รัฏฐาธิปัตย์นิธิ เอียวศรีวงศ์เนื่องจากผมไม่เคยเรียนทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ผมจึงเขียนเรื่องเกี่ยวกับรัฏฐาธิปัตย์
ได้สบายมาก เพราะไม่มีพันธะของ "ศักดิ์และสิทธิ์" แห่งปริญญาบัตรไว้แบก
เกือบสิบปีมาแล้ว ผมถูกนักกฎหมายมหาชนซึ่งเป็นที่นับถือกันอย่างกว้างขวางรวมทั้ง
ตัวผมเองด้วย ถามว่า กฎหมายหรือคำสั่งของรัฐกับคำสั่งของโจร ต่างกันตรงไหน?
คำอธิบายของท่านคือในทางปรัชญานิติศาสตร์ (บางสำนักกระมัง) แล้ว สองอย่างนี้
ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
ผมก็อึ้งกิมกี่กินมาเกือบสิบปี ตอบไม่ได้ครับ จนกระทั่งรัฐถูกยึดไปทั้งด้วยอาวุธและ
หีบบัตรเลือกตั้งมาหลายครั้งหลายหน ผมก็ตอบไม่ได้สักที เพิ่งมาตอบได้กระจ่างแก่ใจ
ตัวเองเมื่อรัฐเพิ่งถูกยึดไปเมื่อเร็วๆ นี้เอง
คำถามของท่านนักกฎหมายมหาชนที่ว่าข้างต้นนั้น ผมคิดว่ามีสองความหมาย แต่ทั้ง
สองความหมายล้วนทำให้คำสั่งของโจรแตกต่างจากคำสั่งของรัฐทั้งคู่
ผมจะขอเริ่มพูดถึงความหมายที่หนึ่งก่อน
ตอนที่โจรเอามีดหรือปืนจี้เราในที่เปลี่ยว แล้วบอกให้ปลดทรัพย์ทั้งหมดยกให้แก่มันไป
เรา (อย่างน้อยก็ผมล่ะครับ) ควรทำตามมัน รักษาชีวิตไว้ทำอย่างอื่นน่าจะดีกว่า
ดูๆ ไปก็ไม่ต่างจากคำสั่งของรัฐนะครับ
คนเขาอาศัยทำกินอยู่มาบนที่ดินหลายชั่ว อยู่ๆ รัฐก็เอาป่าไม้, ตำรวจ, อัยการ และ
ศาลมาจี้ แล้วบอกว่ามึงขนข้าวของออกไปจากที่กู เพราะกูสั่งแล้วว่าตรงนี้เป็นพื้นที่
ซึ่งกูเท่านั้นจะเป็นผู้ดูแลรักษาตามใจกู จะให้เป็นป่าหรือเป็นไนท์ซาฟารีก็เรื่องของกู
เพื่อรักษาชีวิตหรืออิสรภาพไว้ทำอะไรอื่นที่ดีกว่านั้น เรา (อย่างน้อยก็ผมด้วยคนหนึ่ง
ละครับ) ย่อมเก็บข้าวของแล้วขยับตูดไปอยู่ที่อื่นเหมือนกัน
แต่มันมีความแตกต่างที่สำคัญในคำสั่งสองประเภทนี้ สำคัญเสียจนเราต้องสำเหนียกไว้
ให้ดีด้วย
ประการแรก
รัฐไม่สามารถออกคำสั่งในที่เปลี่ยวได้ ตำรวจที่อุ้ม คุณสมชาย นีละไพจิตร
หายไปนั้นไม่ได้ใช้คำสั่งของรัฐนะครับ แต่เป็นคำสั่งของโจร
คนที่รู้เห็นเป็นใจแก่การกระทำนั้น แม้จะคุมอำนาจรัฐไว้มากน้อยแค่ไหนก็
ไม่กล้าพูดได้ว่าตำรวจเหล่านั้นทำตามคำสั่งของรัฐ
การที่รัฐไม่ออกคำสั่งในที่เปลี่ยวได้ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างคำสั่งของรัฐกับโจร
มากทีเดียว
เช่นเมื่อโจรสั่งให้เราปลดทรัพย์นั้น เราไม่มีเพื่อนนะครับ เพราะโจรสั่งเราคนเดียว คนอื่น
ไม่เกี่ยว ในขณะที่เมื่อรัฐออกคำสั่งให้เราย้ายตูดไปจากที่ดินของบรรพบุรุษนั้น เรามี
เพื่อนแยะ ทั้งคนที่ถูกไล่เหมือนเรา และคนที่กลัวว่ารัฐจะเป็นอันธพาลมากเกินไปจน
เป็นอันตรายต่อเขาไปด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
คำสั่งของรัฐเป็นปฏิบัติการทางสังคม ไม่ใช่ทางบุคคลเหมือน
คำสั่งของโจร
เพียงแค่นี้ก็ทำให้อำนาจของรัฐถูกกำกับไปส่วนหนึ่งแล้ว เพราะ
อำนาจที่แท้จริงของรัฐ
นั้นไม่ยักกะอยู่ที่ปากกระบอกปืน (ซึ่งยังไงๆ ก็ไม่สามารถยิงคนที่ยืนอยู่หน้ากระบอกปืน
ได้หมด)
แต่อยู่ที่การยินยอมพร้อมใจของพลเมืองต่างหาก
ไม่ว่าความยินยอมพร้อมใจ
นั้นจะมาจากการถูกล่อหลอก, ติดสินบน, ครอบงำทางความคิด, หรือวางเหยื่อทาง
โภคทรัพย์และเกียรติยศล่อ, ประเพณี หรือความเชื่อ ฯลฯ ก็ตาม
ฉะนั้น
คำสั่งของรัฐ แม้แต่คำสั่งที่ฉ้อฉล ก็ยังต้องได้รับคำยินยอมพร้อมใจของคนอื่นๆ
ในสังคมประการที่สอง ด้วยเหตุดังที่กล่าวข้างต้น
คำสั่งของรัฐจึงอาจต่อรองได้ ไม่จำเป็นต้อง
ต่อรองในสภาอย่างเดียวนะครับ บนท้องถนนก็ได้, หลบให้พ้นหน้ารัฐเสียก็ได้ (เช่นหนี
เข้าป่าต้นไม้เมืองไทยหรือป่าคอนกรีตแคลิฟอร์เนีย) หรือติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐเสีย
ก็ยังได้ (อยู่บ่อยๆ เสียด้วย)
กฎหมายจึงเป็นคำสั่งที่รัฐ (แม้แต่รัฐรัฐประหาร) ต้องแสวงหาความเห็นชอบจากสังคม
ในขณะที่คำสั่งของโจรไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น
ฉะนั้นใครที่คิดว่า เมื่อรัฐถูกใครยึดไปได้คนนั้นก็คือรัฏฐาธิปัตย์ จะออกคำสั่งอะไรก็ล้วน
เท่ากับคำสั่งของรัฐหมด ผมจึงออกสงสัยว่า จริงเร้อ ไม่ง่ายและตื้นไปหน่อยหรือ
คำกล่าวของนักกฎหมายมหาชนท่านนั้นยังน่าจะมีความหมายที่สองอยู่ด้วย คือคำสั่ง
ของนายโจรในซ่องโจรกับคำสั่งของรัฐก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน
นายโจรสั่งให้เตรียมตัวไปปล้นบ้านเศรษฐี กับรัฐสั่งให้คนปลูกกระเทียมไปหาพืชอื่น
มาปลูก เพราะเขาได้ทำเอฟทีเอกับจีนไปแล้ว ปลูกกระเทียมไปก็ขายใครไม่ได้ ดูจะ
ไม่ต่างอะไรกันนัก นายโจรย่อมคิดถึงประโยชน์ของหมู่คณะเป็นที่ตั้ง แม้การปล้นบ้าน
เศรษฐี อาจเสี่ยงอันตรายมากหน่อย อาจมีโจรบางคนต้องตาย แต่ก็ทำให้มีรายได้เข้า
ซ่องมากขึ้น อันเป็นความจำเป็นที่จะทำให้ซ่องดำรงอยู่ต่อไปได้
ไม่ต่างอะไรใช่ไหมครับกับการสังเวยคนปลูกกระเทียมให้แก่ผลประโยชน์ของคนอื่น
ในนามของความมั่งคั่งและวัฒนาถาวรของรัฐ
แต่ผมคิดว่ายังมีความแตกต่างที่สำคัญอย่างมากระหว่างรัฐและซ่องโจร (ซึ่งทำให้คำสั่ง
ของรัฐและนายโจรต่างกัน)
ซ่องโจรดำรงอยู่เพื่ออะไรครับ และดำรงอยู่อย่างไรครับ
ผมเดาว่าซ่องโจรย่อมดำรงอยู่เพื่อการปล้นสะดมเลี้ยงชีพ (อันเป็นอาชีพที่สังคมมนุษย์
ในยุคสมัยหนึ่งก่อนจะมีรัฐเคยใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทำมาหากินทั้งนั้น-จะปล้นสะดม
ฝูงสัตว์, พืชผล, ที่ดิน หรือทรัพย์อื่นก็ตาม)
และด้วยเหตุดังนั้น ซ่องโจรจึงตั้งอยู่ท่ามกลางศัตรู นับตั้งแต่ศัตรูกับรัฐ ซึ่งย่อมมีหน้าที่
และความจำเป็นจะต้องปราบปรามการแข็งข้อทุกประเภท รวมทั้งโจรซึ่งประกอบอาชีพ
ที่รัฐสั่งห้ามด้วย ยิ่งกว่านั้นซ่องโจรยังต้องอยู่ท่ามกลางศัตรูคือคนที่ตัวปล้นสะดมมาแล้ว
และคนที่กลัวว่าจะถูกปล้นสะดมอีกมากมาย
ด้วยเหตุนั้น วิถีชีวิตของคนในซ่องโจรคือการป้องกันตนเองในท่ามกลางโลกที่ไม่เป็น
มิตร จะว่าต้องเตรียมพร้อมในการต่อสู้ป้องกันตนเองอยู่ตลอดเวลาก็ได้
และด้วยเหตุดังนั้น ศรีปราชญ์กับสุนทรภู่จึงไม่ได้เกิดและโตในซ่องโจร ไม่มีการ
สร้างสรรค์อะไรเกิดขึ้นได้ในซ่องโจร ไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือวิทยาการ ไม่ใช่เพราะ
โจรไม่ฉลาดนะครับ แต่เงื่อนไขในชีวิตของโจรไม่อำนวยให้เกิดการสร้างสรรค์ได้
ระบอบปกครองของซ่องโจรจึงไม่มีโอกาสพัฒนามากไปกว่ากำปั้นที่โตที่สุด หรือพูด
อีกอย่างหนึ่งคืออำนาจดิบ อธิปัตย์ในซ่องโจรตั้งอยู่บนกำปั้น นายโจรย่อมหวาดระแวง
ต่อกำปั้นอื่นๆ ทั้งหมด ต้องหาทางทำให้กำปั้นของคนอื่นโตไม่ได้ตลอดเวลา
หากเห็นกำปั้นของใครทำท่าจะโตเกินไปก็ต้องฆ่าเสีย อย่างที่ขุนแผนโดนนางบัวคลี่
วางแผนสังหาร
ตรงกันข้ามนะครับ รัฐนำเราทุกคนออกมาจากสภาวะสงคราม เกิดช่องทางที่จะทำมาหา
เลี้ยงชีพได้อีกหลายอย่าง และทำให้เราสามารถหล่อเลี้ยงศรีปราชญ์, สุนทรภู่ และ
ไอน์สไตน์ได้
แน่นอนว่าเราต้องนำเอาทรัพยากรไปหล่อเลี้ยงทรราชด้วย แม้กระนั้น
ทรราชก็ไม่ได้มี
อำนาจอยู่ได้เพราะกำปั้นเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยกลไกของรัฐอีกหลายอย่างนับ
ตั้งแต่การศึกษา, ทีวี, ไปจนถึงอุดมการณ์นานาชนิดเป็นเครื่องมือ
และด้วยกลไกเหล่านี้เอง
ที่เป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้ล้มอำนาจของทรราชได้ใน
ภายหลัง โดยที่รัฐยังอยู่ และโอกาสที่จะลดความสำคัญของกำปั้นในการเถลิงอำนาจ
ในอนาคตก็ยังอยู่
ผมจึงมองไม่เห็นว่ารัฐกับซ่องโจรนั้นเหมือนกัน และผมเชื่อว่าคนอื่นอีกมากก็คงมอง
ไม่เห็นเหมือนกันกับผม รัฐไม่ใช่ซ่องโจรแน่
และเหตุผลสำคัญที่รัฐไม่ใช่ซ่องโจรก็เพราะรัฐตั้งอยู่บนรากฐานที่ต่างจากซ่องโจร
รากฐานของรัฐนั้นคือ (ขอเรียกสั้นๆ ว่า) ศีลธรรมครับ
กล่าวคือ เรามีรัฐด้วยเหตุผลทางศีลธรรมแม้ว่ารัฐอาจทำอะไรที่ไร้ศีลธรรมก็ตาม แต่รัฐ
ต้องอ้างเหตุผลทางศีลธรรมในการดำรงอยู่ ในขณะที่ซ่องโจรไม่จำเป็นต้องอ้างศีลธรรม
และไม่ต้องใช้ศีลธรรมเป็นรากฐาน
ที่ผมใช้คำว่าศีลธรรมนั้น ไม่ต้องการให้มีความหมายลึกซึ้งอะไรมากไปกว่า การคำนึง
ถึงคนอื่นหรือสิ่งอื่นนอกจากผลประโยชน์ของตัวเอง
รัฐไทยโบราณอ้างความเป็นสะพานเชื่อมต่อไปยังชาติภพที่เข้าใกล้พระนิพพาน รัฐ
โบราณของฝรั่งอ้างทำนองเดียวกันคือชาติภพใน "เทวนคร" แม้รัฐสมัยปัจจุบันอ้าง
ผลประโยชน์ในทางโลกย์ แต่ก็เป็นผลประโยชน์ของ "ชาติ" ซึ่งเป็นนามธรรมอันรวม
พลเมืองทั้งหมด ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง รัฐในอนาคตน่าจะมี "ศีลธรรม" ที่หมายถึง
ระบบนิเวศน์ของโลกซึ่งอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน
ซ่องโจรและมาเฟียอ้างผลประโยชน์ทางวัตถุร่วมกันของบุคคลที่มารวมกลุ่มกันเท่านั้น
อันเราไม่อาจนับว่าเป็น "ศีลธรรม" ได้
ศีลธรรม (อย่างน้อยก็ในความหมายที่ผมนิยามข้างต้น) จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความ
เป็นรัฐ และรัฐทำให้ "ศีลธรรม" มีความสำคัญกว่ากำปั้น ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือ
ไม่ก็ตาม
และศีลธรรมในความหมายนี้แหละครับที่ทำให้คนในรัฐรู้สึกอุ่นใจว่า วิถีชีวิตของตนจะ
ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่
เมื่อใดก็ตามที่รัฐถูกยึดไปด้วยกำปั้น ความอุ่นใจที่ว่านั้น
ย่อมหายไป เพราะไม่แน่เสียแล้วว่าศีลธรรมซึ่งเป็นรากฐานของรัฐยังอยู่หรือไม่
วิถีทางที่คนจะยึดรัฐได้จึงมีความสำคัญกว่ารัฐตกอยู่ในมือใครถ้ารัฏฐาธิปัตย์ย่อมอยู่ในมือของผู้ที่ยึดเอารัฐไปแล้วด้วยวิถีทางใดๆ ก็ได้ จะมีความ
แตกต่างระหว่างรัฐและซ่องโจรตรงไหนล่ะครับ
เพราะในที่สุดกำปั้นต่างหากที่เป็นรากฐานของรัฐไม่ใช่ศีลธรรมอีกต่อไป
ในทัศนะของผม การพิจารณาอย่างง่ายๆ ว่าใครยึดรัฐได้คนนั้นคือรัฏฐาธิปัตย์จึงมี
อันตรายต่อรัฐในระยะยาวเป็นอย่างยิ่ง
ผมเข้าใจนะครับว่า เมื่อโจรเอาปืนจี้เรา โจรอยากได้สมบัตินอกกายอะไรของเราก็ต้อง
มอบให้เป็นธรรมดา แต่จะหากโจรบังคับให้เราประกาศในที่สาธารณะว่า การปล้นสะดม
เป็นความชอบธรรม ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้แล้วล่ะครับ
เพราะอย่างที่พูดในตอนต้น อำนาจของโจรนั้นมีเฉพาะในที่เปลี่ยวครับ ไม่มีในที่
สาธารณะหรอก
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1366 http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=MDQzMzIwMTA0OQ==&srcday=MjAwNi8xMC8yMA==&search=no