บ้านเมืองของเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครมาดูหมิ่นดูแคลนไม่ได้ เรามีหน้าที่ที่จะต้องรักและหวงแหนชาติบ้านเมืองของเรา เราต้องสำนึกอยู่เสมอว่าเราเป็นทหาร หน้าที่คือการรักษาอธิปไตยของชาติ เพราะฉะนั้น เรารู้ว่าชีวิตของเรามีครอบครัว มีพ่อแม่ มีญาติและชีวิตของเรายังมีชาติที่จะต้องรักษา เมื่อตอนที่ไปพูดที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ก็พยายามพูดให้นักเรียนเข้าใจว่าใครเป็นเจ้าของทหาร และต้องมาพูดที่นี่ชัดเจน ขอย้ำคำว่าชัดเจน และต้องฟังให้ชัดเจนว่าทหารเป็นของชาติ ของพระมหากษัตริย์ ขอเน้นว่า ทหาร เจ้าของคือชาติบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ รัฐบาลมีหน้าที่เข้ามาดูแลพวกเราตามนโยบาย แต่รัฐบาลในที่นี้เป็นสามัญนาม ไม่เจาะจงว่าเป็นรัฐบาลไหน ทุกๆ รัฐบาลที่เข้ามามีหน้าที่ที่จะต้องดูแลกองทัพให้เป็นไปตามนโยบาย แต่ทหารเป็นของพระมหากษัตริย์ ชาติบ้านเมือง
"ตราบใดที่ได้เป็นทหารแล้วจะต้องเป็นไปตลอดชีวิต ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เพราะคนที่เป็นทหารจะต้องมีเลือดเนื้อจิตวิญญาณอยู่ในร่างกายของเรา สำนึกในเครื่องแบบทหาร ทุกคนที่เป็นทหารที่ได้ปลูกฝังเรื่องนี้จะต้องเป็นทหารไปจนตายเมื่อสวมเครื่องแบบแล้ว เป็นทหารแล้วถอดวิญญาณทหารไม่ได้ ถ้าใครถอดได้คนนั้นก็เป็นทหารที่ไม่ดี ทหารที่ดีเมื่อสวมเครื่องแบบแล้วจะต้องไม่ถอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ถ้านักเรียนคนใดคิดว่าจะไม่เป็นทหารไปจนตายขอให้คิดเสียใหม่ว่าจะเป็นทหารต่อไปหรือไม่"
เป็นทหารต้องเป็นด้วยเลือดเนื้อ จิตวิญญาณ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบ ต้องอยู่ในเครื่องแบบ จะขอมาพูดซ้ำอีกทีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะต้องมีความรู้สึกว่าเรานี่เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นทหารของชาติ ด้วยจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของเรา เราต้องทำทุกอย่างเพื่อพิทักษ์ชาติ และพิทักษ์ราชบัลลังก์ไว้ให้ได"***
พล.อ.เปรม กล่าวต่อไปว่า เมื่อท่านรับสั่งใหม่ๆ ท่านทรงแปลว่า sufficiency economy ฝรั่งได้ยินแล้วเหมือนว่าเป็นคำพูดตลกๆ แต่ที่จริงเมื่อได้ศึกษาแล้ว ประเทศอื่นๆ ก็ยอมรับในเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสรับสั่ง พระเจ้าแผ่นดินประเทศต่างๆ ที่ได้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีครองราชย์ครบรอบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราต่างก็ชื่นชมยินดีในปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หรือเรื่องความพอเพียง ขอให้นักเรียนจำไว้ 3 อย่าง ซึ่งนักเรียนอาจจะรู้แล้วว่าการจะทำอะไรก็ตาม
ที่ท่านรับสั่งว่าให้ทำด้วยความพอเพียงมีหลัก 3 อย่าง คือ 1.มีความสามารถในการจะทำสิ่งเหล่านั้นขนาดไหน ที่เรียกว่า ศักยภาพ หมายความว่า ถ้าเราอยากจะทำอะไรซักอย่าง เราต้องมาดูแลตัวเราเองว่า ตัวเราเองมีความสามารถ สติปัญญา อยู่ในตัวเองมากน้อยแค่ไหน 2. มีเหตุมีผลอย่างไร ที่จะทำต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป 3.ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญ คือ ต้องมีหลักประกันความเสี่ยงในการที่จะทำ อันนี้ชัดเจนว่าถ้าเรารู้ว่าการกระทำสิ่งใดลงไป เราอาจจะไม่ประสบความสำเร็จที่เราต้องการ หรือที่เราวางแผนไว้ ต้องมีหลักประกันความเสี่ยงว่าเราจะสามารถแก้ไขความเสี่ยงเหล่านั้นได้ ประธานองคมนตรี กล่าว
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000096692 เพิ่มเติมครับ