หมวดสิทธิต้องถือเป็นหัวใจหลักของรธน.ปี 2550เห็นด้วยครับ และควรจะบรรจุใหตำราเรียนของลูกหลานไทย
แล้วต้องจัดหลักสูตรให้เรียนรู้ง่าย น่าสนใจ ให้เด็กรุ่นใหม่ๆเข้าใจ ผมว่าคนเก่งๆที่จัดหลักสูตรของไทยมีเยอะครับ
กระทรวงศึกษาน่าจะต้องสนใจประเด็นนี้เป็นพิเศษเลยนะครับและรวมถึงกฎหมายพื้นฐานที่ประชาชนควรรู้
เห็นด้วยครับ..
ถ้าประชาชนไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิอะไรบ้าง ควรใช้อย่างไรจึงจะถูกต้อง เหมาะสม ก็ต้องศึกษา
ไม่ใช่เฉพาะในหลักสูตรการเรียน แต่ทุกตำบล อำเภอ ต้องจัดให้มีการอบรมทั่วประเทศ ใครที่ไม่ได้จบการศึกษาในระดับประถมปลาย ( ป.6 ) ต้องได้รับการทดสอบความรู้เบื้องต้นเรื่องสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ถ้าไม่เข้าอบรม ไม่ผ่านการทดสอบ ก็ไม่ควรมีสิทธิ์เลือกตั้งครับ นี่ผมพูดจริงๆ นะ
..................................................
คุณพระพาย..
1../สมาคมวิชาชีพนั้น การเมืองเข้าไม่ถึงจริงหรือ?
เข้าถึงได้ครับ แต่ในทุกสาขาอาชีพจะมีเกราะป้องกันตัวเองตั้งแต่การจัดตั้งขึ้นมาอยู่แล้ว การเข้าเป็นสมาชิกองค์กร การเลือกตั้งประธาน รองประธาน ฯลฯ
การเข้าถึงของนักการเมืองไม่ใช่สิ่งน่าขยะแขยงเสมอไป เพราะนักการเมืองเองก็อาจเคยเป็นสมาชิกในองค์กรที่ตัวเองทำงานมาก่อน เช่น..สภาทนายความ ..ข้าราชการพลเรือน ฯลฯ เป็นต้น
แต่
การครอบงำ ซึ่งน่ากลัวกว่า คงทำไม่ได้ง่ายนัก หากแต่ละสาขาอาชีพมีจำนวนสมาชิกหลักหลายแสนถึงหลายล้านคน
ผมขอยกตัวอย่างกรณี เว็บเสรีไทย
การที่เว็ปถูกก่อตั้งขึ้นโดยคนที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน เราเปิดรับสมาชิกจากบุคคลทั่วไป แรกๆ ก็มีการกลัวกันว่า อาจถูกแทรกแซงจากกองเชลียร์ เหมือนในราชดำเนิน และเกิดการครอบงำด้วยปริมาณที่มากกว่า
แต่..ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ทำไม่ได้ง่ายนัก เพราะมีเกราะที่ผู้ที่ร่วมกันก่อตั้งเว็ปนี้ช่วยกันสร้างขึ้นเพื่อปกป้องคนมีอุดมการณ์ร่วมกันไว้ ในขณะเดียวกัน สมาชิกเสรีไทยพันธุแท้ ก็ออกมาปกป้องบ้านของตัวเองด้วยอีกแรงหนึ่ง
ความจริงแล้ว จำนวน 1700 คนที่สมัครเป็นสมาชิกที่นี่ มีตัวตนจริงแค่ 1000 คน มีเสรีไทยและผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันแค่ 500 คน ในจำนวนนี้ active จริง (เข้าเว็ปบ่อย แสดงความคิดเห็นในบอร์ด) ไม่ถึง 200 คนหรอกครับ
ก็ลองคิดดูเถอะว่า การจะล้มจำนวนสมาชิกที่เป็นพันธุ์แท้เสรีไทยแค่ 200 คนนั้นทำได้ไม่ยาก แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะกฎเหล็กที่นี่บังคับใช้อยู่
ในทุกสังคมสาขาอาชีพก็เช่นกัน กำเนิดขึ้นมาได้ ต้องเป็นสมาชิกที่อยู่ในสาขาอาชีพนั้นๆ เป็นผู้ให้กำเนิด คนที่ได้รับเลือกเป็นประธาน รองประธาน หรือ กก.ที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทาง ต้องอยู่ในสาขาอาชีพนั้นมาก่อน และนานมาก จนได้รับการยอมรับจากสมาชิกจริงๆ
ผมไม่เชื่อว่า..คนในสาขาอาชีพนั้นๆ จะไม่ดูแลและปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเอง ถ้าประธานหรือคณะกก.มีทีท่าว่าถูกอิทธิพลการเมืองครอบงำ ในแต่ละสาขาอาชีพก็มีวิธีการ "ปลดออกจากตำแหน่ง" โดยใช้จำนวนสมาชิกได้เช่นเดียวกับองค์กรทางการเมือง
อย่างไรก็ดี แม้นักการเมืองที่ร่ำรวยมหาศาลจะครอบงำความเป็นอิสระของสาขาอาชีพหนึ่งได้ ก็ยังมีอีกหลายสิบสาขาอาชีพที่ครอบงำไม่ได้แน่นอน เช่น..สายตุลาการ สายนักวิชาการ สายการแพทย์ สายสื่อมวลชน สายเอ็นจีโอ ซึ่งคนทั้ง 5 กลุ่มนี้ก็ได้มีการกำหนดสัดส่วนเอาไว้ค่อนข้างมาก รวมแล้วเกินครึ่งแน่นอน
แรกๆ ในการนำมาใช้ อาจมีความพยายามที่จะครอบงำอยู่บ้าง ซึ่งผมถือว่า ดี นะครับ เป็นบทพิสูจน์ว่า มาตรการนี้ใช้การได้หรือไม่
(บ้านที่ติดกันขโมยเอาไว้ ถ้าจะพิสูจน์ว่า มันใช้งานได้จริงหรือไม่ ต้องให้นักย่องเบาจริงๆ มาพิสูจน์) แต่ถ้ามีแรงต้านมากๆ และเห็นว่า ทำไปก็เสียแรงเปล่า ก็จะล้มเลิกความคิดในที่สุด เราต้องปล่อยให้ระบบมันพัฒนาตัวเอง ปกป้องตัวเอง สร้างความมั่นคงให้ตัวเองขึ้นมา เชื่อว่า จะมีพัฒนาการไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
แนวความคิดนี้ ก็เป็นเพียงการวางรากฐานประชาธิปไตยในทุกองค์กรย่อยของสังคม และให้ทุกองค์กรย่อยเข้ามาทำงานในองค์กรบริหารทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ในรูปแบบขององค์กรรวม นั่นเอง
ที่แน่ๆ ยากกว่าการซื้อ สว.จากต่างจังหวัดแน่นอนครับ
................
2../ พูดถึงเจตนาของระบบปาร์ตี้ลิสต์ของผู้ร่างเดิมนั้นดี แต่เวลานำมาใช้ พรรคการเมืองซีกรัฐบาล นำมาใช้ในทางที่ผิดหมด ตั้งแต่กำหนดรายชื่อแล้ว
พรรคการเมืองนำปาร์ตี้ลิสต์มาเป็นเครื่องต่อรอง สิ่งสมนาคุณ ของผู้มีอุปการะ มิได้คัดคุณสมบัติผู้ที่จะเข้าไปบริหารประเทศ และเวลาใช้งานจริง ก็มิได้นำคนจากปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่เกินกว่า 20 มาใช้สักเท่าไร แต่กำหนดไว้ตั้ง 100 ชื่อ เป็นการพาผู้มีอุปการคุณที่ประชาชนแทบไม่รู้จักเข้าสภาแบบ "เป็นพวง"
ถามดูได้นะครับ พรรคใหญ่ๆ ทั้งหลาย ผู้ที่มีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ เป็นคนดีของสังคม หรือ เป็นคนที่จ่ายแพงกว่าลำดับที่อยู่ข้างหลังกันแน่
ประชาชนเลือกปาร์ตี้ลิสต์ไทยรักไทยเข้ามา 60 รายชื่อ (สมมุติ) ด้วยการกาเบอร์เดียว ถ้าถามชาวบ้านจริงๆ ว่า รู้จักอีก 59 คนที่เหลือที่ตนเองมีส่วนเลือกเข้ามามากน้อยแค่ไหน ผมว่า ไม่น่าจะเกิน 10 คนหรอกครับ
คนดีๆ จริงๆ จะไม่ไปอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ลำดับเกินกว่า 20 หรอกครับ เขานั่งรอเป็นตัวเลือก "บุคคลภายนอก" ของนายกดีกว่า บาทเดียวก็ไม่ต้องจ่าย รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้อยู่แล้ว และนายกคนเก่าก็ทำประจำ เวลาต้องการกู้หน้าพรรค เขากลับไม่ไปมองรายชื่อในปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งได้รับการเลือกตั้งมา มันก็แปลกอยู่
นอกจากนี้ ระบบนี้ ยังเป็นเกจ์วัดความนิยมในตัวพรรค และหัวหน้าพรรค มากกว่าอย่างอื่นๆ โดยเห็นได้ชัดเจนว่า ปิดทางพรรคระดับกลางลงมาแบบปิดตายไปเลย ให้มีได้แค่สมาชิกไม้ประดับจาก สส.เขต ซึ่งทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวหน้าและกก.บริหารพรรคทั้งหมด สอบตกในระบบปาร์ตี้ลิสต์
เมื่อต้องลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางสภา ไม่นานนัก ก็จะตีตนออกห่าง เพราะไม่มีแรงจูงใจในการทำงานการเมือง ส่วนใหญ่ถูกพรรคใหญ่สอยไปหมด
ผมเห็นว่า มันไม่เป็นธรรมจริง และมีข้อบกพร่องมากเหลือเกิน ถ้าใครหามาตรการมาอุดรูรั่วได้ ก็ยินดีรับฟังครับ แต่เท่าที่ดูโครงสร้างของปาร์ตี้ลิสต์แล้ว คงยากจะแก้ไข
ส่วนการแยกส่วนฝ่าย นิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหาร ตามเจตนารมณ์ของผู้ร่างนั้น ก็ปรากฏชัดเจนว่า แยกไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าทำเช่นนั้น คนที่มาจากปาร์ตี้ลิสต์สบายตายเลย ไม่ต้องเข้าร่วมพิจารณาในการออกกฎหมายก็ได้ โดยเฉพาะตัวเองไม่ได้อยู่ในรายชื่อครม. นอนตีพุงรับเงินเดือนๆ ละเหยียบแสน ไม่ต้องเข้าประชุมสภาก็ได้ ไม่ต้องดูแลประชาชนในพื้นที่ก็ได้เพราะไม่ได้มีเขตสังกัด
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ปาร์ตี้ลิสต์ระดับกลางๆ ถึงท้ายๆ ไม่มีบทบาททางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น นอนดูทีวี รับตังค์อย่างเดียว (ถ้าหน้าด้านพอนะครับ)
....................
7../ ยกเลิกรายชื่อ 50000 คน
ที่ผ่านมา มีการนำรายชื่อมาจากทั้งสองฝ่าย ทั้งที่จะตรวจสอบและผู้ที่ถูกตรวจสอบ ผมไม่อยากให้ประชาชนตกเป็นเครื่องมือครับ เพราะในจำนวน 5 หมื่นที่จัดหากันมา ก็สมาชิกพรรคการเมืองเกือบทั้งนั้น ฝ่ายหนึ่งระดมได้ 5 หมื่น อีกฝ่ายบอก มีประชาขนอีก 14 ล้านพร้อมเข้าชื่อคัดค้านทันทีหากนายก หรือ รมต.ท่านนี้ถูกปลด ผมว่า คงไม่มีใครยอมหรอกครับ มันหมายถึง หมดอนาคตไปทั้งชีวิต ถ้าถูกถอดถอนโดยประชาชน
ระบบกลั่นกรองของเรายังไม่ดีพอ ก็ต้องระวังการซื้อหาประชาชนด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยนะครับ
และอีกเหตุผลที่ผมเสนอให้ยกเลิก เพราะประชาชนทุกคนมีองค์กรที่มาจากสาขาอาชีพของตนเองสังกัดอยู่แล้ว มีระบบตรวจสอบที่มาที่ไปของรายชื่อสมาชิกที่ขอยื่นเรื่อง ถ้าผิด ถูก แอบอ้างประการใด สมาชิกคัดค้านได้ทันที ในขณะที่กม.เดิม 5 หมื่นรายชื่อ รัฐโดย กกต. ไม่มีเครื่องมือในการตรวจสอบที่มาที่ไปเลย บอกตามตรง บางคนถูกแอบอ้างชื่อไปโดยที่ไม่รู้เรื่อง หรือ บางทีโดนจ้างจากอีกฝ่ายให้บอกว่า ไม่รู้เรื่องก็มี แต่ระบบที่สมาชิกมาจากองค์กรสาขาอาชีพที่มีการรับรอง ทำได้ยากกว่า
...................
8../ มิได้ตัดตอนประชาชนออกจากกระบวนการเลยนะครับ ผมใช้วิธี Grouping มากกว่า เพราะประชาชนทุกคนมีสาขาอาชีพสังกัดทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ นิสิต นักศึกษา นะครับ คือ แทนที่จะใช้ระบบ ปัจเจกชน เรากรุ๊ปมาเป็นกลุ่มๆ แต่รากฐานก็มาจากประชาชนเหมือนเดิมทุกอย่าง
แต่ละกลุ่มมีการบริหารจัดการสมาชิกในกลุ่มตัวเองได้ดีกว่า การให้ประชาชนโดดๆ ออกมาค้านนะครับ
การที่นศ.ธรรมศาสตร์รวบรวมรายชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา..
ในวิธีการใหม่นี้ ก็ยังทำได้อยู่นะครับ ในส่วนขององค์กรนักศึกษาเอง ส่วนประชาชนสาขาอาชีพอื่นๆ ที่เดิมไปเข้าชื่อกับ อมธ. ก็แค่ไปเข้าชื่อในองค์กรที่ตัวเองสังกัด สุดท้ายก็มารวมกันว่า ทั้งหมด ทุกองค์กรได้รายชื่อมาเท่าไร แล้วไปยื่นต่อประธานวุฒิสภา
ผมเห็นว่า ไม่ปิดกั้นแน่นอน แต่จะทำให้เป็นระเบียบและได้ผลลัพธ์ที่ดีและเร็วขึ้น
.....................
9.3../ กรณีผู้ร่วมชุมนุมถูกซื้อ
ถ้าแกนนำสามารถหาหลักฐานมาได้ว่า มีการซื้อ-ขายกันจริง ก็จะทำให้ ผู้ซื้อ ผู้ขาย ติดคุกนะครับ ตามกฎหมายที่อยากเห็น (ข้อ..9.5 ในกรอบเดียวกัน)
ความเสี่ยงของแกนนำมี ในขณะที่ผู้ที่คิดจะซื้อ จะขายก็มีเช่นกัน เป็นการถ่วงดุลกันครับ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีตรงนี้ บ้านเมืองวุ่นวายก็เพราะม็อบจัดตั้งที่ไม่มีระเบียบนี่แหละครับ
ที่ผมพยายามทำอยู่นี้ ก็คือ..
การนำเอากฎหมายมาคุมกฎหมู่ ที่ผ่านมาเป็นกฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมายเสียนี่ (โดยหัวหน้ากฎหมู่ตัวจริง ก็คือ คนในรัฐบาลนั่นแหละ)