ศึกษาจากบังกลาเทศ [17 ต.ค. 49 - 15:17]
ในการเดินทางไปพบกับบรรดาผู้นำชุมชนจากหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ให้สัญญาว่ารัฐบาลจะไม่ล้มเลิกนโยบายประชานิยม ของรัฐบาลชุดก่อนที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ตรง กันข้าม รัฐบาลจะให้รักษาฟรีโดยไม่เก็บเงิน 30 บาท แต่จะตั้งตู้รับบริจาคแทน
รายงานข่าวไม่ได้บอกว่านายกรัฐมนตรีพูดถึงนโยบายประชานิยมอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ตัวอย่างเช่นกองทุนหมู่บ้านและธนาคารประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากประชาชน และในเวลาห้าปีที่ผ่านมา เชื่อว่ารัฐบาลได้ทุ่มเงินลงไปในโครงการดังกล่าวเกือบแสนล้านบาท เพราะต้องให้หมู่บ้านละ 2 ล้านบาท ทุกหมู่บ้านกว่า 7 หมื่นแห่ง และชุมชนในเมืองใหญ่ๆอีกต่างหาก
ในระยะแรกๆ ที่เริ่มดำเนินโครงการกองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชน หรือธนาคารคนจนในเมือง รัฐบาลชุดก่อนได้ทำการโฆษณาอย่างครึกโครม อ้างว่าประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการทำให้คนจนเข้าถึงทุน แต่ในระยะหลังๆไม่ค่อยจะมีการโฆษณา แต่มีเสียงวิจารณ์จากบางฝ่ายว่าล้มเหลว ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ เพราะนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
มีรายงานข่าวว่า เฉพาะธนาคารคนจน รัฐบาลได้ทุ่มเงินไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้กว่า 6 พันล้านบาท บางส่วนจะต้องตัดเป็นหนี้สูญ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ ส่วนกองทุนหมู่บ้านก็อาจจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เนื่องจากมีรายงานว่าในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกองทุนหมู่บ้าน
หากรัฐบาลใหม่ต้องการที่จะดำเนินโครงการกองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชนต่อไป น่าจะได้ศึกษาบทเรียนความสำเร็จของบังกลาเทศ อันเป็นเหตุให้ศาสตราจารย์ มูอัมหมัด ยูนุส และธนาคารกรามี หรือธนาคารชนบท ถูกประกาศชื่อเป็นผู้พิชิตรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2549 เพราะเป็นธนาคารที่ตั้งขึ้นมา เพื่อให้คนจนเข้าถึงทุน เช่นเดียวกับกองทุนหมู่บ้านของไทย
วัตถุประสงค์อาจจะเหมือนกัน แต่วิธีการบริหารจัดการอาจจะต่างกัน ใน 30 ปีที่ผ่านมา ธนาคารชนบทของบังกลาเทศปล่อยกู้รายย่อยให้ชาวชนบทผู้ยากจน 6 ล้านคน เป็นเงินประมาณ 164,000 ล้านบาท โดยยึด ระบบเกียรติยศ ผู้กู้รวมกลุ่มกันกลุ่มละ 5 คน ปล่อยกู้ให้ 2 คนก่อน ส่วนอีก 3 คน ให้รอจนกว่า 2 คนแรกจะชำระหนี้หมด ปรากฏว่าได้ผลดี มีการจ่ายเงินคืนถึงร้อยละ 99
ไม่ทราบว่าของไทยได้แนวความ คิดมาจากบังกลาเทศหรือไม่ เพราะมีรายงานข่าวว่าการปล่อยกู้รายย่อยนี้ เป็นประโยชน์ แก่ประชาชนทั่วโลกราว 17 ล้านคน แต่ธนาคารชนบทกับกองทุนหมู่บ้านของไทย อาจจะต่างกันในสาระสำคัญอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ของ บังกลาเทศเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาความยากจนโดยแท้ แต่ของประเทศไทย มีเรื่องของการหาเสียงในทางการเมืองอยู่ด้วย.
http://www.thairath.com/news.php?section=politics01&content=23222