นอกจากอาจารย์แก้วสรรอดีต สว. ที่ทำงานในสภาอย่างเข้มแข็งตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันอาจารย์แก้วสรรยังทำงานตรวจสอบ "ในระบบ" อย่างต่อเนื่องในหน้าที่เลขาฯ คตส.
เป็นที่รู้เช่นเดียวกันว่าอาจารย์แก้วสรรมีน้องชายฝาแฝดที่ทำงาน "นอกระบบ" มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำงานเครือข่ายภาคประชาสังคมทั่วประเทศ (ที่หลายคนมองเป็นเครือข่ายหมอประเวศและนักวิชาการรากหญ้าจำนวนหนึ่ง) ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2541 ที่อาจารย์เป็นหัวหน้าคณะทำงานวิจัยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก (ดูรายละเอียดได้จากรายงานฉบับสมบูรณ์ เรื่อง
โครงการ ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงและประชาสังคม http://pattanathai.nesdb.go.th/PTFweb/PTFdata/Econo/Econo3/Idi/data_ldi/Indojeen.doc )
ล่าสุดอดีตว่าที่สว.อาจารย์ขวัญสรวง ได้รวบรวมกันก่อตั้งกลุ่ม "ส.ว.นอกสภาเพื่อประชาธิปไตย" เพื่อเป็นแกนประสานกับภาคประชาชนทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบและระดมความคิดร่างรัฐธรรมนูญภาคประชาชน... เป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างยิ่งท่ามกลางกระแส "ล๊อกเสป๊ค" การร่างรัฐธรรมนูญของร่างทรงทั้งหลาย
ติดตามข่าวจากที่นี่ครับ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000129761“ขวัญสรวง” อดีตสมาชิกวุฒิสภาฯ รวมพล 58 ส.ว.อกหัก จัดตั้งกฐินการเมือง “ส.ว.นอกสภาเพื่อประชาธิปไตย” ตรวจสอบการทำงานรัฐบาล-สภานิติบัญญัติ จี้ “สุรยุทธ์” ยกเลิกกฎอัยการศึก
วันนี้ (18 ต.ค.) นายขวัญสรวง อติโพธิ อดีต ส.ว.กทม. นายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ อดีต ส.ว.ปทุมธานี นายสิริวัฒน์ ไกรสิน อดีต ส.ว.นครศรีธรรมราช นายประมวล เอมเปีย อดีต ส.ว.ชลบุรี และนางมานวิกา อินทรทัต อดีต ส.ว.กทม. ที่ได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 19 เม.ย.49 แต่ถูกยุบเนื่องจากการรัฐประหาร ได้เปิดแถลงข่าวการตั้งกลุ่ม “ส.ว.นอกสภาเพื่อประชาธิปไตย” เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล สภานิติบัญญัติ และนำเสนอความเห็นต่อการปฏิรูปการเมืองสังคม
โดยนายขวัญสรวง กล่าวว่า การทำงานภาคพลเมืองไม่ต้องการผู้วิเศษ หรือเป็นเทวดาที่ไหน แต่พวกเราเป็นพื้นที่สาธารณะให้แก่ประชาชนที่รักบ้านเมือง แม้จะซ้อนทับกันแต่ก็สามารถทำอะไรก็ได้ ครั้งนี้จึงเป็นกฐินการเมืองในยุคปฏิวัติที่ต้องการสาธุชนพลเมืองมาร่วมงาน สำหรับกรอบการทำงานที่ทางกลุ่มต้องการเน้น 1.ขอให้เลิกกฎอัยการศึกโดยเร็วที่สุด เพราะกระทบสิทธิเสรีภาพคุณค่าของมนุษย์ ทราบว่า นายกฯ ได้ผ่อนคลายลงมา เช่น ชุมนุมได้แต่ห้ามในที่สาธารณะ 2.การปฏิรูปการเมืองและสังคม โดยในการร่างรัฐธรรมนูญ พวกเรา ส.ว.นอกสภา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายจะช่วยใคร่ครวญว่าประเทศชาติจะเดินไป อย่างไร อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญอย่างเดียวแก้ไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่สื่อต้องช่วยกันสร้างพื้นที่สื่อให้มากขึ้นในช่วง 1 ปี 3.ความสมานฉันท์ สันติภาพ โดยเฉพาะกรณีความมั่นคงใน 3 จังหวัดภาคใต้ 4.เน้นการแก้ปัญหาสำคัญในช่วงนี้ เช่น ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ปฏิรูปการสร้างคน การศึกษา การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสิ่งที่เป็นวาระของชาติที่หนักๆ
นายขวัญสรวง กล่าวว่า เมื่อเกิดการปฏิวัติแล้ว ภายใน 1 ปีนี้เราต้องช่วยกันทำภาคสาธารณะให้เข้มแข็ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจเจกชน และสื่อมีความสำคัญด้วย ในส่วนของอดีต ส.ว.นอกสภา หรือพูดง่ายๆ เป็นศิษย์เก่าสภานี้ยังเชื่อว่าพวกตนเป็นคนมีกึ๋น เพราะมาจากการประชาชนเป็นผู้เลือกมา อย่างไรก็ตาม ถ้าลมหายใจประชาธิปไตยกลับมา มีการเลือกตั้งใหม่ พวกตนก็จะหายไปตามอนิจจัง
“ความคาดหวังที่มีต่อสภานิติบัญญัติชุดนี้ ผมขอเปรียบเทียบว่าพวกเราที่มาจากการเลือกตั้ง คือดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับแสงจากประชาชนทั่วประเทศมาเกาะรวมกันจนมีแสงสว่าง แต่ถามว่าสภานิติบัญญัติเอาแสงมาจากไหน และจะนำพาประเทศไปได้แค่ไหน เช่น ส.ว.สมัยปี 2543 ที่แตกแยกกันเละเทะ มีการบล็อกโหวต ล็อบบี้ เป็นเพราะจู่ๆ ก็ถูกตั้งขึ้นมากะทันหัน และสั่งให้ทำงานทันที ผลจึงเป็นแบบนั้น ขอให้จับตาดูสภานิติบัญญัติชุดนี้ในจังหวะแรกๆ จะเกิดการตั้งกลุ่ม เกิดพวกพ้องในสภาหรือไม่” นายขวัญสรวง กล่าว
ด้าน นายสิริวัฒน์ กล่าวว่า อดีต ส.ว.ชุดนี้ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งจำนวน 180 คน แต่เนื่องจากยังไม่ได้ปฏิญาณตน จึงยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ อีกทั้งเกิดการรัฐประหาร และประกาศยกเลิกวุฒิสภา ทำให้พวกเราตระหนักห่วงใยต่อปัญหาบ้านเมือง จึงรวมตัวขึ้นเบื้องต้นมีอดีต ส.ว.ในชุดนี้ 58 คนเพื่อขับเคลื่อนติดตามการทำงานของรัฐบาล และ สภานิติบัญญัติที่ตั้งขึ้นมาเอง โดยจะเป็นกลไกหนึ่งของภาคพลเมืองเพื่อสร้างสรรค์การปฏิรูปการเมือง
นายไพบูลย์ กล่าวว่า จุดยืน ส.ว.นอกสภาเพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้ต้องการก่อหวอดเพื่อสร้างความร้าวฉาน แต่เรามายึดหลักสมานฉันท์ สันติวิธี อาสาเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน ไม่มีผลประโยชน์ซ่อนเร้น เราต้องการผลักดันการปฏิรูปการเมือง และจะเรียนรู้กลไกภาคพลเมือง ภาคสังคมเพื่อยกคุณภาพจากปัญหาวิกฤต เราถือว่า ประชาชนมอบความไว้วางใจให้เราแล้ว