ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 21:12
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  3 ราษฎรอาวุโส ผ่าทางตันก่อนประชาธิป "ตาย" 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
3 ราษฎรอาวุโส ผ่าทางตันก่อนประชาธิป "ตาย"  (อ่าน 1726 ครั้ง)
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« เมื่อ: 24-04-2006, 04:40 »

ซื้อมติชนมานอนอ่านเล่นยามว่าง เปิดหน้าสำคัญขึ้นมาเห็นหัวข้อแล้วก็สะท้อนใจ

บ้านเมืองเรามันวิกฤติขนาดหนัก แต่สังคมชาวเน็ตที่เล่นเรื่องการเมืองเมินเฉย

เลยขอถือโอกาสนำมาเผยแพร่ต่อ....ขออภัยและของคุณมติชนสุดสัปดาห์ครับ
..........................................................................................

3 ราษฎรอาวุโส ผ่าทางตันก่อนประชาธิป"ตาย"

ท่ามกลางความสับสนของสถานการณ์บ้านเมืองที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทั้งคน "รักทักษิณ" และคน "ไล่ทักษิณ" ต่างเผชิญหน้ากันอย่างล่อแหลมจนหวั่นใจว่าจะนำไปสู่เหตุรุนแรง แม้มีชนอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดเพียง "อะไรก็ได้" ขอให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปเถอะ แต่ในที่สุด พวกเขาก็หนีไม่พ้นที่จำเป็นต้องเลือกข้าง อย่างน้อยก็ตอนหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง

ดังนั้น ความแตกแยกครั้งใหญ่ที่ลงลึกไปถึงฐานรากของสังคมคือสถาบันครอบครัว หลายคนจึงถามหาเหตุและผลเพื่อตั้งสติ เพราะลำพังข้อมูลข่าวสารที่ไหลทะลักอยู่ทุกวันนี้ คงต้องใช้พลังมหาศาลในการกลั่นและกรองเพื่อให้ได้ความรู้ที่ตกตะกอน

แต่อีกช่องทางหนึ่งในการปักธงในใจตัวเองคือการสดับฟังจากผู้อาวุโสที่มากด้วยประสบการณ์และคุณธรรม

กลุ่มผู้อาวุโสในสังคมไทยที่ออกมาเตือนสติสังคมในเรื่องต่างๆ จริงๆ แล้วมีอยู่หลากหลาย แต่ที่เราคุ้นเคยกันดีและได้รับความเชื่อถือกันกว้างขวางคือกลุ่มราษฎรอาวุโส ซึ่งประกอบด้วย อาจารย์เสน่ห์ จามริก อาจารย์ระพี สาคริก และอาจารย์ประเวศ วะสี ซึ่งแม้วันนี้ทั้ง 3 คนจะสูงวัยเกิน 70 ปีแล้วก็ตาม แต่ทุกคนยังดำเนินบทบาทในสังคมอย่างไมย่อท้อ

โดยอาจารย์เสน่ห์ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ส่วนอาจารย์ระพีนอกจากทำหน้าที่เผยแพร่องค์ความรู้ที่สะสมมายาวนานแล้ว ยังกระฉับกระเฉงเก็บเกี่ยวความงดงามในสังคมชนบทมาถ่ายทอดสู่สังคมผ่านรายการโทรทัศน์ช่อง 11

ขณะที่อาจารย์ประเวศนั้นยังคงทำหน้าที่ "หมอ" เตือนสติสังคมในเวทีสาธารณะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 24-04-2006, 04:41 »

สําหรับปรากฏการณ์ "ระบอบทักษิณ" และความวุ่นวายทางการเมืองในตอนนี้นั้น อาจารย์เสน่ห์ จามริก อธิบายว่าต้องรู้จักวิเคราะห์ให้ถึงสมมุติฐานของโรคก่อน ถึงจะรู้วิธีแก้ไข

"ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นยุคเผด็จการเพียงความสัมพันธ์ระหว่างคนมีอำนาจและประชาชนทั่วไป แต่เริ่มเปิดประตูรับมหาอำนาจให้เข้ามาโดยมุ่งสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมนำเศรษฐกิจไทยเป็นบริวารของมหาอำนาจ ทำให้ชนชั้นนำเริ่มแตกแยกกับประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะรากหญ้า ชนชั้นนำรวมถึงนักวิชาการด้วย ทำให้ตัวเชื้อโรคเริ่มเข้าสู่สังคมไทย แน่นอนคนที่ได้รับผลกระทบที่สุดคือภาคประชาชน"

"ในช่วง14 ตุลาและ 6 ตุลา ก็เป็นเพียงการลุกขึ้นมาของชนชั้นกลาง แต่ไม่ค่อยเกี่ยวกับชาวไร่ชาวนาและคนรากหญ้า เมื่อคนชั้นกลางได้ลิ้มรสรัฐธรรมนูญแล้วก็ไม่ได้นึกถึงเกษตรกรสักเท่าไหร่ ชนบทไม่ใช่ปัญหาของคน 14 ตุลา แต่พอมาถึงยุคประชาธิปไตยครึ่งใบสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ดึงเอาชนชั้นกลางนายทุนเข้ามาร่วมกำหนดนโยบายต่างๆ ในนามคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ."

"พอมาถึงยุคประชาธิปไตยเต็มใบสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จนเกิดการรัฐประหารหลงยุคสมัย พล.อ.สุจินดา คราประยูร จึงเกิดมีการปฏิรูปการเมือง ผมเคยติงไว้เมื่อ 10 ปีก่อนแล้วว่าเราไปมุ่งแต่เรื่องจุ๋มจิ๋ม เช่น บอกว่าเพราะเรามีรัฐบาลไม่เข้มแข็ง มีพรรคการเมืองที่อ่อนแอ จึงได้เขียนรัฐธรรมนูญปิดไว้หมด ขณะที่กลุ่มทุนที่มีความมั่นคงและแข้มแข็งด้านเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารได้เข้ามา

ตรงนี้จึงอธิบายได้ว่าทำไมรัฐบาลของคุณทักษิณถึงเข้ามา"

"คุณทักษิณ ชินวัตร ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ เมื่อเข้าสู่อำนาจจึงเดินนโยบายที่เชื่อมกับทุนภายนอก จะเห็นจากโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามกระแสโลก เพราะตอนนี้ทุกแห่งในโลก กระแสทุนและกระแสโลกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"

"กลุ่มคุณทักษิณเป็นทุนขนาดใหญ่และเห็นช่องว่างระหว่างภาคการเมืองและภาคประชาชน เป็นความชาญฉลาดที่เขาใช้นโยบายประชานิยม แต่ไม่ใช่ประชานิยมอย่างที่นักวิชาการเข้าใจ แต่เป็นประชานิยมแบบธุรกิจเพราะเขารู้ว่าต้องนำเศรษฐกิจไทยไปอิงกับการนำเข้าส่งออก เขาสร้างฐานอำนาจต่อรองไว้ภายใน จึงเอาบริการและทุนเข้าไปในชนบท เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกใจเมื่อมีคาราวนคนจนสนับสนุนเขา"

อาจารย์เสน่ห์ชี้แนะว่าการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้ต้องมองข้ามความแตกแยกที่เป็นผิวเผิน แต่ต้องลงลึกให้ถึงฐานราก เช่น ทำอย่างไรให้กลุ่มคนในชนบทได้เป็นฐานที่ดีและเข้มแข็งโดยการกระจายอำนาจ และการปฏิรูปการเมืองต้องเป็นเรื่องของกระบวนการพัฒนา ซึ่งไม่ใช่สูตรสำเร็จอย่างที่เคยคิดกัน อาจต้องมีการวางบทเฉพาะการไว้อย่างน้อย 20 ปีเพื่อให้ทุกรัฐบาลต้องปฏิบัติ

"ตอนนี้เราใช้รัฐธรรมนูญกันง่ายเกินไป อ้างมาตรานั้นมาตรานี้กันมั่วไปหมด การเลือกตั้งก็ดันทุรังให้ครบ 500 เขตโดยไม่มีพระราชกฤษฎีกาใหม่ ทั้งที่มีมติของมหาชนไปแล้ว แต่แทนที่จะเคารพกลับพยายามทำให้ครบ จะเป็นการจงใจหรือเจตนาไม่ปฏิบัติตามก็เถอะ ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายเพราะเป็นการเหยียบย่ำมติมหาชน เพราะประชาชนอุตส่าห์ไปลงคะแนนไม่เลือก"

บทสรุปของอาจารย์เสน่ห์คือสังคมไทยยังเด็กและเยาว์วัยนัก เพราะคิดถึงระบบไม่ได้ เลยพุ่งไปที่ตัวบุคคลมากกว่า
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 24-04-2006, 04:43 »

ส่วนอาจารย์ระพี สาคริก แนะถึงการก้าวเดินไปข้างหน้า ว่าไม่ใช่คิดแต่จะก้าวไปเท่านั้น แต่ทำอย่างไรถึงจะมั่นคง โดยต้องเริ่มที่ความมั่นคงในใจตัวเองก่อน นั่นคือความสำคัญของสติเพราะการจำด้วยปัญญาทำให้รู้เหตุและผลไปข้างหน้าและข้างหลัง

"ผมเคยพูดไว้เมื่อ 20 ปีก่อนว่าสังคมไทยกำลังทำร้ายตัวเองคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันทำร้ายตัวเองโดยที่เราไม่รู้ตัวเองเป็นใคร เหมือนที่เร็วๆ นี้มีคนบอกว่าทหารจะหมดความอดทน ที่เขาพูดเช่นนี้เพราะขาดสติ เขาไม่รู้ว่าทหารคือทหารของชาติ ของแผ่นดินและของประชาชน ทุกอย่างที่ทหารได้คือมาจากประชาชน"

"การที่สังคมแตกแยก ไม่ใช่เราปล่อยไปตามเรื่อง หน้าที่ของเรามีทุกคน และหน้าที่เกิดจากใจที่ทำให้ดีที่สุด ต้องถามตัวเองก่อน ผมอยากชี้ให้เห็นว่าพื้นดินเป็นฐานของความรักของคนทุกหมู่เหล่า เพราะหวนกลับมาดูตัวเราเองจะเห็นว่าร่างกายมาจากดิน จิตใจก็ด้วย ถ้าปล่อยให้มันหลุดจากดิน เราก็ลืมตัว"

"ประชาธิปไตยคือจิตใจที่อิสระ เมื่ออิสระแล้วรูปที่จะพัฒนาไปอย่างไร อย่าไปถือมัน ไม่มีอะไรที่เหมือนกันหรอก ถ้าเราทำใจให้อิสระก็จะเห็นคำตอบ"

"ผมเคยเขียนเรื่องความรวยความจนไม่มีอยู่ในโลก มันมีแต่ความภูมิใจ ผมได้แค่นี้แต่รักศักดิ์ศรี ใครจะมาดูถูกผมไม่ได้ คุณอยากดูถูก แต่ผมไม่ดูถูกตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้คนมันหยิ่งในตำแหน่งเกียรติยศกันมาก เราหวังได้ผู้นำที่ต้องมีคุณธรรมเป็นอันดับแรก และเมื่อขึ้นสู่อำนาจแต่ไม่ต้องใช้อำนาจ เพราะคนเราจะเปลี่ยนแปลงกันได้ก็ต้องมีศรัทธา ถ้าคนมีอำนาจลงมาดูคนข้างล่างความศรัทธาก็จะเกิดขึ้น"

"สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ถือว่าเป็นบทเรียน ผมคุยกับลูกศิษย์บางคนที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำเครือข่ายภาคประชาชนว่า ครั้งนี้เราจะมีความภูมิใจกับชาวบ้านที่อยู่กับพื้นดินได้มากกว่านี้มั้ย ไม่ใช่ให้ใครเอาไปอ้างได้ว่าคนรากหญ้ายังนิยมเขาน่ะ"

"คนเราต้องเรียนรู้รอบตัว แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี เราต้องรู้ว่าฐานอยู่ที่ไหน ตอนนี้แม้แต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยในโรงเรียนก็พังหมดแล้ว ทำให้คนขาดสติเพราะประวัติศาสตร์ทำให้คนระลึกได้ว่าเรามาจากไหน มีแต่การส่งเสริมให้เรียนประวัติศาสตร์สากล ผมว่าคำว่าสากลไม่ใช่ภาษาฝรั่ง ถ้าเราทำใจให้มันกว้างมันก็เป็นสากล เรามั่นคงอยู่กับวัฒนธรรมของตัวเองให้คนอื่นเคารพ"

อาจารย์ระพีฝากข้อคิดให้คนในสังคมยุคนี้ว่า ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือความยิ่งใหญ่ที่ไม่ต้องการความยิ่งใหญ่

บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 24-04-2006, 04:46 »

สําหรับอาจารย์ประเวศ วะสี นั้น ได้ฝากแง่คิดต่างๆ ในยามสถานการณ์ขัดแย้งครั้งนี้ไว้หลายครั้ง ล่าสุดยังได้เสนอภารกิจที่ท้าทายต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชน 8 ประกอบ คือ

1.ขจัดคอรัปชั่น 2.ปฏิรูปการเมืองเพื่อขจัดธนกิจการเมืองและสร้างสรรค์ประชาธิปไตย 3.พัฒนาระบบการสื่อสารที่ทำให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง

4.ปักธงแห่งอหิงสธรรมบนผืนแผ่นดินไทยให้จงได้ 5.สร้างสัมมาอาชีวะและเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นพื้นฐานของประเทศ 6.ปฏิรูปการศึกษาให้เป็นการปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริง 7.การรักษาดุลยภาพกับต่างประเทศ

8.แก้วสารพัดนึกคือร่วมส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ในทุกองค์กร

อาจารย์ประเวศมองถึงผลด้านบวกของสถานการณ์การเมืองในครั้งนี้ว่ามีความตื่นตัวด้านศีลธรรมจริยธรรมทางการเมืองมาก แต่ค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องของใครบางคนในสถานการณ์ปัจจุบันที่ให้หันหน้าเข้าหากันหรือสามัคคีกัน

"มันเป็นคนละเรื่องกันในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะประเด็นหลักคือคุณทักษิณถูกกล่าวหามากว่าคอร์รัปชั่น และมีผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงการทำผิดกฎหมายเรื่องร่างๆ รวมถึงการขายหุ้น วิธีการแก้ไขปัญหาคือต้องพิสูจน์ ดังนั้น คุณทักษิณจึงไม่ต้องกลัวเพราะจะเป็นประโยชน์กับเขา แต่ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น เช่น เลือกตั้ง

หากกลไกลที่ใช้พิสูจน์ยังทำงานอย่างอิสระอยู่คนเขาก็คงใช้กัน แต่ตอนนี้แทบไม่เหลือแล้ว ที่เหลือคนเขาก็ไม่ค่อยให้ความเชื่อถือเพราะถูกกล่าวหาว่าถูกแทรกแซง"

การเมืองกำลังก้าวสู่ยุคปฏิรูปใหม่อีกครั้ง บทสรุปข้อหนึ่งที่ราษฎรอาวุโสทั้ง 3 คนเห็นตรงกันคือการส่งเสริมความเข้มแข็งให้ชุมชนโดยเฉพาะชนบท

เพราะในที่สุดแล้วภาคประชาชนจะเป็นฝ่ายตรวจสอบและถ่วงดุลขั้วอำนาจต่างๆ ได้ดีที่สุด


http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0403210449&srcday=2006/04/21&search=no

ตอนนี้มติชนสุดสัปดาห์ขึ้นราคาเป็น 40 บาทแล้ว...แต่เนื้อหายังคงเข้มข้นเช่นเดิม
บันทึกการเข้า

(-O-)Koka
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 562



« ตอบ #4 เมื่อ: 24-04-2006, 09:54 »

อิอิ..ขึ้นมานานแล้วครับ แต่ก็ยังคุ้มอยู่ดี
ที่ถูกต้องเป็น

ตอนนี้มติชนสุดสัปดาห์ขึ้นราคาเป็น 40 บาทแล้ว...แต่เนื้อหายังคงเข้มข้นเหมียนเดิม

บันทึกการเข้า


อหิงสาคือความเข้มแข็ง ไม่ใช่ความขี้ขลาด
Killer
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,576


ช๊อบบ ชอบบ...ปฏิวัติ ปลื้ม ค่ะ


« ตอบ #5 เมื่อ: 24-04-2006, 10:31 »

ถ้าตัดอคติ ที่มีต่อ 2 ใน 3 ท่าน นี่ออกไปเสียละก็ งั้นๆ
พูดออกมาให้ดูเท่ ดูเก๋ไก๋ ไปอย่างนั้นเอง พูดล้านครั้ง ก็ถูกทั้งล้านครั้ง
พูดเมื่อไหร่ เท่เมื่อนั้น ...


ก่อนที่จะไปมองรากเหง้า ต้องมองใน สภาวะความเป็นจริงเสียก่อน
ไม่ใช่นั่งจินตนาการเอา... โลกอุตสาหกรรม ช่วยสร้างงาน
ทดแทนส่วนเกิน จากแรงงานในชนทบท เพราะที่ดินทำกินมันน้อยเสียเหลือเกิน
ถ้าจะดัดจริต พูดถึงว่า ใครครอบครองที่ดินมากมายกันเสียจน
ชาวบ้านไม่มีที่ดินทำกินที่เพียงพอ ก็ต้องย้อนไปดูว่า ใครคือ Land Lord ตัวจริง !!
แค่แก้ไข แนวคิดเรื่องการผลิตเชิงเดี่ยว นี่ทำกันได้หรือยัง ??


ในมุมมองคนพวกนี้ โลกได้หยุดนิ่งไปเสียแล้ว เพราะถ้าคิดว่าโลกหยุดนิ่ง มันคิดง่าย
เอาทฤษฎีไหนไปจับ ก็ง่ายดายไปเสียหมด
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ มีเกิดแก่เจ็บตาย อยู่เสมอ
หยุด วัฏจักร นี้ได้หรือเปล่าล่ะ
  Laughing Laughing Laughing Laughing Laughing
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 25-04-2006, 02:03 »

ปู่เดช พุ่มคชา สรุปไว้นานแล้ว "คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน"

ผู้เฒ่าผู้แก่ก็บอก ทำฐานรากให้เข้มแข็ง

หมอประเวศ วสี ก็พูดมานานปี ก่อนมีพรรคไทยรักไทย

"หากทำให้ 7,000 ตำบลเข้มแข็ง เราอยู่ได้สบายบรื๊อ"

ที่เห็นและเป็นอยู่ทุกวันนี้ 7,000 ตำบลเข้มแข็งหรือยังล่ะ

หรือต้องรอเงินอุดหนุนไม่รู้จบจากโครงการ SML ขุดบ่อล่อปลาไว้

หมู่บ้านละ 1,200,000 บาท ต่อ 4 ปี....นี่ซื้อเสียงโดยงบประมาณแท้ ๆ เชียว

ที่เหลือคือ "ปัญญา" ให้ชาวบ้านไปหากันเอง....โธ่ งบ SML ปีละ 2-300,000 บาทน่ะ

ผู้ใหญ่บ้านเอามาทำถนนกินเปอร์เซ็นต์กันสบึมไปแล้ว....บางทีก็ซื้อโต๊ะ เก้าอี้ ไว้รองรับเจ้านายมาเยี่ยม

แล้วมันจะพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้นได้ยังไง...ก็บื้อ ๆ กันต่อไปสิรอนายทุนมากว๊านซื้อที่ดิน

หยิบเงินล้านมาผลาญเล่นสบายใจกว่า

นี่ก็กำลังจะขายนาไปซื้อรถแล้วล่ะ เบื่อขาดทุน อิ อิ


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: