58 อดีตส.ว. ตั้งกลุ่ม ‘ส.ว. นอกสภาเพื่อประชาธิปไตย’ ตรวจสอบรัฐบาล-สภานิติบัญญัติ

คณะ "ส.ว.นอกสภา...เพื่อประชาธิปไตย" กับกฐินการเมืองยุคปฏิวัติ

โดย ขวัญสรวง อติโพธิ

ความท้าทายและภารกิจของทุกฝ่าย

ในที่สุดเกมอำนาจ (POWER PLAY) อันมีทุกข์สุขและความเป็นความตายของ
ประชาชนเป็นเดิมพันในสังคมที่ประชาธิปไตยยังไม่ลงหลักปักฐานตั้งมั่นเช่นสังคมไทย
ของเราก็มีผลเป็นการปฏิวัติรัฐประหารในยามค่ำคืนของวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา

การใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องหาความ
ถูกต้องชอบธรรมไม่ได้ แต่หากมองในแง่ความจำเป็นเฉพาะกิจอันจะส่งผลต่อความ
มั่นคงเป็นตายร้ายดีของประเทศชาติตามข้อเท็จจริงและการตีความของกลุ่มบุคคล
ต่างๆ ก็ทำให้การมองเหตุผลของการปฏิวัติครั้งนี้มีได้ไม่เหมือนกัน

ประเด็นความจำเป็นของการยึดอำนาจคราวนี้เป็นเรื่องอดีตที่พ้นผ่านไปแล้วและเห็น
ต่างกันได้ก็จริง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเวลาในอนาคตอีกร่วมหนึ่งปีที่สังคมต้องใช้ต้อง
อยู่ร่วมกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐบาลชั่วคราวนี้นั้น เราจะร่วมกัน
ใช้ช่วงเวลานี้ให้สร้างสรรค์ที่สุดได้อย่างไร อีกหนึ่งปีเมื่ออำนาจอธิปไตยเดินทางกลับ
มาถึงมือประชาชน วันนั้นจะมีภาวะมีอะไรดีๆ ที่เราช่วยกันทำไว้ให้เกิดห้อมล้อมบ้าน-
เมืองของเรากันก่อนได้บ้าง

นี่คือความท้าทายของสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหน้าที่และความรับผิดชอบอันเลี่ยง
ไม่พ้นของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุข

สถานการณ์บ้านเมืองและพยาธิสภาพของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมามี
ปัญหาอย่างไร มีรากเหง้าอยู่ที่ไหน ถึงทำให้เกิดความจำเป็นของการปฏิวัติยึดอำนาจ

และในเวลาอีกหนึ่งปีนี้คณะผู้ปฏิวัติมีวิสัยทัศน์หรืออุดมการณ์ความมุ่งมั่นอะไรบ้าง จะ
แก้ไขปัญหาได้ยังไง เอามาฉายเป็นความใฝ่ฝันและภารกิจที่ประชาชนคนรักแผ่นดิน
เห็นแล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจเกิดศรัทธาพร้อมที่จะมีส่วนร่วมลงแรงทำให้เป็นจริง
ได้หรือเปล่า

ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น

บรรดาผู้มีรายนามท้ายหนังสือนี้ล้วนเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาผู้ผ่านการ
เลือกตั้งของประชาชน เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา แต่ด้วยเหตุความปรวนแปร
และชะงักงันทางการเมืองบวกกับจำนวนสมาชิกที่ยังไม่ครบ 200 คน จึงทำให้ยัง
ไม่อาจประกอบตัวขึ้นทำงานเป็นองค์กรวุฒิสภาถึงแม้โดยตัวบุคคลจะมีสถานภาพ
เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็ตาม

เพื่อมิให้วันเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ตลอดเวลากว่าสี่เดือนที่ผ่านมา ได้มีการ
ริเริ่มอาสาเอาธุระจัดการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมของหมู่สมาชิกทุกอาทิตย์ รวม
18 ครั้ง เริ่มเครื่องติดฟักตัวเกิดคณะทำงานเฉพาะกิจ 2 คณะ มีจำนวนสมาชิกเข้า
ประชุมและพบปะหมุนเวียนกว่า 140 คน ทุกคนตระหนักดีว่า ภาพลักษณ์ของวุฒิสภา
ที่สมาชิกชุดก่อนทิ้งไว้ให้ถือว่าเป็นต้นทุนที่น้อยมาก ข้อครหาของสังคมก็เข้าห้อมล้อม
ดูหมิ่นดูแคลนการเตรียมตัวเพื่อทำงานพิสูจน์ตนเองถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อการปฏิวัติอุบัติขึ้น คณะปฏิวัติผู้ถือรัฐาธิปัตย์ได้กระทำการกล่าวหา
และยุบคณะรัฐบาลรักษาการ ล้มล้างรัฐธรรมนูญและยังประกาศให้วุฒิสภาสิ้นสุดลง
ตัวแทนโดยสมบูรณ์ของประชาชนชนิดเดียวที่ดำรงอยู่ในเวลานั้นคือสมาชิกวุฒิสภาปี
2549 จึงถูกอำนาจคณะปฏิวัติสั่งให้สลายหายไปทั้งๆ ที่ยังมิได้ทำหน้าที่มีส่วนร่วม
หรือรู้เห็นกระทำความผิดอันได้กล่าวอ้างไว้ในเหตุผลของการปฏิวัติรัฐประหารใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อบวกกับความเสียหายส่วนบุคคลของเหล่าสมาชิกวุฒิสภา บวกกับงบประมาณ
แผ่นดินเป็นพันๆ ล้านที่ต้องเสียไปในการจัดการการเลือกตั้ง บวกกับความสิ้นค่าหมด
ความหมายของเสียงประชาชนสิบกว่าล้านเสียงที่เคยอุ้มชูสนับสนุนให้เป็นผู้แทน

เหตุทั้งหมดนี้ทำให้เห็นเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง ยังผลเป็นความเสียหายอันเกิด
ทั้งกับสังคมโดยรวมและเกิดเป็นส่วนตัวกับชีวิตผู้แทนประชาชนทั้งหมด 180 คน

ด้วยความไม่ชอบธรรมข้างต้น บรรดาสมาชิกวุฒิสภาปี 2549 จำนวนหนึ่งจึงเห็นพ้อง
ร่วมกันว่าสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้มีความชอบธรรมเป็นอย่างมากในการที่จะอาสาทำหน้าที่
เป็น คณะ "สว.นอกสภา...เพื่อประชาธิปไตย" เคลื่อนไหวเป็นกำลังหนึ่งของการเมือง
ภาคพลเมือง เข้าตรวจสอบการทำงานของภาครัฐและร่วมสร้างสรรค์การปฏิรูปการเมือง
ที่กำลังย่างเข้ามาถึงอย่างเต็มสติกำลัง

จุดอ่อนที่สุดและน่ากริ่งเกรงที่สุดของการทำงานของคณะรัฐบาลและสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติที่ตั้งกันขึ้นมาเองครั้งนี้ก็คือการขาดไร้ตัวแทนโดยชอบธรรมของประชาชนที่
ได้เสีย รู้ทุกข์รู้สุขมีความผูกพันรับผิดชอบกับประชาชนในพื้นที่

การเข้ายึดและใช้อำนาจรัฐครั้งนี้จึงต้องการการดูแลและตรวจสอบเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่า
ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะประกอบด้วยคนดีสักกี่คนก็ตามที

คณะ "ส.ว.นอกสภา...เพื่อประชาธิปไตย" ดังมีรายนามท้ายหนังสือนี้ขอเสนอแง่คิด
ความเห็นเพื่อปรึกษาหารือร่วมกับสาธารณชนว่า น่าจะมีภารกิจอะไรบ้างที่ภาคพลเมือง
จะต้องร่วมด้วยช่วยกันผลักดันในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่จะมาถึงนี้

เป็นดัง "กฐินการเมือง" ที่ขอบอกบุญมายังสาธุชนพลเมืองทุกคนที่ยึดถือคติร่วมกันว่า
"บ้านเมือง...เรื่องของเรา"

1. เมื่อไรจะยกเลิกกฎอัยการศึก

สิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตทางการเมืองคือศักดิ์ศรีและลมหายใจของอิสรชน กฎ
อัยการศึกได้เข้าตีเข้ากระทบคุณค่านี้อย่างรุนแรง การต้องระมัดระวังความเคลื่อนไหว
โต้ตอบของฝ่ายตรงข้ามคณะปฏิวัติเป็นเรื่องเข้าใจได้แต่การปฏิบัติอย่างเหวี่ยงแห
ครอบคลุมไปหมด ทั้งๆ ที่มีกฎหมายบ้านเมืองให้ใช้อยู่ในมือไม่น้อยอยู่แล้วก็เป็นข้อที่
ต้องชั่งตรอง ทั้งนี้ ยังไม่ต้องนับถึงผลลบที่มีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอันจะติด
อยู่ในสายตาของชาวโลก พลเมืองไทยต้องร่วมกันเรียกร้องและย้ำเตือนให้มีการยกเลิก
กฎอัยการศึกโดยเร็วที่สุด

2. จะร่วมกันปรับปรุงรัฐธรรมนูญและปฏิรูปการเมืองและสังคมกันอย่างไร

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 นั้นถือได้ว่ามีหลักการและเค้าโครงที่ดีเมื่อบวกกับ
การถือกำเนิดที่สังคมมีส่วนร่วมอุปถัมภ์ค้ำจุนก็ยิ่งทำให้มีความผูกพันกับประชาชนระดับ
หนึ่ง การยกร่างกันใหม่ทั้งหมดจึงไม่ควรกระทำ การร่วมกันใคร่ครวญในภาพรวมและ
ทบทวนข้อบกพร่องต่างๆ ที่สืบค้นได้จากการนำไปปฏิบัติที่ผ่านมาแล้วนำมาพิจารณา
หาแนวทางปรับปรุงแก้ไขเป็นเรื่องๆ ไปน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง

การได้มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญตลอดจนกระบวนการกับเนื้อหาของการยกร่าง
รัฐธรรมนูญจึงเป็นภารกิจที่ภาคพลเมืองนอกสภาจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างสำคัญ
คณะ "ส.ว. นอกสภา...เพื่อประชาธิปไตย" มั่นใจว่าความหลากหลายและความคุ้นเคย
เข้าถึงความจริงและความละเอียดอ่อนของท้องถิ่นไทยทั้งประเทศของสมาชิก จะส
ามารถยังประโยชน์เป็นอย่างดีในการทำงานร่วมกับสมาชิกในภาคพลเมือง

พวกเราทั้งหลายตระหนักดีว่า ปัญหาสำคัญของการปฏิรูปการเมืองมิได้แอบซ่อนอยู่ใน
มาตราและเทือกแถวตัวหนังสือต่างๆ ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น วัฒนธรรมทางการเมืองของ
สังคมไทยเราต่างหากคืออุปสรรคสำคัญ

หนทางการปฏิรูปการเมืองและสังคมที่แท้จริงเป็นอย่างไรคือประเด็นสาธารณะที่จำเป็น
อย่างยิ่ง ที่จะต้องนำมาแลกเปลี่ยนกันให้กระจ่างชัด

3. ร่วมสนับสนุนการดับไฟใต้

เป็นที่หวังได้อย่างยิ่งว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คณะรัฐบาลและสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติจะร่วมกันทุ่มเทแก้ปัญหาความรุนแรงร้าวฉานในสามจังหวัดภาคใต้อย่างเต็ม
สติกำลัง แม้ประเด็นความมั่นคงจะเป็นเรื่องสาธารณะที่ภาคพลเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
ไม่มาก แต่สาธารณชนคนไทยทั้งหมดควรตั้งใจคิดอ่านหาทางสนับสนุนการทำงานเพื่อ
ส่วนรวมครั้งนี้อย่างเต็มที่

4. การล้างบางคอร์รัปชั่นและพัฒนานิติธรรมให้เข้มแข็ง

เหตุผลสำคัญในการปฏิวัติครั้งนี้ก็คือการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารของบุคคลใน
ภาครัฐ การใช้กฎหมายอย่างโปร่งใสเพื่อทำความจริงให้ปรากฏและนำคนผิดมาลง
โทษ จึงเป็นภารกิจภาคบังคับตัวสำคัญ

มองไกลไปกว่านั้นภาคสาธารณะพึงร่วมกันพิจารณาว่าจะสามารถพัฒนานิติธรรมให้
เข้มแข็งขึ้นมาในสังคมของเราได้อย่างไร ในหนึ่งปีนี้จะร่วมกันทำอะไรได้บ้าง นิติธรรมที่ตั้งมั่นในนิติรัฐเท่านั้นที่จะรองรับการพัฒนาความเป็นมนุษย์และพัฒนาวัฒนธรรมการเมืองในระยะยาว

5. กระจายการทำงานของประชาธิปไตยให้ละเอียดและเข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

วัฒนธรรมและระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึกในสังคม ความเคยชินที่จะเป็นผู้บริโภคไม่สามารถ
ที่จะเป็นผู้ผลิตทางการเมืองของประชาชนจำนวนมหาศาล โครงสร้างและระบอบการ
ปกครองที่รวมศูนย์ซ้ำติดอำนาจนิยมทำให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ประชาธิปไตยไม่ถนัด
ทั้งหมดนี้ทำให้ประชาชนคนจำนวนมากห่างไกลจากความเป็นอิสระ และยังเป็นปุ๋ยตัว
สำคัญของประชานิยม แถมยังแอบก่อให้เกิดความแปลกแยกและแตกแยกกันของ
ประชาชนระหว่างท้องถิ่นต่างๆ

ทำอย่างไรจะก่อให้เกิดการร่วมกันคิดอ่านแลกเปลี่ยนกันในสังคมว่า เราจะมีแนวทาง
พัฒนาเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมเช่นไรที่จะเข้าพบและแก้ไขปัญหารากโคนของ
บ้านเมืองเช่นนี้

6. สร้างสรรค์ ขยายโอกาสและเพิ่มกำลังการสื่อสารระหว่างประชาชนและภาคสาธารณะ

โอกาสและความเปิดกว้างเป็นอิสระของการสื่อสารแลกเปลี่ยนในปริมณฑลคนส่วนตัว
กับปริมณฑลสาธารณะคือเรื่องของส่วนรวมนั้น คืออาหารหลักของประชาธิปไตย และ
จะทำนุบำรุงความใจกว้างและยอมรับ ซึ่งกันและกันได้ของประชาชนที่แตกต่างหลาก-
หลายทั้งในแง่ วิถีชีวิต ฐานะผลประโยชน์ และทัศนคติ

ความไม่เท่าเทียมของการรับรู้ข่าวสารข้อมูลในสังคม ตลอดจนการยึดกุมและปิดกั้น
การสื่อสารของภาครัฐ ในที่สุดคือสาเหตุสำคัญของความแตกแยกไม่สมานฉันท์ของ
คนร่วมชาติที่เพิ่งผ่านมา อันถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของการปฏิวัติครั้งนี้

ภาคสาธารณะจะผลักดันหรือร่วมงานกับภาครัฐกันอย่างไรในการพัฒนาคุณภาพของ
การสื่อสารในสังคม เพื่อประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นและความเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งของการ
อยู่ร่วมกันเป็นประเทศชาติและท้องถิ่น

7. ออกกฎหมายตัวสำคัญต่างๆ

หนึ่งปีแม้จะสั้น แต่หากมีความคิดและความมุ่งมั่นร่วมกันที่ดีมีพลัง ทั้งภาคสาธารณะ
และภาครัฐก็อาจร่วมกันเล็งเห็นปัญหารากโคนของบ้านเมืองที่รอการสร้างทรรศนะที่
ถูกต้องเหมาะสม และสร้างกฎหมายตัวสำคัญขึ้นมารองรับไว้ ก่อนที่รัฐบาลในระบอบ
ประชาธิปไตยชุดใหม่จะย่างเข้ามาถึงก็เป็นได้

ประเด็นการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ การกำหนด
และวางตัวอยู่กับโลกทุนนิยมและตลาดเสรี การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการ
ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เรื่องสำคัญเหล่านี้รอพบการตัดสินใจของสังคมอยู่ทั้งนั้น

8. สร้างและจุดกระแสผลักดันการปฏิรูปหลักๆ ของบ้านเมือง

ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนการเมืองตัวแทนในระบอบประชาธิปไตยจะมาถึง ควรหรือไม่ที่
สาธารณชนจะมีโอกาสร่วมกันพัฒนาความรู้ความเข้าใจสภาพปัญหาพื้นฐานสำคัญๆ
ของบ้านเมืองจนเห็นเป็นแนวทางปฏิรูปหรือแนวนโยบายสาธารณะต่างๆ

ทั้งนี้ เพื่อป้อนเป็นโจทย์หรือภารกิจทางการเมืองให้แก่พรรคการเมืองที่จะอาสาเข้ามา
ทำงานในฤดูเลือกตั้ง

ข้อพึงวิตก

เป็นที่น่าเสียดายว่าภารกิจที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระ
มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พึงกระทำให้สำเร็จในช่วงหนึ่งปีนั้นมิได้รับการระบุให้เป็น
ที่ชัดเจนให้สังคมรับรู้และเข้าใจในที่ใดเลย ทั้งๆ ที่ตามประเพณีปฏิบัติควรจะเรียบเรียง
ให้เห็นอย่างถ่องแท้ไว้ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับเฉพาะกิจที่คณะปฏิรูปฯ ร่างขึ้นมา

ช่วงเวลาหนึ่งปีนั้นถือว่าสั้นมาก การมีอำนาจแต่ไม่มีหลักการและความมุ่งหวังที่ชัดเจน
ไม่มีกรอบและข้อผูกมัดตกลงที่เหมาะสมว่าจะพาบ้านเมืองไปไหน จะทำให้การทำงาน
ทั้งงานบริหาร งานนิติบัญญัติ และงานตรวจสอบของหมู่คนที่ล้วนแต่แต่งตั้งกันมานั้น
เกิดความสับสนทั้งห่างไกลการถ่วงดุลและตรวจสอบที่จำเป็น เห็นได้ว่าน่าเป็นห่วงมาก

การทำงานแสดงบทบาทของภาคพลเมืองรวมทั้งคณะ "ส.ว. นอกสภา...เพื่อประชา-
ธิปไตย" ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอย่างนี้จึงต้องดำเนินไปอย่างมีวุฒิ
สภาวะและสร้างสรรค์ ทำเพื่อชาติและประชาธิปไตย ทำเพื่อทำ เป็นงานอาสาไม่มี
ประโยชน์ใดๆ แฝงเร้น

เมื่อใดที่อำนาจอธิปไตยกลับมาถึงมือประชาชนประชาธิปไตยเริ่มมีลมหายใจใหม่
เมื่อนั้น "ส.ว.นอกสภา...เพื่อประชาธิปไตย" ก็จะสลายตัวกลายเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา
2549 ไปตามอนิจจังทางการเมือง

ประวัติศาสตร์ยืนยันว่าการลงจากอำนาจนั้นยากเข็ญกว่าการได้อำนาจยิ่งนัก หวังเป็น
อย่างยิ่งว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คณะรัฐบาล และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
จะรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

จนกว่าจะถึงวันที่อำนาจอธิปไตยกลับมาสู่ประชาชน

รายนามคณะ "ส.ว. นอกสภา...เพื่อประชาธิปไตย" 58 คน, 18 ตุลาคม พ.ศ. 2549

นางกนกกาญจน์ ควรหา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสุรินทร์,
นายไกร ดาบธรรม สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดเชียงใหม่,
นายขวัญสรวง อติโพธิ สมาชิกวุฒิสภา 2549 กรุงเทพมหานคร,
นายจำปี โยธารินทร์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดกาฬสินธุ์,
นางจุรีลักษณ์ รัตนประทีปพร สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดหนองบัวลำภู,
นายจตุรงค์ ธีระกนก สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดร้อยเอ็ด,
นายโชคสมาน สีลาวงษ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดอุดรธานี,
นายชัยวุฒิ คูอาริยะกุล สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดน่าน,
นายดำเกิง วงศ์กาฬสินธุ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสกลนคร,
นายทิวา ศุภจรรยา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
นายธานินทร์ แสงวณิช สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดเพชรบุรี,
นายนริศร ทองธิราช สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสกลนคร,
นายนิมุคตาร์ วาบา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดปัตตานี,
นายนิพนธ์ ศรีธเรศ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดกาฬสินธุ์,
นายนุกูล ธนิกุล สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสมุทรสงคราม,
พล.ต.ต.บุญเลิศ นันทวิสิทธิ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดนนทบุรี
นายประพันธ์ จึงสกุลวัฒนา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดจันทบุรี,
นายปรีชา นิพนธ์พัทยา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดนครปฐม,
นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดเลย,
นายปลื้ม ศุภปัญญา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดเชียงราย,
นางพรรณี จารุสมบัติ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดฉะเชิงเทรา,
นายพูลศักดิ์ อยู่ประเสริฐ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดอุดรธานี,
นายเพทาย ออประเสริฐ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดอ่างทอง,
นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดอุบลราชธานี,
นายไพบูลย์ ขำศิริพงษ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดปทุมธานี
นายไพโรจน์ วงศ์พรหม สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดศรีสะเกษ,
นายพิจิตต รัตตกุล สมาชิกวุฒิสภา 2549 กรุงเทพมหานคร,
นายพิจิตร ศรีแสง สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดอุบลราชธานี,
นายพิทักษ์ ศรีตะบุตร สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดหนองคาย,
นางมานวิภา อินทรทัต สมาชิกวุฒิสภา 2549 กรุงเทพมหานคร,
นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดจันทบุรี,
นายเรืองยศ โภคกุลกานนท์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดอุบลราชธานี,
นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดพิจิตร
นายแวมาฮาดี แวดาโอะ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดนราธิวาส,
พล.ต.ต.วัชร เข็มศักดิ์สิทธิ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดกาญจนบุรี,
นางศิริพร ชาติปฏิมาพงษ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดนครราชสีมา,
นายสดใส โรจนวิชัย สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดปทุมธานี,
นายสานิต ว่องสัธนพงษ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดร้อยเอ็ด,
นายสาย กังกเวคิน สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดระยอง,
นายสิทธิรัตน์ รัตนวิจารณ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสกลนคร,
นายสันต์ศักย์ จรูญงามพิเชษฐ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดชลบุรี
นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดนครศรีธรรมราช,
นายสุชน อินทเสม สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์,
นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดร้อยเอ็ด,
นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดชลบุรี,
นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดกำแพงเพชร,
นายสุรินทร์ ฐิติบุญญา สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดพิษณุโลก,
พ.ต.อ.สุรินทร์ ปาลาเร่ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสงขลา,
นายสุริยา ปันจอร์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสตูล,
นายสุวิคว์ เมฆเสรีกุล สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสมุทรสาคร,
นายอนันท์ ทองแก้ว สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสงขลา
นางอนุสรา ยังตรง สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดสมุทรปราการ,
นางอรุณี ชำนาญศิลป์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดอุดรธานี,
นายอารมณ์ เวียงด้าน สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดนครพนม,
นายอัษฎางค์ แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดขอนแก่น,
นายอุดม สุวิทย์ศักดานนท์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดเชียงใหม่,
นายอำนวย ยศสุข สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดเชียงใหม่,
พ.ต.อ.อุดร ชาญนุวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา 2549 จังหวัดขอนแก่น

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act04261049&day=2006/10/26