที่ มีควายในไทยนี่แหละ ที่เปิดตูดให้เค้าล่อ อ้อ แล้วก็อุตสาหกรรมหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของไทย ที่สร้างศักยภาพในการแข่งขันหนะ ของรัฐมนตรีในรัฐบาลใหนนะ สงสัยจังเลย อ่านข้ามกันไปหมด จริงอยู่คุณอุ๋ยหนะท่านอาจไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่ตอนนี้ที่คุณอุ๋ยทำคือเร่งกอบกู้เรือที่กำลังจะจมเพราะคนจั***กลุ่มหนึ่งที่ตอนเป็นรัฐบาลได้ทำปู้ยี่ปู้ยำประเทศไทยไว้ ผมไม่เข้าใจพวกคุณเท่าไหร่นักหรอก ว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนฉลาดที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผม หรือว่าเป็นคนโง่กันแน่ ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปได้ ภาษีศุลกากรเค้าประมาณให้ลดตั้งแต่มีเรื่อง WTO กับ AFTA แล้ว ทำยังกับไทยอยู่ได้ด้วยตัวเองยังงั้นแหละ หลอกตัวเอง หรือโดนคนอื่นหลอก มากไปหรือเปล่า ทุกวันนี้มันเงินนอกทั้งนั้น รัฐบาลใหม่ยังไม่กล้างี่เง่ากับต่างประเทศเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนในวงการ
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: 24-10-2006, 15:00 » |
|
แหม๋ เลี่ยงไม่ตอบคำถามผมเลยนะ คุณชอบแถ ควายตัวใหนเอ่ย? และครม.จั*** ชุดใหนเอ่ย?  ปล. ผมอารมณ์ดีน่า และเดี๋ยวผมก็ไปแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee. Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath." - Balian of Ibelin -
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: 24-10-2006, 15:03 » |
|
กระแสโลกครับ ไม่ว่ารัฐบาลที่ไหนก็ต้องเปิด โดยเฉพาะประเทศที่อ่อนแออย่างประเทศไทย มีรัฐบาลที่แสนดีพยายามสร้างความแข็งแรง ภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับรากหญ้า ก็ดันทะลึ่งไปไล่ แล้วเอารัฐบาลทหารเต่าล้านปีมาบริหาร วังเวงแท้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สี่หามสามแห่
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: 24-10-2006, 15:07 » |
|
สู้เหลี่ยมก็ไม่ได้
รีดภาษีกันยิ่งกว่านี้
แต่รายได้จากการโอนหุ้น ไม่ต้องจ่ายซักกะบาท
ฮิ้วววววววววว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
555555555555
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: 24-10-2006, 16:12 » |
|
สำหรับสาเหตุที่กระทรวงการคลังประมาณ การรายได้กรมศุลกากรลดลง เพราะรัฐบาลมีนโยบายที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศตามกรอบการค้าเสรีต่างๆ อย่างต่อเนื่องเช่น การค้าเสรี (เอฟทีเอ) องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) และเขตการค้าเสรีอาเซียน เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับผู้ประกอบการไทย โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของไทยเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรลดลง อ่านข้ามตรงนี้หรือปล่าวคุณชอบแถ Killer อะไรจ๊ะ แหม๋พูดเป็นต่อยหอยเลยนะ FTA หนะควายตัวใหนผลัดดันนะ แล้วการเร่งบังคับใช้ตาม WTO กะ AFTA หนะ ควายตัวใหนเร่งบังคับใช้ ทั้งที่ประเทศอื่น ๆ เค้าหมกเม็ดกันเต็มที่ มีควายในไทยนี่แหละ ที่เปิดตูดให้เค้าล่อ อ้อ แล้วก็อุตสาหกรรมหลักที่เป็นยุทธศาสตร์ของไทย ที่สร้างศักยภาพในการแข่งขันหนะ ของรัฐมนตรีในรัฐบาลใหนนะ สงสัยจังเลย อ่านข้ามกันไปหมด จริงอยู่คุณอุ๋ยหนะท่านอาจไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่ตอนนี้ที่คุณอุ๋ยทำคือเร่งกอบกู้เรือที่กำลังจะจมเพราะคนจั***กลุ่มหนึ่งที่ตอนเป็นรัฐบาลได้ทำปู้ยี่ปู้ยำประเทศไทยไว้ ผมไม่เข้าใจพวกคุณเท่าไหร่นักหรอก ว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนฉลาดที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผม หรือว่าเป็นคนโง่กันแน่ ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปได้ ภาษีศุลกากรเค้าประมาณให้ลดตั้งแต่มีเรื่อง WTO กับ AFTA แล้ว ทำยังกับไทยอยู่ได้ด้วยตัวเองยังงั้นแหละ หลอกตัวเอง หรือโดนคนอื่นหลอก มากไปหรือเปล่า ทุกวันนี้มันเงินนอกทั้งนั้น รัฐบาลใหม่ยังไม่กล้างี่เง่ากับต่างประเทศเลย กระแสโลกครับ ไม่ว่ารัฐบาลที่ไหนก็ต้องเปิด โดยเฉพาะประเทศที่อ่อนแออย่างประเทศไทย มีรัฐบาลที่แสนดีพยายามสร้างความแข็งแรง ภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับรากหญ้า ก็ดันทะลึ่งไปไล่ แล้วเอารัฐบาลทหารเต่าล้านปีมาบริหาร วังเวงแท้
มาเพิ่มความรู้ในการทำ FTA กานดีก่าเอฟทีเอคืออะไร เอฟทีเอ (Free Trade Area) คือการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่มลงเป็น 0 % ครอบคลุมรายการสินค้าที่ค้าขายระหว่างกันให้มากพอ และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม โดยในอดีตที่ผ่านมานั้น การทำเอฟทีเอเน้นการเปิดเสรีด้านสินค้า(goods) โดยการลดเลิกภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเป็นสำคัญ ตัวอย่างข้อตกลงดังกล่าวเช่น ข้อตกลงที่ประเทศไทยทำร่วมกับจีน และอินเดีย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีในระยะหลัง เป็นการทำข้อตกลงที่ครอบคลุมหลายด้าน (comprehensive) โดยรวมไปถึงการเปิดเสรีด้านบริการ (services) การลงทุน(Investment) ทรัพย์สินทางปัญญา(Investment) พาณิชย์อิเลคโทรนิคส์(E-commerce) เป็นต้น โดยข้อตกลงดังกล่าวจะสูงกว่าข้อผูกพันที่มีองค์การค้าโลก (WTO plus) เสียอีก ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงที่สหรัฐอเมริกาทำกับประเทศสิงคโปร์ และชีลี และข้อตกลงที่จะทำกับประเทศไทย เป็นต้น ยุทธศาสตร์การทำ FTA ของไทย เป้าหมาย เพื่อสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสในการส่งออก และปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยุทธศาสตร์การเจรจา FTA เพื่อรักษาตลาดเดิมที่เป็นตลาดหลักของไทย เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น และและขยายตลาดใหม่ทั้งในแนวกว้างและเจาะลึกในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ตลาดที่เป็นประตูการค้าในภูมิภาคอื่นๆ เช่นบาห์เรนในตะวันออกกลาง เปรู ในทวีปเอมริกาใต้ เป็นต้น พิจารณาเตรียมความพร้อมในการ FTA ก้าวต่อไป กับ สหภาพยุโรป แคนาดา แอฟริการใต้ ชิลี เม็กซิโก เกาหลี กลุ่ม Mercosure และ EFTA เป็นต้น ยุทธศาสตร์รายสาขา ที่สำคัญ มี ดังนี้ (1) เกษตร เน้นอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหารแปรรูป สินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหว ให้เจรจาโดยมีเวลาในการปรับตัวที่นาน สินค้าเกษตรและอาหาร จะมีปัญหาเรื่องมาตรฐานด้านสุขอนามัยมาก ความปลอดภัยด้านอาหาร และสิ่งแวดล้อม ให้เจรจาลด/ยกเลิก หรือปรับไม่ให้เป็นอุปสรรค ขณะเดียวกันให้พัฒนาการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล มีความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกด้านการค้าโดยการทำ MRA และ การถ่ายทอดเทคโนโลยี กำหนดมาตรฐานการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบที่ต้องนำเข้ามาแปรรูปเพื่อการส่งออกให้ได้มาตรฐาน และปลอดภัย (2) อุตสาหกรรม เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายในการส่งออกของไทย และกลุ่ม cluster ที่มีการร่วมลงทุนผลิตที่เป็น production network สาขาที่สำคัญ ที่ไทยมีศักยภาพมาก ได้แก่ แฟชั่น (เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ รองเท้า) ยานยนต์และชิ้นส่วน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสินค้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ในบ้าน และของแต่บ้าน มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานสินค้า (TBT) สิ่งแวดล้อม ให้เจรจาลด/ยกเลิก หรือปรับไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการค้า พัฒนาการผลิตภายในประเทศให้ได้มาตรสากล และจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกัน (MRA) การเจรจากำหนดเงื่อนไข Rules of Origin ต้องสะท้อนสภาพการผลิตในประเทศ และในประเทศต้องปรับการผลิตอุตสาหกรรมต้นน้ำให้มากขึ้น (3) บริการ เปิดเสรีแบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้ positive-list approach เน้นธุรกิจบริการที่มีความพร้อม เช่น ท่องเที่ยว สุขภาพ ก่อสร้างออกแบบ สนับสนุนธุรกิจที่มีอนาคต เช่น ICT logistics บันเทิง ซ่อมบำรุง กลุ่มธุรกิจบริการที่ยังไม่พร้อม เช่น ธนาคาร ประกันภัย โทรคมนาคม ขนส่ง ให้มี transition period 10 ปี (4) ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า เน้นระดับการคุ้มครองภายใต้ความตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้าใน WTO เป็นหลัก ควรแสวงหาความร่วมมือจากประเทศคู่เจรจาในการอำนวยความสะดวกด้านการขอรับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทยในต่างประเทศ เช่น การขอรับการคุ้มครองพันธุ์ข้าวหอมมะลิ และเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิของไทย ผลักดันให้ประเทศคู้เจรจาให้ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ไทยมีผลประโยชน์ เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งที่มาทางชีวภาพ ส่งเสริมความร่วมมือด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การใช้ประโยชน์ในข้อมูลสิทธิบัตร เพิ่มศักยภาพและทักษะของนักประดิษฐ์ของไทยในการวิจัยพัฒนาต่อยอด กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ 26 กุมภาพันธ์ 2547 จริงๆแล้วการทำ FTA มันก็ไม่ได้จำเป็นมากๆขนาดที่เราจะต้องเปิดให้ได้หรอกครับ มันต้องดูกรอบความเหมาะสมด้วย เพราะการเปิดการค้าเสรีกับประเทศใดประเทศหนึ่ง มันก้เหมือนต่างต้องแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่นด้านการลดภาษีนำเข้านี่ก็เป็นข้อตกลงจากการทำการค้าเสรีอย่างนึง เพื่อแลกกับการได้รับประโยชน์ต่างๆจากการลงทุนของประเทศคู่ค้านะครับ แต่การทำการค้าเสรีก็ต้องพิจารณาความเหมาะสมหลายๆด้านไม่อย่างนั้นเราก็อาจเสียเปรียบประเทศที่เขาสามารถต่อรองได้มากกว่านะครับเช่น จีน หรือ สหรัฐ ต้องระวังมากๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และ ทรัพย์สินทางปัญญา ดูจากผลการวิจัยการทำข้อตกลงทางการค้ากับ สหรัฐดูก่อนนะครับ สหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย อย่างไรก็ตามสินค้าไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐลดลงอย่างต่อเนื่อง การทำความตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐจะช่วยเพิ่มการส่งออกของสินค้าไทยไปยังสหรัฐ และกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากทั้งสองประเทศมีสินค้าส่วนใหญ่ที่หนุนเสริมกัน อย่างไรก็ตามประโยชน์จากการทำความตกลงการค้าเสรีจะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เช่น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน หรือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ต้องการส่งออกไปยังสหรัฐจะต้องปรับลักษณะสินค้าของตนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในตลาดดังกล่าว ลดต้นทุนการผลิต ปรับปรุงคุณภาพสินค้า และลดเวลาการส่งมอบสินค้า ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าเกษตรจะสามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหรัฐได้ก็ต่อเมื่อสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง และรัฐบาลไทยสามารถเจรจาให้สหรัฐยกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรต่างๆ ได้สำเร็จ ในขณะเดียวกัน ความตกลงการค้าเสรีไทย-สหรัฐอาจทำให้ผู้ผลิตสินค้าในประเทศในบางรายการได้รับแรงกดดันจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐ เช่น ในกรณีสินค้าเกษตร คาดว่าสินค้าไทยเช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์นมจะได้รับผลกระทบในด้านลบจากการแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังน่าจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนทางตรงระหว่างประเทศที่มากขึ้นจากการทำความตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐ ซึ่งจะมีผลดีในการจ้างงาน การขยายตัวของเศรษฐกิจ และช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของไทยสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยจะต้องระวังการลงทุนระยะสั้นที่มีลักษณะเก็งกำไร และให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการเจรจาในเรื่องประเภทของการลงทุนที่ได้รับการคุ้มครอง ความยืดหยุ่นในการกำหนดนโยบายภายในประเทศ และกลไกในการระงับข้อพิพาท ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวสูง ในส่วนของการค้าบริการ ประเทศไทยไม่น่าจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกบริการไปยังสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ อาจได้รับประโยชน์จากการลงทุนของสหรัฐในประเทศไทยและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในบางบริการ อย่างไรก็ตาม การได้รับประโยชน์จากสาขาบริการจะมีความยากลำบากมากกว่าการได้รับประโยชน์จากการค้าสินค้า เนื่องจาก ไทยจะต้องปรับปรุงกฎระเบียบในประเทศให้มีมาตรฐานสูงขึ้น สร้างกลไกในการรับมือกับการผูกขาดที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ แม้ว่าการเปิดเสรีการค้าบริการจะช่วยทำให้ผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศได้รับประโยชน์จากบริการที่หลากหลายขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง ผู้ประกอบการในสาขาบริการในประเทศไทยก็จะต้องเผชิญกับแรงกดดันในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ความตกลงการค้าเสรีไทย-สหรัฐยังเกี่ยวข้องกับประเด็นที่มีความอ่อนไหวสูงอีกหลายประเด็นเช่น การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยความตกลงดังกล่าวจะทำให้ไทยต้องปรับมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้ใกล้เคียงกับมาตรฐานของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ไทยขาดความยืดหยุ่นในการกำหนดนโยบายในการพัฒนาประเทศ และมีต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้นจากการให้สิทธิผูกขาดในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
นอกจากนี้ ควรระวังด้วยว่า การให้สิทธิพิเศษแก่สหรัฐเพียงประเทศเดียวในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่นมาก นอกจากอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการผูกขาดโดยผู้ประกอบการสหรัฐ ในกรณีที่ผู้ประกอบการในประเทศไม่มีความเข้มแข็งแล้ว ยังอาจทำให้ประเทศไทยมีความยากลำบากในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้ารายอื่นๆ ในอนาคต การเตรียมการในการเจรจาของฝ่ายไทยให้มีความพร้อมเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาล้วนเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนสูงและส่งผลกระทบในวงกว้าง รัฐบาลไทยควรจัดคณะเจรจาที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในแต่ละประเด็น หนุนเสริมด้วยการสนับสนุนทางวิชาการที่เข้มแข็ง และสร้างกระบวนการในการกำหนดท่าทีในการเจรจาที่เปิดส่วนร่วมให้ผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ในสังคมทั้งภาคธุรกิจ ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร ผู้บริโภค องค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาชน สามารถให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะได้อย่างกว้างขวาง และเน้นประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากความตกลงมากกว่าการมุ่งหวังให้เกิดความตกลงเท่านั้น จากตัวอย่างนี้จะพบว่า การทำการเจรจาตกลงนั้นย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราจึงควรพิจารณาให้ดีเสียก่อนที่จะทำการตกลงกับใคร ดังนั้นถามว่าจำเป็นไหมที่ประเทศไทยต้องทำ ก็ขอตอบว่าก็ควรที่จะทำ แต่ก้ไม่จำเป็นต้องทำถ้าจะต้องทำกับประเทศที่เขาได้เปรียบเรานะครับ แล้ว อีกอย่างนะครับการเปิดการค้าเสรีเขาก็ทำกันมานานแล้วนะครับแต่อยู่ใต้กรอบ WTO ส่วน FTA นั้นตอนหลังๆเขาหันมาทำกันมากขึ้นเพราะทำการเจรจา WTO ชะงักงัน การค้าขยายตัวและมีแนวโน้มเปิดเสรีมากขึ้น ประเทศต่างๆ มีแนวโน้มทำ FTA กันมากขึ้นสำหรับประเทศไทย ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ต่างทำ FTA กันมากนะครับ แต่เราก็ต้องคิดให้มากกันหน่อยละครับ ไม่งั้นเสียเปรียบตายเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: 24-10-2006, 16:38 » |
|
ห้าเฮ้าเลี่ยนจริงวุ้ย ตัดแปะซะรกไปหมดไม่รู้กี่กระทู้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ข้อมูลพวกนี้ใครๆ ก็มี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Can ไทเมือง
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: 24-10-2006, 16:52 » |
|
ข้อมูลมี แต่ "ไม่รู้" คนเรามันต่างกันที่ "รู้" กับ "ไม่รู้"
หรือบางที "รู้" แต่แกล้ง..."ไม่รู้"...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
555555555555
|
 |
« ตอบ #22 เมื่อ: 24-10-2006, 17:00 » |
|
ห้าเฮ้าเลี่ยนจริงวุ้ย ตัดแปะซะรกไปหมดไม่รู้กี่กระทู้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ข้อมูลพวกนี้ใครๆ ก็มี
ก็เป็นข้อมูลสาธารณะนี่ครับ เขาเป็นข้อมูลมาตรฐานที่นักวิชาการ อาจารย์ นักศึกษา คนธรรมดา ใช้ค้นคว้า หรือ หาอ่านเพื่อนำมาใช้ประกอบความรู้กัน อย่างที่คุณแคนบอกล่ะครับ ใครๆก็มีได้ แต่ จะเข้าใจในข้อมูลที่มีรึเปล่า อย่างผมมาแปะให้อ่านผมก็ต้องพอมีความรู้บ้างจริงไหมครับงั้นผมจะหามาแปะให้คุณอ่านถูกหรือ ผมอ่านก่อนแปะเสมอครับและถ้าสรุปได้ก็จะทำ แต่ไม่มีเวลาครับ อ่านตรงประเด็นสำคัญที่ผมขีดเส้นใต้ไว้แล้วกันครับ แล้ว มาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่คุณ แถ ผมนะครับ เอาเปนว่าก่อนจะมา แซวผมในกระทู้นี้ไปตอบกระทู้เก่าๆของผมดีกว่า ไปแถต่อให้เสร็จดีกว่ามั้งครับ เพราะแค่ผมเอามาแปะให้คุณอ่านคุณก็หงายหน้าหงายหลังแถกันไม่ออกแล้วล่ะครับ จริงไหมครับ เพราะถ้าคุณเอาแต่แถ มันก็งี้แหละคุณ ลองไม่แถดูสิ อาจดีกว่านี้ก็ได้นะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #24 เมื่อ: 24-10-2006, 17:45 » |
|
ห้าเฮ้าเลี่ยนจริงวุ้ย ตัดแปะซะรกไปหมดไม่รู้กี่กระทู้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ข้อมูลพวกนี้ใครๆ ก็มี
ก็เป็นข้อมูลสาธารณะนี่ครับ เขาเป็นข้อมูลมาตรฐานที่นักวิชาการ อาจารย์ นักศึกษา คนธรรมดา ใช้ค้นคว้า หรือ หาอ่านเพื่อนำมาใช้ประกอบความรู้กัน อย่างที่คุณแคนบอกล่ะครับ ใครๆก็มีได้ แต่ จะเข้าใจในข้อมูลที่มีรึเปล่า อย่างผมมาแปะให้อ่านผมก็ต้องพอมีความรู้บ้างจริงไหมครับงั้นผมจะหามาแปะให้คุณอ่านถูกหรือ ผมอ่านก่อนแปะเสมอครับและถ้าสรุปได้ก็จะทำ แต่ไม่มีเวลาครับ อ่านตรงประเด็นสำคัญที่ผมขีดเส้นใต้ไว้แล้วกันครับ แล้ว มาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่คุณ แถ ผมนะครับ เอาเปนว่าก่อนจะมา แซวผมในกระทู้นี้ไปตอบกระทู้เก่าๆของผมดีกว่า ไปแถต่อให้เสร็จดีกว่ามั้งครับ เพราะแค่ผมเอามาแปะให้คุณอ่านคุณก็หงายหน้าหงายหลังแถกันไม่ออกแล้วล่ะครับ จริงไหมครับ เพราะถ้าคุณเอาแต่แถ มันก็งี้แหละคุณ ลองไม่แถดูสิ อาจดีกว่านี้ก็ได้นะ ว่ามาเลยกระทู้ไหน แต่อย่าเอานวนิยายมาคุยกับเรื่องจริงนะ ขี้เกียจเถียง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
555555555555
|
 |
« ตอบ #25 เมื่อ: 24-10-2006, 18:13 » |
|
ห้าเฮ้าเลี่ยนจริงวุ้ย ตัดแปะซะรกไปหมดไม่รู้กี่กระทู้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ข้อมูลพวกนี้ใครๆ ก็มี
ก็เป็นข้อมูลสาธารณะนี่ครับ เขาเป็นข้อมูลมาตรฐานที่นักวิชาการ อาจารย์ นักศึกษา คนธรรมดา ใช้ค้นคว้า หรือ หาอ่านเพื่อนำมาใช้ประกอบความรู้กัน อย่างที่คุณแคนบอกล่ะครับ ใครๆก็มีได้ แต่ จะเข้าใจในข้อมูลที่มีรึเปล่า อย่างผมมาแปะให้อ่านผมก็ต้องพอมีความรู้บ้างจริงไหมครับงั้นผมจะหามาแปะให้คุณอ่านถูกหรือ ผมอ่านก่อนแปะเสมอครับและถ้าสรุปได้ก็จะทำ แต่ไม่มีเวลาครับ อ่านตรงประเด็นสำคัญที่ผมขีดเส้นใต้ไว้แล้วกันครับ แล้ว มาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่คุณ แถ ผมนะครับ เอาเปนว่าก่อนจะมา แซวผมในกระทู้นี้ไปตอบกระทู้เก่าๆของผมดีกว่า ไปแถต่อให้เสร็จดีกว่ามั้งครับ เพราะแค่ผมเอามาแปะให้คุณอ่านคุณก็หงายหน้าหงายหลังแถกันไม่ออกแล้วล่ะครับ จริงไหมครับ เพราะถ้าคุณเอาแต่แถ มันก็งี้แหละคุณ ลองไม่แถดูสิ อาจดีกว่านี้ก็ได้นะ ว่ามาเลยกระทู้ไหน แต่อย่าเอานวนิยายมาคุยกับเรื่องจริงนะ ขี้เกียจเถียง นิยายตรงไหนหว่า ในหนังสือเรียน หรือ บทความการวิจัย มีอยุ่เยอะแยะ นิยายเหรอนั่น ตลกว่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #26 เมื่อ: 24-10-2006, 19:06 » |
|
 ไม่ว่าจะยุคไหนก้อถอนขนเป็ด ทั้งนั้นไม่งั้นจะเอางบระมาณไปใช้จ่ายได้อย่างไร.... วุ้ย.อีกหน่อยคงมาถอนขนที่ตูดเป็ดตรูแน่ เซ็งว้อย... จากประสบการณ์ที่ต้อง deal กับเจ้าหน้าที่สรรพากรหลายพื้นที่ พื้นที่ละ 2-3 รอบต่อปี พบว่านโยบายของ นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร (หรืออาจจะมาจากกระทรวงการคลังในรัฐบาลก่อน) มีเหตุมี ผลเข้ากับความเป็นจริงในการประกอบธุรกิจมากที่สุด ตั้งแต่เคยมีกรมสรรพากรมา แม้จะทำให้มีผู้เสียผล ประโยชน์เพิ่มอย่างมาก แต่ทุกอย่างก็เข้ารัฐและไม่มีการเรียกร้องเงินใต้โต๊ะ เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ทำงาน หนักด้วยความเต็มใจ ด้วยทัศนคติที่ดี แต่ตอนนี้ถ้ามองไปข้างหน้า มันเกินจุดสมดุลแล้ว โอกาสเน่าสูงครับ แล้วทำไมสรรพากรเข้ามาตรวจธุรกิจผม 6 ครั้ง จนสุดท้าย ต้องมากราบขอร้องให้ขอให้เพิ่มยอดภาษี ในสมัยทักษิณหล่ะ ธุรกิจผมแม้จะเล็ก แต่ภาษีเข้าออกตรงทุกรายการ เข้ามาตรวจบัญชีแล้ว นับสต๊อกก็ทำแล้ว ปิดดูบิลซื้อ-ขายทุกใบ ก็ทำมาแล้ว แต่ยังจับไม่ได้ทำไมช่างมีพรสวรรค์ในการหลบภาษีเช่นนี้ ลืมบอกมันไปอย่างว่า ให้มายืนเฝ้าที่หน้าประตูร้าน ใส่ชุดยามยืนนับจำนวนคนซื้อด้วย นี่ไงผู้เสียประโยชน์ตัวจริง สรรพากรเค้าคงงงกับบัญชีรายได้ค้างรับกระมัง ที่เค้ามาตรวจ 6 ครั้งเพราะอะไรลองทบทวนดูหรือเปล่า ไม่ไปชี้แจงเองใช่มั้ย ไปคุยกับซี 7 ซี 8 ไม่รู้เรื่องละสิ เจอซี 4 ไปบ่ายเบี่ยงเขาเรื่องมันก็ไม่จบ ถ้ามีกำไรก็จ่ายๆ เหอะภาษี อย่าไป หลบเลย โธ่ คุณชอบแถ สรรพากรมันยกมือกราบเลย ขอให้จ่ายเพิ่มให้ได้ตามเป้า(แต่ผมไม่ให้ เพราะดันเป้นช่วงที่ไอ้แม้วยังเป็นรักษาการอยู่ ผมเสียดายเงินผม เรื่องอะไรต้องจ่ายถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่าง นี่ผมทำตามกติกาด่าไมได้ ) ถ้าบัญชีผมผิดจริง สต๊อกผมไม่ตรงจริง มันคงจะไม่กราบขอเพิ่มหรอก มันคงจะรีดไถอยู่แล้ว โถน่าสงสาร สินค้าชิ้นนึง ต้นทุน 50000 บาท ขายไป 55000 บาท แต่เวลาออกVAT เขียนไปแค่ 50010 บาท 4990 บาทเก็บเข้ากระเป๋า ลูกค้าดันไม่ยอมขอVAT เองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ ผมมีสต๊อกสินค้า 2 ที่ ที่นึงให้สรรพากรตรวจ อีกที่ไว้หลบ เพราะสินค้าผมก็ฮั้วกับโรงงาน โรงงานไม่ออกภาษีซื้อ ผมก็ไม่ออกภาษีขาย บัญชีมี 2 เล่ม อันนึงให้สรรพากรดู อีกอันสต๊อกจริงไว้กันโดนพนักงานโกง ผมโกงวิธีเนี้ย ไปตามสรรพากรมาตรวจรอบที่ 7 ที่ 8 ให้มันมายืนเฝ้าหน้าร้านก็จับไมได้ ถ้าคิดจะโกง จะหลบก็อย่าหลบโง่ ๆ บัญชี ผมจ้างทำครับ รู้แค่พื้น ๆ ก็พอ หน้าร้านก็จ้างคนดู ถือStock ไว้ในมือ ใครจะกล้าโกง เป็นเจ้าของธุรกิจต้องมีศักดิ์ศรี ในเมื่อเรามีเงินทุน ก็จ้างให้คนอื่นลงแรงไป ผมจบแค่ป.ตรี วัน ๆ ไม่เล่นเน็ตก็บินไปเที่ยวต่างประเทศ หัดรู้จักใช้ระบบมั่ง ผมไม่ได้เป็นแบบเจ้านายคุณนี่ เป็นนายกซะเปล่า คำว่าสั่งการไม่รู้จัก ต้องลงไปทำเอง แถมทำได้ไม่ดีอีก ผู้นำประสาอะไรวะ ไม่รู้จักใช้คน กฏเบื้องต้นของภาวะผู้นำเลยนะ ผมเผยหมดแล้ว เอาข้อมูลไปส่งสรรพากรดูสิ ในเมื่อสต๊อกมาตรวจก็ตรง ขายออกมีVat ทุกชิ้น สมัยพล.อ สุรยุทธ์ผมคงจะปรับฐานภาษีให้สูงขึ้นหน่อย เพราะผมไม่อยากให้เหลี่ยมมันเอาเงินผมไปถลุงเล่น ไม่พอใจไปแจ้งสรรพากร เอาข้อความนี้ไปด้วย ท้าเลย ปล.แล้วไม่ต้องกระแดะมาพิมพ์แบบsensitive ประมาณว่าอ้างจริยธรรม ผมไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม ปล.2 รายได้ค้างรับมีในชื่อบัญชี แต่ลูกหนี้ค้างรับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮิ ๆ ๆ ๆ มันหมายความว่าอย่างไรเหรอ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมอธิบายไว้แล้วในกระทู้ก่อน แต่คุณก้แกล้งโง่ไม่รับรู้ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเหตุผล และข้อเท็จจริงไม่สามารถซึมผ่านกระโหลกหนา ๆ ของคุณเข้าไปได้ ผมก็ป่วยการจะอธิบาย ส่วนเงินเดือนพนักงานถ้าจะหลบนะผมมีวิธีหลบ สมมุติพนักงานเงินเดือน 8000 บาท เวลาจ่ายออกเช็ค 15,000 แล้วให้เอาส่วนต่างมาคืน แล้วเอาเลข 15,000 บาทไปลงบัญชี จะหลบอะไรอีกดี สต๊อกก็หลบแล้วส่วนต่างกำไรก็โกงแล้ว เงินเดือนก็Make ตัวเลขมาจ่าย ผมอยู่แบบนี้มานานแล้ว ไม่เห็นสรรพากรมันจะทำอะไรได้เลย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2006, 19:18 โดย THX »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #27 เมื่อ: 24-10-2006, 20:20 » |
|
โธ่ คุณชอบแถ สรรพากรมันยกมือกราบเลย ขอให้จ่ายเพิ่มให้ได้ตามเป้า(แต่ผมไม่ให้ เพราะดันเป้นช่วงที่ไอ้แม้วยังเป็นรักษาการอยู่ ผมเสียดายเงินผม เรื่องอะไรต้องจ่ายถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่าง นี่ผมทำตามกติกาด่าไมได้ ) ถ้าบัญชีผมผิดจริง สต๊อกผมไม่ตรงจริง มันคงจะไม่กราบขอเพิ่มหรอก มันคงจะรีดไถอยู่แล้ว โถน่าสงสาร สินค้าชิ้นนึง ต้นทุน 50000 บาท ขายไป 55000 บาท แต่เวลาออกVAT เขียนไปแค่ 50010 บาท 4990 บาทเก็บเข้ากระเป๋า ลูกค้าดันไม่ยอมขอVAT เองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ ผมมีสต๊อกสินค้า 2 ที่ ที่นึงให้สรรพากรตรวจ อีกที่ไว้หลบ เพราะสินค้าผมก็ฮั้วกับโรงงาน โรงงานไม่ออกภาษีซื้อ ผมก็ไม่ออกภาษีขาย บัญชีมี 2 เล่ม อันนึงให้สรรพากรดู อีกอันสต๊อกจริงไว้กันโดนพนักงานโกง ผมโกงวิธีเนี้ย ไปตามสรรพากรมาตรวจรอบที่ 7 ที่ 8 ให้มันมายืนเฝ้าหน้าร้านก็จับไมได้ ถ้าคิดจะโกง จะหลบก็อย่าหลบโง่ ๆ บัญชี ผมจ้างทำครับ รู้แค่พื้น ๆ ก็พอ หน้าร้านก็จ้างคนดู ถือStock ไว้ในมือ ใครจะกล้าโกง เป็นเจ้าของธุรกิจต้องมีศักดิ์ศรี ในเมื่อเรามีเงินทุน ก็จ้างให้คนอื่นลงแรงไป ผมจบแค่ป.ตรี วัน ๆ ไม่เล่นเน็ตก็บินไปเที่ยวต่างประเทศ หัดรู้จักใช้ระบบมั่ง ผมไม่ได้เป็นแบบเจ้านายคุณนี่ เป็นนายกซะเปล่า คำว่าสั่งการไม่รู้จัก ต้องลงไปทำเอง แถมทำได้ไม่ดีอีก ผู้นำประสาอะไรวะ ไม่รู้จักใช้คน กฏเบื้องต้นของภาวะผู้นำเลยนะ ผมเผยหมดแล้ว เอาข้อมูลไปส่งสรรพากรดูสิ ในเมื่อสต๊อกมาตรวจก็ตรง ขายออกมีVat ทุกชิ้น สมัยพล.อ สุรยุทธ์ผมคงจะปรับฐานภาษีให้สูงขึ้นหน่อย เพราะผมไม่อยากให้เหลี่ยมมันเอาเงินผมไปถลุงเล่น ไม่พอใจไปแจ้งสรรพากร เอาข้อความนี้ไปด้วย ท้าเลย
ปล.แล้วไม่ต้องกระแดะมาพิมพ์แบบsensitive ประมาณว่าอ้างจริยธรรม ผมไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม ปล.2 รายได้ค้างรับมีในชื่อบัญชี แต่ลูกหนี้ค้างรับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮิ ๆ ๆ ๆ มันหมายความว่าอย่างไรเหรอ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมอธิบายไว้แล้วในกระทู้ก่อน แต่คุณก้แกล้งโง่ไม่รับรู้ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเหตุผล และข้อเท็จจริงไม่สามารถซึมผ่านกระโหลกหนา ๆ ของคุณเข้าไปได้ ผมก็ป่วยการจะอธิบาย
ส่วนเงินเดือนพนักงานถ้าจะหลบนะผมมีวิธีหลบ สมมุติพนักงานเงินเดือน 8000 บาท เวลาจ่ายออกเช็ค 15,000 แล้วให้เอาส่วนต่างมาคืน แล้วเอาเลข 15,000 บาทไปลงบัญชี จะหลบอะไรอีกดี สต๊อกก็หลบแล้วส่วนต่างกำไรก็โกงแล้ว เงินเดือนก็Make ตัวเลขมาจ่าย ผมอยู่แบบนี้มานานแล้ว ไม่เห็นสรรพากรมันจะทำอะไรได้เลย
อนาจประเทศไทย ยังอุตส่าห์เอามาคุยอีก น่าละอายแท้ ลูกหนี้ค้างรับ เค้าเรียกว่า accrued a/r ครับ มีใช้ทั่วไป สำหรับลูกหนี้ที่ไม่สามารถลงในงวดเก็บปกติได้ ส่วนรายได้ค้างรับ ปกติไม่ใช้กันครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
snowflake
|
 |
« ตอบ #28 เมื่อ: 24-10-2006, 21:01 » |
|
ปล. ผมไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม
เข้าใจผิดแล้วนะคะ เป็นมนุษย์ก็ควรต้องมีจริยธรรม ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน อย่ามาสร้างค่านิยมผิดๆ ให้สังคม ด้วยการคิดเข้าข้างตัวเอง ปล.แล้วไม่ต้องกระแดะมาพิมพ์แบบsensitive ประมาณว่าอ้างจริยธรรม ผมไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม ปล.2 รายได้ค้างรับมีในชื่อบัญชี แต่ลูกหนี้ค้างรับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮิ ๆ ๆ ๆ มันหมายความว่าอย่างไรเหรอ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมอธิบายไว้แล้วในกระทู้ก่อน แต่คุณก้แกล้งโง่ไม่รับรู้ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเหตุผล และข้อเท็จจริงไม่สามารถซึมผ่านกระโหลกหนา ๆ ของคุณเข้าไปได้ ผมก็ป่วยการจะอธิบาย
ส่วนเงินเดือนพนักงานถ้าจะหลบนะผมมีวิธีหลบ สมมุติพนักงานเงินเดือน 8000 บาท เวลาจ่ายออกเช็ค 15,000 แล้วให้เอาส่วนต่างมาคืน แล้วเอาเลข 15,000 บาทไปลงบัญชี จะหลบอะไรอีกดี สต๊อกก็หลบแล้วส่วนต่างกำไรก็โกงแล้ว เงินเดือนก็Make ตัวเลขมาจ่าย ผมอยู่แบบนี้มานานแล้ว ไม่เห็นสรรพากรมันจะทำอะไรได้เลย
อนาจประเทศไทย ยังอุตส่าห์เอามาคุยอีก น่าละอายแท้ เห็นด้วยค่ะ อนาถ สะกด ถ นะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even the smallest person can change the course of the future.
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #29 เมื่อ: 24-10-2006, 21:12 » |
|
โธ่ คุณชอบแถ สรรพากรมันยกมือกราบเลย ขอให้จ่ายเพิ่มให้ได้ตามเป้า(แต่ผมไม่ให้ เพราะดันเป้นช่วงที่ไอ้แม้วยังเป็นรักษาการอยู่ ผมเสียดายเงินผม เรื่องอะไรต้องจ่ายถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่าง นี่ผมทำตามกติกาด่าไมได้ ) ถ้าบัญชีผมผิดจริง สต๊อกผมไม่ตรงจริง มันคงจะไม่กราบขอเพิ่มหรอก มันคงจะรีดไถอยู่แล้ว โถน่าสงสาร สินค้าชิ้นนึง ต้นทุน 50000 บาท ขายไป 55000 บาท แต่เวลาออกVAT เขียนไปแค่ 50010 บาท 4990 บาทเก็บเข้ากระเป๋า ลูกค้าดันไม่ยอมขอVAT เองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ ผมมีสต๊อกสินค้า 2 ที่ ที่นึงให้สรรพากรตรวจ อีกที่ไว้หลบ เพราะสินค้าผมก็ฮั้วกับโรงงาน โรงงานไม่ออกภาษีซื้อ ผมก็ไม่ออกภาษีขาย บัญชีมี 2 เล่ม อันนึงให้สรรพากรดู อีกอันสต๊อกจริงไว้กันโดนพนักงานโกง ผมโกงวิธีเนี้ย ไปตามสรรพากรมาตรวจรอบที่ 7 ที่ 8 ให้มันมายืนเฝ้าหน้าร้านก็จับไมได้ ถ้าคิดจะโกง จะหลบก็อย่าหลบโง่ ๆ บัญชี ผมจ้างทำครับ รู้แค่พื้น ๆ ก็พอ หน้าร้านก็จ้างคนดู ถือStock ไว้ในมือ ใครจะกล้าโกง เป็นเจ้าของธุรกิจต้องมีศักดิ์ศรี ในเมื่อเรามีเงินทุน ก็จ้างให้คนอื่นลงแรงไป ผมจบแค่ป.ตรี วัน ๆ ไม่เล่นเน็ตก็บินไปเที่ยวต่างประเทศ หัดรู้จักใช้ระบบมั่ง ผมไม่ได้เป็นแบบเจ้านายคุณนี่ เป็นนายกซะเปล่า คำว่าสั่งการไม่รู้จัก ต้องลงไปทำเอง แถมทำได้ไม่ดีอีก ผู้นำประสาอะไรวะ ไม่รู้จักใช้คน กฏเบื้องต้นของภาวะผู้นำเลยนะ ผมเผยหมดแล้ว เอาข้อมูลไปส่งสรรพากรดูสิ ในเมื่อสต๊อกมาตรวจก็ตรง ขายออกมีVat ทุกชิ้น สมัยพล.อ สุรยุทธ์ผมคงจะปรับฐานภาษีให้สูงขึ้นหน่อย เพราะผมไม่อยากให้เหลี่ยมมันเอาเงินผมไปถลุงเล่น ไม่พอใจไปแจ้งสรรพากร เอาข้อความนี้ไปด้วย ท้าเลย
ปล.แล้วไม่ต้องกระแดะมาพิมพ์แบบsensitive ประมาณว่าอ้างจริยธรรม ผมไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม ปล.2 รายได้ค้างรับมีในชื่อบัญชี แต่ลูกหนี้ค้างรับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮิ ๆ ๆ ๆ มันหมายความว่าอย่างไรเหรอ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมอธิบายไว้แล้วในกระทู้ก่อน แต่คุณก้แกล้งโง่ไม่รับรู้ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเหตุผล และข้อเท็จจริงไม่สามารถซึมผ่านกระโหลกหนา ๆ ของคุณเข้าไปได้ ผมก็ป่วยการจะอธิบาย
ส่วนเงินเดือนพนักงานถ้าจะหลบนะผมมีวิธีหลบ สมมุติพนักงานเงินเดือน 8000 บาท เวลาจ่ายออกเช็ค 15,000 แล้วให้เอาส่วนต่างมาคืน แล้วเอาเลข 15,000 บาทไปลงบัญชี จะหลบอะไรอีกดี สต๊อกก็หลบแล้วส่วนต่างกำไรก็โกงแล้ว เงินเดือนก็Make ตัวเลขมาจ่าย ผมอยู่แบบนี้มานานแล้ว ไม่เห็นสรรพากรมันจะทำอะไรได้เลย
อนาจประเทศไทย ยังอุตส่าห์เอามาคุยอีก น่าละอายแท้ ลูกหนี้ค้างรับ เค้าเรียกว่า accrued a/r ครับ มีใช้ทั่วไป สำหรับลูกหนี้ที่ไม่สามารถลงในงวดเก็บปกติได้ ส่วนรายได้ค้างรับ ปกติไม่ใช้กันครับ มั่วไปได้อีกนะ ลูกหนี้ค้างรับใช้กรณีที่เป้นลูกหนี้เดิมมีเครดิตอยู่แล้ว คนใข้เดินเข้ารงพยาลาลครั้งแรก ยังไม่ทำอะไรเลยนี่เป็นหนี้เหรอ ผมอธิบายไว้ในกระทู้ก่อนนี้แล้ว คนไข้มารับบริการ แล้วไม่จ่ายค่ารักษา ซึ่งเรียกว่าเป้นรายได้ของโรงพยาบาลจริงมั้ย ในเมื่อรายได้ที่โรงพยาบาลลงไว้ ถ้าจ่ายเลยจะเป็น เดบิต เงินสด เครดิตรายได้จากค่ารักษาพยาบาล แต่ถ้าลูกค้าค้างจ่าย โดยตัวลูกค้านำเงินมาจ่ายเองในภายหลัง ต้องเดบิตรายได้ค้างรับ เครดิต ลูกหนี้(เฉย ๆ ไม่มีค้างรับอย่าโง่) แต่คราวนี้เป็นบัญชีที่คนไข้รับบริการ แต่รัฐบาลเป้นคนจ่าย ในเมื่อรัฐบาลเป็นองค์กร ของรัฐ ไม่มีสิทธิไปเรียกVAT อยู่แล้ว การลงบัญชีในส่วน เดบิตควรจะเป็นรายได้ค้างรับ-รัฐบาล สมองจะซึมซับได้มั้ยเนี้ย อธิบายไปแล้ว โง่แล้วยังไม่รับว่าโง่ ตะแบงเถียงอยู่ได้ ควายคือควาย เลือกทักษิณก็ควายไปแล้ว นี่ยังตะแบงเถียงบัญชีข้าง ๆ คู ๆ ให้อธิบายซ้ำ ๆ กันอยู่ได้ สมองไม่รับรู้หรือไง แล้วไม่ต้องอนาจหรอก ตอนทักษิณขายหุ้นไม่เสียภาษี ไม่เห็นออกมาอนาจแบบนี้เลย หลบภาษีเหมือนกัน ไม่พอใจก็เอาสรรพากรมาจับสิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #30 เมื่อ: 24-10-2006, 21:14 » |
|
เห็นด้วยค่ะ อนาถ สะกด ถ นะคะ
ไชโยใช้ภาษาไทยผิดแล้ว หลังจากพยายามทำให้ถูกมาตั้ง 1900 กว่าความเห็น ขอบคุณมากคร้าบ แสดงว่าเรายังเป็นคนธรรมดาอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #31 เมื่อ: 24-10-2006, 21:17 » |
|
... แล้วไม่ต้องอนาจหรอก ตอนทักษิณขายหุ้นไม่เสียภาษี ไม่เห็นออกมาอนาจแบบนี้เลย หลบภาษีเหมือนกัน ไม่พอใจก็เอาสรรพากรมาจับสิ
ขี้เกียจเถียงแล้วหว่ะไปหาข้อมูลเองบ้างเหอะ อย่ามัวแต่นั่งเทียนใช้ความคิดตัวเอง เห็นใจคนอื่นที่อ่านบ้างเดี๋ยวเค้าจะคิดว่าจริง ภาษาอังกฤษภาษาไทยก็มีหมดชื่อบัญชีนี้ ไอ้บัญชีรายได้ค้างรับ ลองไปถามนักบัญชีเหอะว่าเค้าใช้ตรงไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #32 เมื่อ: 24-10-2006, 21:24 » |
|
... แล้วไม่ต้องอนาจหรอก ตอนทักษิณขายหุ้นไม่เสียภาษี ไม่เห็นออกมาอนาจแบบนี้เลย หลบภาษีเหมือนกัน ไม่พอใจก็เอาสรรพากรมาจับสิ
ขี้เกียจเถียงแล้วหว่ะไปหาข้อมูลเองบ้างเหอะ อย่ามัวแต่นั่งเทียนใช้ความคิดตัวเอง เห็นใจคนอื่นที่อ่านบ้างเดี๋ยวเค้าจะคิดว่าจริง ภาษาอังกฤษภาษาไทยก็มีหมดชื่อบัญชีนี้ ไอ้บัญชีรายได้ค้างรับ ลองไปถามนักบัญชีเหอะว่าเค้าใช้ตรงไหน โถ ๆ ชอบแถให้ไปถามนักบัญชี ไปถามสรรพากรดีกว่ามั่ง ผมส่งไปเขาว่าถูก ถ้าผิดจริง ไม่โดนตรวจถึง 6 ครั้ง แล้วตรวจ 6 ครั้งได้อะไรมั้ย ไม่ได้ซักสลึง สต๊อก บัญชี ลงตัวเป๊ะ เอาเถอะ สรรพากรจังหวัดเซ็นให้ถูกแล้ว ไม่พอใจก็ไปตามกรมสรรพากรมาตรวจดิ๊ ขี้เกียวเถียงหรือไม่รู้ โถ พอจี้ถูกจุดหน่อย พิมพ์ไม่เป็นเลยเหรอ รายได้ค้างรับ สินทรัพย์(1) เพิ่มใส่ Dr ลดใส่ Cr สินทรัพย์หมุนเวียน เงินสด เงินฝากธนาคาร เงินสดย่อย ตั๋วเงินรับ รายได้ค้างรับ หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ลูกหนี้ สินค้าคงเหลือ ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ(ตัวปรับลูกหนี้) วัสดุสิ้นเปลือง วัสดุสำนักงาน อยู่ในหลักเบื้องต้นเลย ไปแหกตาอ่านมั่ง copy มาจากหนังสือบัญชีเบื้องต้น ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชื่อผู้แต่ง อ.อรุณี อย่างธารา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สมชายสายชม
|
 |
« ตอบ #33 เมื่อ: 24-10-2006, 21:27 » |
|
หม่อมอุ๋ยหัวโบราณ มัวแต่คิดหาเงินด้วยวิธีการเก็บภาษีอากร .. ช้าตายโหง สมัยนี้ เขาพัฒนาแล้ว แค่เซ็นต์กริ๊กเดียว จะเอากี่แสนล้าน .. เช่น เซ็นต์ให้ขาย ปตท. กฟผ. กปน. TOT ฯลฯ หรือเซ็นต์ให้ออกพันธบัตรรัฐบาลขายให้ประชาชนและต่างประเทศ เห็นมะ .. หม่อมอุ๋ย ไม่หัดดูวิธีที่พวกเค้าเพิ่งจะทำกันเมื่อเร็วๆนี้เอง 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
willing
|
 |
« ตอบ #34 เมื่อ: 24-10-2006, 21:53 » |
|
ปล. ผมไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม
เข้าใจผิดแล้วนะคะ เป็นมนุษย์ก็ควรต้องมีจริยธรรม ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน อย่ามาสร้างค่านิยมผิดๆ ให้สังคม ด้วยการคิดเข้าข้างตัวเองไม่ต้องใช้เครื่องวัดคุณธรรมแล้วเหรอครับ คุณ Snowflake  (ล้อเล่น แต่เอาจริงนะ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even If I am a minority of one, truth is still the truth. - Mohandas Gandhi
|
|
|
snowflake
|
 |
« ตอบ #35 เมื่อ: 24-10-2006, 22:22 » |
|
ปล. ผมไม่ใช่นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม
เข้าใจผิดแล้วนะคะ เป็นมนุษย์ก็ควรต้องมีจริยธรรม ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน อย่ามาสร้างค่านิยมผิดๆ ให้สังคม ด้วยการคิดเข้าข้างตัวเองไม่ต้องใช้เครื่องวัดคุณธรรมแล้วเหรอครับ คุณ Snowflake  (ล้อเล่น แต่เอาจริงนะ) ควรต้องมี กับคุณสามารถบอกได้ว่ามีหรือไม่ มีมากน้อยแค่ไหน มีเครื่องมือวัดออกมาได้ อย่างเป็นรูปธรรม โดยแม่นยำหรือเปล่า มันคนละเรื่องกันนะคะ ดิฉันไม่เคยบอกว่าจริยธรรมไม่สำคัญไม่ต้องมีก็ได้ แต่บอกว่ายังไม่มีเครื่องมือวัดความดีที่ชัดเจน ที่จะบอกได้ว่าใครดีไม่ดีมากน้อยกว่ากันในปริมาณเท่าไหร่ ดังนั้นจึงต้องสร้างระบบที่ตรวจสอบได้มาควบคุมคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even the smallest person can change the course of the future.
|
|
|
willing
|
 |
« ตอบ #36 เมื่อ: 24-10-2006, 23:22 » |
|
ผมเชื่อว่า คุณธรรมมันไม่มีทางวัดออกมาเป็นตัวเลขได้หรอกครับ
ถ้าต้องมีเครื่องวัดคุณธรรม ผมคิดว่ากฏหมาย คือเครื่องวัดคุณธรรมที่ดีที่สุดแล้วมั้ง มันพยายามบังคับให้คนอยู่ในกรอบของความดี
แต่อย่างที่เห็น ก้อยังมีคนเลวลอดช่องว่างอยู่ดี ระบบก็คือระบบ ไม่มีทาง perfect 100% ไม่ว่าจะปรับปรุงขึ้นมาแค่ไหนก็ตาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even If I am a minority of one, truth is still the truth. - Mohandas Gandhi
|
|
|
|