ฉบับที่ 2458 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2544
http://72.14.235.104/search?q=cache:6MWbkpleBqkJ:www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp%3Fstcolumnid=th&gl=th&ct=clnk&cd=31บทความ-สารคดี
โดย สุดสงวน
ภาษาในยุคเวิร์กช็อป : มืออาชีพ-จรรยาบรรณ
เมื่อไม่นานมานี้ได้ยินนายกรัฐมนตรีคนที่ชอบพูดภาษาฝรั่งแทรกภาษาไทยบ่อยๆ ท่านอบรมพวกสื่อมวลชนว่าให้งดเว้นข่าวและเรื่อง ไร้สาระ (เช่น วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินคดี ซุกหุ้น ของนายกรัฐมนตรีที่มีความเห็นแย้งกันระหว่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฝ่ายเสียงข้างมาก ๘ เสียง กับตุลาการฝ่ายเสียงข้างน้อย ๗ เสียง รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชนและนักวิชาการกับนักการเมืองฝ่ายค้าน) แล้วกำชับว่าสื่อมวลชนควรจะทำหน้าที่ของตนให้ดีแบบ มืออาชีพ และมี จรรยาบรรณ
คำว่า มืออาชีพ และ จรรยาบรรณ นี้ เวลาที่ใครเป็นนักการเมืองฝ่ายบริหาร (พูดง่ายๆ ก็คือฝ่ายรัฐบาล) มักจะนำมาใช้กับสื่อมวลชนเสมอ และมักจะเห็นว่าสื่อมวลชนที่ไม่ เชียร์ รัฐบาลแต่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล (ตามความเป็นจริงหรือมีอคติแอบแฝงก็แล้วแต่) ว่าเป็นพวกไม่มี จรรยาบรรณ บ้าง พยายามล้มล้างรัฐบาลบ้าง พยายามลดศรัทธา (ที่มักจะใช้ว่า discredit หรือ ดิสเครดิต) รัฐบาลบ้าง
คำว่า มืออาชีพ นี้ คนยุคใหม่มักหมายถึงคนที่ทำอะไรได้ดี มีความชำนิชำนาญในเรื่องนั้นๆ พอเป็นแบบอย่าง พออ้างอิงได้ เป็นที่ยอมรับของคนในวงการหรือนอกวงการว่าเก่งในงานนั้น โดยเอาไปเทียบกับคำภาษาอังกฤษที่ว่า professional
ความจริงนั้นที่มีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นอย่างดีนั้น ภาษาไทยเรามีคำที่ยืมมาจากภาษาบาลีว่า เอตทัคคะ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ
แต่ถ้าไม่ชอบคำบาลีที่ว่านั้นเพราะบรรยากาศเป็น ภาษาวัด มากไปหน่อย ก็จะใช้ภาษาไทยที่ไม่ต้องแปลก็ได้ เพราะเรามีคำใช้อยู่แล้วคือ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ผู้ชำนาญงาน หรือศัพท์เฉพาะใช้ว่า ผู้ชำนัญพิเศษ ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ว่า specialist, expert ก็ได้
ย้อนกลับไปพูดถึงคำว่า มืออาชีพ หรือ professional ความหมายที่ลึกไปจริงๆ นั้น หมายถึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนั้นๆ และยึดเอางานนั้นเป็นงานเลี้ยงชีพ บางทีคำแปลจากคำ professional ของฝรั่งจึงเป็น ผู้มีวิชาชีพ ในศัพท์บัญญัติทางการศึกษาของไทย แต่ถ้าเทียบกับพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถานแล้ว ท่านให้ความหมายว่า วิชาชีพ (ซึ่งเทียบกับภาษาอังกฤษได้ทั้ง ๒ คำ คือ profession หรือ professional)
คราวนี้มาว่าถึง จรรยาบรรณ ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันทั่วๆ ไป โดยไม่ค่อยได้แบ่งแยกถึงความหมายแท้จริง และควรใช้อย่างไร
ที่ผู้เขียนกล่าวดังนี้ เพราะคำว่า จรรยาบรรณ มาจากคำ ๒ คำ คือ จรรยา กับ บรรณ ซึ่งเราควรจะแยกออกมาดูให้ดี
คำว่า จรรยา มาจากภาษาสันสกฤต ถ้าเป็นบาลีก็ใช้ จริยา ซึ่งไทยเรานำมาใช้ทั้ง ๒ คำ ในความหมายที่ใกล้เคียงกันคือหมายถึง ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติ
ที่ว่า ความประพฤติ นั้น ทั้ง จรรยา และ จริยา เราจะใช้ในความหมายในทางที่ดี เช่น
ไม่มีจรรยา ก็หมายถึง ผู้ที่ประพฤติในทางไม่ดี
จริยธรรม - ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ (ซึ่งก็ย่อมเป็นไปในทางที่ดี ศีลธรรม กฎศีลธรรม)
จริยวัตร, จริยาวัตร - ความประพฤติ ท่วงทีวาจาและกิริยามารยาท หรือหน้าที่ที่พึงประพฤติปฏิบัติ
จริยศาสตร์ - ปรัชญาสาขาที่ว่าด้วยความประพฤติและการครองชีวิตว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรไม่ควร ฯลฯ (เทียบภาษาอังกฤษว่า ethics)
จริยศึกษา - การศึกษาเกี่ยวกับความเจริญงอกงามในทางความประพฤติและการปฏิบัติตนให้อยู่ในแนวทางของศีลธรรมและวัฒนธรรม (เทียบภาษาอังกฤษว่า moral education
จริยาปิฎก - คัมภีร์ (= ตำรา) ว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าในชาติที่ล่วงแล้ว
จากตัวอย่างที่ยกมาจากพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถานดังกล่าว จะเห็นว่าคำ จรรยา-จริย-จริยา เพียงคำเดียวก็พอบอกแนวทางความประพฤติว่าเป็น แนวทางประพฤติปฏิบัติในทางดี คือกินความหมายกว้างกว่าความหมายในภาษาเดิมที่ว่า ความประพฤติ การปฏิบัติ เท่านั้น
ดังนั้น เราจึงเห็นว่าเมื่อใช้ จรรยา หรือ จริยา แล้วอาจไม่จำเป็นต้องมี บรรณ ซึ่งมาจากสันสกฤต บาลีใช้ ปัณณ หรือ บัณณ) อันแปลว่า ปีก ใบไม้ หนังสือ)
ในภาษาไทย เราใช้คำ บรรณ ในรูปสันสกฤตอยู่หลายคำ เช่น บรรณกุฎี - กระท่อมที่มุงด้วยใบไม้ บรรณพิภพ หรือ บรรณโลก - วงการหนังสือ บรรณศาลา- สำนักหรือที่พำนักของฤษีหรือผู้บำเพ็ญพรต (ความหมายเดียวกับบรรณกุฎี เพราะถือว่ามุงด้วยใบไม้)
บรรณสาร คำโบราณ หมายถึง หนังสือราชการ
บรรณาการ - สิ่งที่ส่งไปให้ด้วยความเคารพนับถือหรือด้วยไมตรี
บรรณาคม - ห้องหนังสือ
บรรณาธิกร - รวบรวมและจัดเลือกเฟ้นเรื่องลงพิมพ์ (ความจริงคำนี้เป็นคำกริยา แต่ไทยเรานำมาใช้ในลักษณะที่เป็นคำนาม ซึ่งความจริงคือ บรรณาธิการ ซึ่งหมายถึง ผู้จัดเลือกเฟ้น รวบรวม ปรับปรุง และรับผิดชอบในเรื่องการพิมพ์
คำ บรรณาธิการ นี้ ในกฎหมายการพิมพ์จะกำหนดไว้ว่า เป็น บุคคลซึ่งรับผิดชอบในการจัดทำ ตรวจ แก้ คัดเลือก หรือควบคุมบทประพันธ์หรือสิ่งอื่นในหนังสือพิมพ์
ดังนั้น คนที่จะเป็น บรรณาธิการ จึงต้องเป็นคนที่มีภูมิปัญญา มีความรอบรู้ มีประสบการณ์ มีวิจารณญาณ มีสามัญสำนึกและวิสามัญสำนึกอันรอบด้าน และที่สำคัญต้องมี จรรยา (ไม่ต้องมีคำว่า บรรณ ต่อท้ายก็ได้ความ หรือถ้าจะใช้ว่า จรรยาบรรณ ก็ต้องใช้ว่า ต้องยึดจรรยาบรรณ จึงจะถูกต้อง)
บรรณานุกรม - บัญชีรายชื่อหนังสือที่ใช้ประกอบค้นคว้าบัญชีรายชื่อหนังสือในหัวข้อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ยุคใดยุคหนึ่ง หรือของผู้เขียนคนใดคนหนึ่ง มักจะมีรายละเอียดหรือบทวิจารณ์สั้นๆ ประกอบ
บรรณารักษ์ - ผู้พิทักษ์รักษา บริหารและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้หนังสือในห้องสมุด วิชาที่ว่าด้วยเรื่องนี้จึงเรียกว่า บรรณารักษศาสตร์ (อ่านว่า บัน-นา-รัก-สะ-ลาด)
ที่ยกตัวอย่างคำ จรรยา-จริยา และ บรรณ มาให้ดูมากๆ นี้ เพื่อจะเน้นว่า คำ ๒ คำ (จรรยา-บรรณ จริยา-บรรณ) ต่างมีความหมายในตัว ไม่ต้องใช้คำ จรรยาบรรณ ในทุกเรื่อง นอกจากจะหมายถึง จริยา หรือ จรรยาที่บัญญัติลงไว้เป็นข้อประพฤติหรือข้อปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษร (หรือไม่ก็ได้)
ที่หนังสือพิมพ์ใช้ว่า จรรยาบรรณ ของคนในวงการหนังสือนั้น อาจจะใช้ได้ แต่ถ้าจะให้ถูกคงจะต้องใช้ว่า บรรณจริยา หรือบรรณจรรยา หรือใช้ว่า จรรยาของนักหนังสือพิมพ์ จรรยาของนักข่าว จรรยาของนักสื่อสารมวลชน จรรยาของนักธุรกิจ จรรยาของนักกฎหมาย ฯลฯ น่าจะเหมาะกว่า
เทียบกับ จรรยาแพทย์ - ข้อประพฤติปฏิบัติของคนที่มีอาชีพแพทย์ ซึ่งเป็นคำที่คนทั่วไปรู้จักดี (เช่น ไม่นำความลับของคนไข้มาเปิดเผย ฯลฯ)
ผู้เขียนขอสรุปตามที่ พจนานุกรมฯ ได้ให้ความหมายไว้ว่า จรรยาบรรณ-ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียง และฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้
โดยขอเน้นว่า ถ้าจะพูดว่าคนในอาชีพใดควรมีความประพฤติหรือปฏิบัติอย่างไรนั้น ควรใช้ว่า จรรยา นำหน้าอาชีพนั้นๆ ก็พอ
แต่ถ้าเป็นกฎหรือข้อความที่มีการเรียบเรียงเป็นแนวประพฤติปฏิบัติไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย (เช่นที่เรียกว่า จรรยาบรรณนักหนังสือพิมพ์ ที่สมาคมนักหนังสือพิมพ์เคยบัญญัติไว้หลายปีมาแล้ว ไม่รู้ว่าสื่อมวลชนของเราทุกวันนี้ยังนึกถึงอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ นั่นแหละควรเรียกว่า จรรยาบรรณ ถ้าจะเทียบเป็นภาษาอังกฤษ เขาอาจจะใช้คำว่า code of ethical conduct คงจะเข้ากันได้
สิ่งที่ประชาชนอย่างเราๆ อยากเห็นมากที่สุดคือ จริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งเคยได้ข่าวว่ามีการเสนอในรัฐสภาไทย (ดูเหมือนเสนอในสภาผู้แทนราษฎร) แต่ยังไม่ผ่านออกมาได้ เพราะท่าน ส.ส. ผู้ทรงเกียรติไม่กล้าเขียนหรืออายตัวเองที่จะเขียน หรืออายที่เขียนแล้วมีข้อควรคำนึงมากจนอายที่ปฏิบัติไม่ได้!?
หมายเหตุ มองภาษา ในฉบับ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๔ มีคำผิดซึ่งควรแก้คือ คำว่า วรี ในคอลัมน์แรก บรรทัดที่ ๑๓ ที่ถูกคือ รวี และนามสกุลของ ร.อ.สะอาด ในบรรทัดที่ ๒๗ ที่ถูกคือ อินทรสาลี ไม่ใช่ อินทรสวลี