ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
28-03-2024, 21:48
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ขอเสนอให้ช่วยกันนำเสนอและชี้ความผิดทักษิณจากคำพิพากษาคดีกฟผ. 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ขอเสนอให้ช่วยกันนำเสนอและชี้ความผิดทักษิณจากคำพิพากษาคดีกฟผ.  (อ่าน 2003 ครั้ง)
ThePong+
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 198



« เมื่อ: 23-03-2006, 23:39 »

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดชี้ความผิดชัดเจนและแสดงให้เห็นความไม่ชอบมาพากลและผลประโยชน์ทับซ้อนได้ชัดเจนมาก อยากให้ช่วยๆกันกระจายข้อมูลดังกล่าวออกไปให้มากที่สุดครับ

------------

คำพิพากษา: http://www.admincourt.go.th/49/s49-0005-js01.pdf

คำแถลงการณ์: http://www.admincourt.go.th/49/s49-0005-rs01.pdf

ข่าวจากศาลปกครอง: http://www.admincourt.go.th/images/attach/20060323_egat.pdf


ข่าวศาลปกครอง
Administrative Court News

ครั้งที่ ๑๒/๒๕๔๙

ศาลปกครองสูงสุดอ่านคำพิพากษาคดีการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

    วันนี้เวลา ๑๔.๐๐ น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ ๒ นายจรัญ หัตถกรรม ตุลาการหัวหน้าคณะ
ศาลปกครองสูงสุด พร้อมองค์คณะได้นั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ฟ. ๕/๒๕๔๙ ซึ่งเป็นคดี
ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับพวกยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีกับพวกต่อศาลปกครองสูงสุดว่า พระราชกฤษฎีกากำหนด
อำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชกฤษฎีกากำหนด
เงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย


   ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนด
กระบวนการเปลี่ยนสถานะของรัฐวิสาหกิจประเภทองค์การของรัฐตามที่กฎหมายจัดตั้งขึ้น ให้เป็นรูปแบบ
บริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด โดยมีบทบัญญัติที่กำหนดขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญไว้ คือ มาตรา ๔
กำหนดว่า ในกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะนำทุนบางส่วนหรือทั้งหมดของรัฐวิสาหกิจใดมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้น
ในรูปแบบของบริษัท ให้กระทำได้ตามพระราชบัญญัตินี้ โดยมีคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายทุน
รัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท และคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
เป็นคณะบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการตามกระบวนการในแต่ละขั้นตอน ซึ่งเป็นการดำเนินการ
ที่ต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน และเมื่อได้ดำเนินการในแต่ละขั้นตอนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงจะดำเนินการ
ในขั้นตอนสุดท้ายต่อไปได้ คือ การตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ
บริษัทตามมาตรา ๒๖ และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๒๘ และเมื่อดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จึงจะทำให้การเปลี่ยนสถานะของรัฐวิสาหกิจจากองค์การของรัฐมาเป็นรูปแบบบริษัทเสร็จสมบูรณ์ และโดยที่
การดำเนินการเปลี่ยนสถานะของรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็น
กฎหมายพิเศษที่ฝ่ายนิติบัญญัติมอบให้ฝ่ายบริหารดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติอีก
ดังนั้น การดำเนินการในทุกขั้นตอนจึงมีความสำคัญ และต้องเป็นไปเพื่อการปกป้องการดำเนินการที่รัฐธรรมนูญ
ถือว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ให้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติของกฎหมาย
โดยเคร่งครัด

    ปัญหาว่าพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า
มาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท
ประกอบด้วย ผู้ดำรงตำแหน่งในทางราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนพนักงานของรัฐวิสาหกิจ
และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคนซึ่งแต่งตั้งจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ และต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม
ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๗ (๕) ประกอบกับมาตรา ๕ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
และโดยที่
คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ถือเป็นคณะกรรมการที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการดำเนินการเปลี่ยนทุน
ของรัฐวิสาหกิจเป็นหุ้นของบริษัท โดยมีหน้าที่กำหนดกิจการ สิทธิ หนี้ ความรับผิด และสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจ
ส่วนที่จะโอนให้แก่บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นและส่วนที่จะให้ตกเป็นของกระทรวงการคลัง กำหนดพนักงาน
ที่จะให้เป็นลูกจ้างของบริษัท กำหนดทุนเรือนหุ้นหรือทุนจดทะเบียนสำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
จำนวนหุ้น และมูลค่าของหุ้นแต่ละหุ้น ตลอดจนรายการต่าง ๆ ที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้น กำหนดชื่อบริษัท
โครงสร้างการบริหารงานของบริษัท รายชื่อกรรมการบริษัท และผู้สอบบัญชี จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ
และข้อบังคับของบริษัท จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัทที่จัดตั้งใหม่
จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกรัฐวิสาหกิจในกรณีที่มีการโอนกิจการของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด
ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อดำเนินการแล้วต้องเสนอผลการดำเนินการ
ต่อคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจพิจารณาและนำเสนอ
ต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นหุ้นของบริษัท
และการจัดตั้งบริษัท

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่นายโอฬาร ไชยประวัติ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท นั้น นายโอฬารเป็นกรรมการในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) ที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการเกี่ยวกับ
การสื่อสารและโทรคมนาคม จึงเป็นนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ กฟผ. ซึ่งมีระบบ
รับส่งข้อมูลประกอบด้วยเส้นใยแก้วนำแสง และต่อมาบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ได้จัดตั้งบริษัท กฟผ.
โทรคมนาคม จำกัด เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารทุกชนิด บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) จึงมีประโยชน์ได้เสียกับกิจการของ กฟผ. และบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) นอกจากนั้น
นายโอฬารยังเป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ กฟผ. ซื้อก๊าซธรรมชาติจาก
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อีกด้วย นายโอฬารจึงเป็นกรรมการในนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้อง
กับกิจการของ กฟผ. และบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และมีลักษณะต้องห้ามเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท และตามหลักฐานประวัติของนายโอฬารที่ใช้ประกอบการพิจารณา
ออกคำสั่งแต่งตั้งก็ระบุการเป็นกรรมการดังกล่าวไว้ชัดเจน นายโอฬารจึงเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามที่เป็น
ปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท อันเป็นการขัดต่อหลักความเป็นกลาง
ซึ่งผู้มีอำนาจออกคำสั่งแต่งตั้งได้รู้หรือควรรู้ถึงลักษณะต้องห้ามดังกล่าวแล้ว คำสั่งแต่งตั้งนายโอฬาร
เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทจึงขัดต่อกฎหมาย และถือได้ว่าเป็นเหตุ
อันมีสภาพร้ายแรง และไม่อาจนำหลักการพ้นจากตำแหน่งที่ว่า ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติ
ไปตามอำนาจหน้าที่เพราะเหตุการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และตามหลักกฎหมายทั่วไป มาใช้กับกรณีนี้ จึงมีผลทำให้
การกระทำใด ๆ ของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทเสียไปทั้งหมด หรือไม่มีผลทางกฎหมาย


นอกจากนั้นนายปริญญา นุตาลัย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ก็ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในทางกฎหมายถือว่าเป็น
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีลักษณะต้องห้ามเป็นกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ตามข้อ ๕ (๓) ของระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
พ.ศ. ๒๕๔๓ และข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อไปว่า ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามมาตรา ๑๙
วรรคหนึ่ง (๙) ประกอบกับข้อ ๖ และข้อ ๙ ของระเบียบเดียวกัน อันเป็นขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญก่อนการตรา
พระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ คณะกรรมการการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมิได้จัดให้มีการสรุปสาระสำคัญ
ของร่างพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับประกาศในหนังสือพิมพ์ และไม่ได้จัดให้มีการประกาศในหนังสือรายวัน
ฉบับภาษาไทยฉบับเดียวกันติดต่อกันสามวัน แต่กลับประกาศในหนังสือพิมพ์แยกเป็นสามฉบับ โดยประกาศ
๓ ฉบับละหนึ่งวัน ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบดังกล่าว อันเป็นการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในมาตรา ๕๙ ของรัฐธรรมนูญ และมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง (๙)
แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒


ในส่วนของบทบัญญัติในพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท
กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ มิได้มีบทบัญญัติใดที่จำกัดอำนาจการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็น
อำนาจมหาชนและเป็นอำนาจเฉพาะของรัฐ และบทบัญญัติในมาตรา ๘ ที่ให้อำนาจบริษัท กฟผ. จำกัด
(มหาชน) กระทำได้โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกิจการผลิตไฟฟ้า คือ
การประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้า เดินสายส่งไฟฟ้า หรือสายจำหน่ายไฟฟ้าไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดิน
ของบุคคลใด ปักหรือตั้งเสาสถานีไฟฟ้าย่อยหรืออุปกรณ์อื่นลงในหรือบนพื้นดินของบุคคล และอำนาจรื้อถอน
โรงเรือนหรือทำลายสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นหรือทำขึ้น หรือทำลาย หรือตัดฟัน ตัดต้น กิ่ง หรือรากของต้นไม้ หรือพืชผล
ในเขตเดินสายไฟฟ้า อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิในทรัพย์สินของประชาชน ก็ไม่อาจกระทำได้
ตามมาตรา ๔๘ และมาตรา ๔๙ ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา ๒๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของ กฟผ. ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากการเวนคืนเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
ในท้องที่ตำบลบางปะกง เนื้อที่ประมาณ ๑๗๖ ไร่ และสิทธิเหนือพื้นดินเกี่ยวกับระบบส่งไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้าทั้งหมด
ซึ่งเป็นทรัพย์สินอันติดอยู่กับที่ดินและเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๙ ประกอบกับมาตรา ๑๒๙๘
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นสิทธิที่ก่อตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง
แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งไม่อาจโอนไปให้บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ได้เช่นกัน
ด้วยเหตุผลที่วินิจฉัยข้างต้น


 ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่า การดำเนินการในขั้นตอนที่เป็น
สาระสำคัญในการเปลี่ยนทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นหุ้นของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทได้เสียไปทั้งหมด
หรือไม่มีผลตามกฎหมาย ย่อมมีผลทำให้การดำเนินการต่อมา รวมทั้งมติของคณะรัฐมนตรีที่มีมติอนุมัติ
เปลี่ยนทุนของ กฟผ. เป็นหุ้นและจัดตั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) รวมทั้งการออกพระราชกฤษฎีกา
กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ เสียไปด้วยเช่นกัน
พิพากษาเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ.
จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
๒๓ มีนาคม ๒๕๔๙


กลุ่มงานสื่อมวลชนสัมพันธ์ กองการประชาสัมพันธ์
๑๙๕ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้นที่ ๓๑ ถ.สาทรใต้ เขตสาทร กทม. ๑๐๑๒๐ โทร. ๐ ๒๖๗๐ ๑๒๐๐-๖๓ ต่อ ๑๐๐๒, ๑๐๐๔ โทรสาร ๐-๒๒๘๖-๐๒๐๒
๑๙๕ Empire Tower ๓๑rd Floor Sathon Tai, Bangkok ๑๐๑๒๐ Tel. ๐ ๒๖๗๐ ๑๒๐๐-๖๓ Ext. ๑๐๐๒, ๑๐๐๔ Fax ๐-๒๒๘๖-๐๒๐๒
บันทึกการเข้า

ThePong+
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 198



« ตอบ #1 เมื่อ: 23-03-2006, 23:45 »

ผมอยู่ในวงการสื่อสารและได้ยินมานานแล้วว่าทักษิณพยายามที่จะเข้าครอบงำระบบโครงข่ายเคเบิลนำแสงที่มีอยู่ทั่วประเทศของกฟผ. การจัดตั้งบ.ลูกอย่างกฟผ. เทเลคอม จะทำให้สามารถให้บริการทางด้านการสื่อสาร broadband highspeed ได้อย่างครบวงจร เช่น Triple Play (IPTV, Highspeed Internet, Telephony) และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งปกติแล้วการวางโครงข่ายออปติคขนาดนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลและอำนาจรัฐในการวางสายและตั้งเสาในพื้นที่ต่างๆ
บันทึกการเข้า

ThePong+
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 198



« ตอบ #2 เมื่อ: 24-03-2006, 00:20 »

บางส่วนจาก คำบรรยายสาธารณะหัวข้อ “การแปรธาตุรัฐวิสาหกิจ ทุนนิยมหรืออำนาจนิยม”
ส่วนหนึ่งจากบันทึกการประชุมสมัชชาประชาชนต้านคอร์รัปชัน เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ประจำปี 2548
(9 December : International Anti-Corruption Day 2005) วันที่ 9 ธันวาคม 2548 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ  โดย ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ สถาบันสหสวรรษ (ผู้เขียนหนังสือ “ซื้อรัฐวิสาหกิจ แถมประเทศไทย” และ “ขายเอง ซื้อเอง บันทึกลับแปรรูปการไฟฟ้า”) บันทึกและเผยแพร่โดย ศูนย์ข่าวประชาสังคมต้านคอร์รัปชัน (PFEC news center)

http://my.thaimail.com/mywebboard/readmess.php3?user=senatecu&idroom=1&idforum=770&login=&keygen=&nick=

--------------
      ในระบบสายส่งของ กฟผ.ไม่ว่าจะ 230 KV, 500 KV, 115 KV สายไฟฟ้าที่ส่งไปนี้สอดไส้ตรงแกนกลางด้วยใยแก้วนำแสงไฟเบอร์ออฟติค (Fiber Optic) หรือออฟติเคิล-ไฟเบอร์ (Optical Fiber) ซึ่งตัวนี้สามารถส่งสัญญาณได้จำนวนมหาศาล ถามว่ามากเท่าไหร่ เขาบอกว่าประมาณ 155 MBPS มันมากแค่ไหนอาจจะนึกไม่ออก แต่เวลาถ่ายทอดสดบอลโลกเข้ามา ใช้ไม่ถึง 1 MBPS ถ้าเป็นระบบ DVD คุณภาพดีหน่อยก็ประมาณไม่ถึง 2 MBPS เพราะฉะนั้นอันนี้สามารถที่จะใช้ทำช่องทีวีได้เป็นร้อยๆ ช่อง ถ้าเติมเงินอีกนิดหน่อย สามารถเอาช่องสัญญาณอันนี้คูณได้อีก 32 หรือ 64 พูดง่ายๆ สามารถที่จะสร้าง UBC ขึ้นมาอีก 10 บริษัท หรือ 50 บริษัท หรือ 100 บริษัทได้ในชั่วพริบตา แต่นั่นก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์อันเดียว ความจริงใยแก้วนำแสงสามารถใช้เชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์ ใครก็ตามที่มีอุปกรณ์ปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์บ้านหรือโทรศัพท์มือถือ สามารถมาต่อเชื่อมกับอันนี้ เพราะฉะนั้นเวลาจะโทร.จากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ก็แค่โทร.ไปถึงสถานี Substation ในกรุงเทพฯ แล้วสัญญาณก็จะวิ่งไป คนที่มีโทรศัพท์มือถือที่เชียงใหม่ก็สามารถจะรับได้ทันที โครงข่ายอันนี้จะเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่แพ้องค์การโทรศัพท์ หรือ ทศท.คอร์ปอเรชั่น และการสื่อสารฯ
แต่เรื่องก็ยังไม่จบ เพราะว่าสายส่งของ กฟผ.ที่มาเป็นสายหลัก หรือ Trunk Line หรือ Back Bourn ตัวนี้มันก็ยังไม่ถึงบ้านท่าน ถ้าเราผนวกกับสายซึ่งเป็นสายทองแดงของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าไป สายจะถึงทุกบ้านทุกช่อง 15 ล้านครัวเรือนวันนี้ ต่อไปสายทองแดงของท่านไม่ได้เพียงนำกระแสไฟฟ้าเท่านั้น ยังสามารถที่จะนำสัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้ามาด้วย อันนี้เราเรียกว่า BPL Broad Brand over Power Line ตามศัพท์ของยุโรป ถ้าอเมริกาก็เรียกว่า Power Line Communication เพราะฉะนั้นพูดง่ายๆ ปลั๊กไฟที่บ้านอีกหน่อยก็คือแจ๊คโทรศัพท์ อีกหน่อยก็คือแจ๊คสำหรับเสียบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อีกหน่อยก็สามารถที่จะเสียบ UBC ช่องใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของโครงข่าย กฟผ.บวก กฟน.บวก กฟภ.ก็คือ คนที่จะเป็นเจ้าของโครงข่ายโทรคมนาคมที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศ
วันนี้สิ่งที่ไม่ปรากฏเป็นข่าวในการแปรรูป กฟผ.ก็คือ การแยกบริษัท กฟผ.ออกมาอีกหนึ่งบริษัทเป็นบริษัทลูก ชื่อ EGAT Telecom ซึ่งเป็นเจ้าของ Fiber Optic ทั้งหมด แต่ EGAT Telecom มีปัญหา เพราะบริหารไม่เป็น อยากหา Partner ทางธุรกิจ ผมก็นึกไม่ออกว่าใครควรจะเป็น Partner ทางธุรกิจของ EGAT Telecom ใครก็ตามที่เป็น Partner ทางธุรกิจของ EGAT Telecom จะเป็นคนที่มีเครือข่ายโทรคมนาคมที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: