ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-05-2025, 01:09
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ชายคาพักใจ  |  มาช่วยกันตัดสินคดีกันหน่อยครับ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
มาช่วยกันตัดสินคดีกันหน่อยครับ  (อ่าน 5228 ครั้ง)
ooo
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« เมื่อ: 14-10-2006, 19:54 »

   เรื่องมีอยู่ว่ามีสามี ภรรยาคู่หนึ่ง อยากมีบุตร แต่หมอแจ้งว่ามีปัญหาทางร่างกายทำให้

ไม่สามารถมีบุตรได้ หมอแนะนำว่าควรหาหญิงอื่นมาตั้งท้องแทน โดยหมอจะเอาเชื้อของ

สามีมาผสมกับไข่ของภรรยาแล้วไปใส่ในมดลูกของหญิงอื่น จนคลอดแล้วจึงส่งมอบลูกคืน

สามี ภรรยา เจ้าของเชื้อและไข่

    สามี ภรรยาคู่นี้เห็นดีด้วยกับความคิดของหมอ จึงได้ไปว่าจ้างหญิงมาคนหนึ่งให้อุ้มบุญแทน

หญิงคนนั้นตกลงรับจ้าง โดยได้รับความยินยอมจากสามีของตน

   แต่ปัญหาคือ ฝ่ายสามี ภรรยาผู้ว่าจ้างเกิดระแวงว่า หากคลอดบุตรออกมาแล้วแต่ฝ่ายผู้รับจ้าง

เกิดไม่ทำตามสัญญาไม่ยอมส่งมอบบุตรให้จะทำอย่างไร จึงไปปรึกษานักกฎหมายได้ความว่า

ปัญหาเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในศาลไทย จึงยังไม่รู้ว่าศาลจะตัดสินไปในทางใด แต่ก็ได้

ให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อกฏหมายด้วยว่า ตามหลักกฏหมายบุตรเกิดจากครรภ์ของหญิงใด หญิงนั้น

ย่อมเป็นมารดาโดยชอบจึงไม่ต้องส่งมอบบุตรให้กับผู้ใด กับอีกหลักหนึ่งคือเรื่องของสัญญา ที่

คู่สัญญาจะต้องปฎิบัติตาม ซึ่งศาลจะใช้หลักใดมาตัดสินนั้น ศาลย่อมต้องใช้แนวคิดและค่านิยม

ของคนในสังคมมาประกอบเพื่อให้เกิดความผาสุขของคนในสังคม

    แล้วคุณละคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ยอมรับการว่าจ้างอุ้มบุญได้หรือไม่

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะครับเป็นญาติผมเอง ขอให้แสดงความเห็นด้วยครับ

ผมจะได้รวบรวมความเห็นของคนส่วนหนึ่งในสังคมไปบอกกับเค๊าเพื่อประกอบ

การตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการทำสัญญาต่อไป
บันทึกการเข้า
ลับ ลวง พราง
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 945



« ตอบ #1 เมื่อ: 14-10-2006, 20:11 »

ไม่มีความเห็นครับ แต่สงสัยว่าในกรณีนี้ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา จะใช้การตรวจ DNA มาอ้างสิทธิ์การเป็น พ่อ-แม่ของเด็กได้รึเปล่า 

เหมือนกับมีการใช้ DNA เรียกร้องให้รับรองบุตร วานผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วย
บันทึกการเข้า

"คนฟุ่มเฟือย แม้จะรวยก็มักขัดสน คนประหยัด แม้จะจนก็มักมีเหลือเก็บ"
ooo
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« ตอบ #2 เมื่อ: 14-10-2006, 20:39 »

   DNA ไม่มีปัญหาครับ เพราะต้องตรงกับเจ้าของเชื้อและไข่อยู่แล้วครับ

แต่ตามกฏหมายที่ใช้กันมานมนาน สมัยเทคโนโลยี่ทางการแพทย์ยังไม่

เจริญเท่าปัจจุบัน ได้บอกว่าเด็กออกจากท้องใคร ก็ลูกของคนนั้น ซึ่ง

กฏหมายนี้ก็ยังใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน  แต่มันก็มีหลักความศักดิ์สิทธิ์

ของสัญญา ซึ่งคู่สัญญาสามารถตกลงกันได้ทุกเรื่องเท่าที่ไม่ขัดต่อ

กฏหมาย ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และศาล

ย่อมเคารพต่อเจตนาของคู่สัญญาดังกล่าว

    ปัญหามันอยู่ที่ว่าการทำสัญญาจ้างอุ้มบุญนั้นมันขัดต่อศีลธรรมหรือไม่

ขัดต่อความรู้สึกของคนในสังคมหรือไม่  หากคนส่วนใหญ่ในสังคมเห็นว่า

เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ เท่ากับว่ามันขัดต่อศีลธรรมของประชาชน

ศาลย่อมปฏิเสธสัญญาดังกล่าว  นี่แหละครับคือประเด็นที่เรียนถามพวกท่าน
บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 14-10-2006, 20:57 »

ผมว่าควรเดินเรื่องให้หน่วยงานของรัฐ  กรมประชาสงเคราะห์ เป็นหน่วยงานรับเรื่อง การยกเด็กที่จะเกิดในท้องให้เป็นบุตรบุญธรรม กันไว้อีกชั้นหนึ่งครับ

ส่วนกรณีอุ้มบุญ ไม่เห็นว่าผิดหลักธรรมนะครับ ส่วนด้านกฎหมายคงต้องเรียกร้องให้แก้ไขเพิ่มเติมโอกาสถัดไป

กรณีนี้สัญญาปกติ ตามความเห็นผม อาจจะมีน้ำหนักไม่พอ การใช้ผู้เชี่ยวชาญเช่นแพทย์ให้การรับรอง ศาลสามารถรับฟังได้ และน่าจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจครับ

สรุป ควรทำการด้วยรัดกุมสักหน่อยครับ ทำให้ครบถ้วน  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2006, 21:07 โดย Q » บันทึกการเข้า

พระพาย
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679



« ตอบ #4 เมื่อ: 14-10-2006, 23:09 »

ลุงม้วนครับ... ข้อกังวลเรื่องกฎหมายคงไม่ตายตัวขนาดนั้นมั้งครับ คุณอำพรางฯ ตอบชัดเจนอยู่แล้วว่าวิธีพิสูจน์ว่าใครเป็นบุตรใครที่ "กฎหมาย" ยอมรับนั้น สามารถใช้ DNA เป็นข้อพิสูจน์ได้

ส่วนข้อกังวลเรื่องสัญญาจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมนั้น... ปัจจุบันเหตุยังไม่เกิด สังคมไทยยังไม่มีกรณีศึกษาชี้ชัดว่าเป็นอย่างไร ... น้ำหนักการเป็นพ่อแม่เด็กโดยสัญญาจึงสู้การพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ลูกโดยตรงไม่ได้... ถ้าจะอนุมานจากคตินิทานเรื่องแม่กาฟักไข่ลูกกาเหว่าที่คนไทยรู้จักกันดีก็อาจเป็นที่ยอมรับ... แต่ถ้าเป็นเรื่องสั้นกาเหว่าที่บางเพลงของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อันนี้อาจมีปัญหาความชอบธรรมของสัญญาได้... ซึ่งอันนี้เราไม่รู้อนาคตกังวลไปก็หาข้อสรุปไม่ได้... นอกเสียจากว่าจะยอมเสียเงินทำโพลที่ได้รับการยอมรับในทางวิชาการ... ซึ่งอาจจะมีผลอย่างไรก็ได้...

แต่ถ้าหากเราเน้นน้ำหนักไปเรื่องการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ลูกแล้วยังกังวลว่า DNA อาจจะสู้ข้อกำหนดที่ว่าทารกออกจากท้องใครบุคคลนั้นเป็นมารดาแล้วหล่ะก็... ผมว่าหัวหมอไปเลยครับ เอาให้ข้อกฎหมายตรงนี้ถึงทางตันไปเลย เหลือไว้แต่เพียงการพิสูจน์ด้วย DNA... คือเราต้องตีความว่าแนวทางสมัยโบราณนั้นยึดหลัก "ที่เกิดเหตุ" คือในครรภ์... แต่เด็กทารกนั้นเกิดจากไข่ที่ผ่าน "ท้อง" บุคคลอย่างน้อย 2 ท้อง โดยท้องแรกเป็นผู้ผลิตไข่ที่ยังไม่ปฏิสนธิ ส่วนท้องสองเป็นที่ฝากไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว แต่ไม่มีท้องใดที่เป็น "ที่เกิดเหตุ" การปฏิสนธิ หรือกล่าวได้ว่าทารกเป็นตัวอ่อนเอมบริโอนอกครรภ์ทั้งสองครรภ์... (ซึ่งจะว่าไปแล้วในขณะที่ทารกเริ่มเป็นตัวอ่อนเอมบริโอ... ไข่เป็นของท้องแรกด้วยซ้ำ แต่ยังไม่เกิดการมีสถานภาพ "บุคคล" ตามกฎหมาย)...

เมื่อการปฏิสนธิมิได้เกิดในครรภ์... การยึดหลักทารกเกิดจากครรภ์ผู้ใดให้บุคคลนั้นเป็นมารดาจึงใช้ไม่ได้

อุ่นใจขึ้นไม๊ครับ?
บันทึกการเข้า

คลิป นปก บุกทำเนียบชนพันธมิตร
http://pirun.ku.ac.th/~g4685035/01mob.asf
กระทู้ขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ดร่วมคัดคัดกรณีปราสาทพระวิหาร นำโดยคุณ *bonny http://forum.serithai.net/index.php?topic=28065.0
และเอกสารยื่นคัดค้านกระทรวงต่างประเทศไทยและกัมพูชา  http://www.savefile.com/files/1629973
กระทู้สรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://forum.serithai.net/index.php?topic=28392.0
ใบปลิวขนาด 2 หน้าสรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://www.savefile.com/files/1626944

แม่น้ำร้อยสายล้วนต้นกำเนิดเดียวกัน... จากสายฝน จากภูเขา ที่ซึ่งคล้ายเจตนารมณ์แห่งฟ้า
เสรีไทยเวบบอร์ด http://forum.serithai.net/
We Open Mind http://www.weopenmind.com/board/index.php
อรุณสวัสดิ์ http://www.arunsawat.com/board/index.php
ที่ทำการเสี่ยวอีสาน[
ooo
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« ตอบ #5 เมื่อ: 14-10-2006, 23:21 »

  มีเพื่อนคนหนึ่งเห็นว่าสัญญานี้ไม่อาจยอมรับได้เพราะขัดต่อศีลธรรม

ของประชาชน โดยอ้างว่าคนอุ้มท้องมา 9 เดือนย่อมมีความผูกพันธ์

และเกิดความรักเด็กในท้องของตน การที่จะมาพรากเด็กไปให้กับพ่อแม่

ที่แท้จริงดูโหดร้ายเกินไป

  ในทางกลับกันหากหญิงที่รับจ้างไม่สนใจดูแลเด็กในท้องจะทำอย่างไร

พ่อแม่ที่แท้จริงจะทำอย่างไรในเมื่อมันเป็นเสรีภาพของบุคคล จะใช้อะไรไป

บังคับให้เขาทำตัวดีๆอย่างที่ตนต้องการ ทั้งหากพ่อแม่ที่แท้จริงเกิดตายไป

ก่อนคลอดล่ะ ส่วนคนท้องก็เห็นว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตน จะทำอย่างไร

  

บันทึกการเข้า
ลับ ลวง พราง
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 945



« ตอบ #6 เมื่อ: 14-10-2006, 23:52 »

เรื่องนี้คิดว่าศาล คงยึดผลประโยชน์ของเด็กเป็นที่ตั้งนะครับ ศาลคงต้องดูความพร้อมของ 2 ฝ่ายประกอบกันด้วย

แต่ถ้าเป็นผม ผมจะทำความเข้าใจกับคนอุ้มบุญกันก่อน ว่าเด็กคนนี้คือ ลูกของพวกเรา ไม่ใช่ลูกของใครคนใดคนหนึ่ง มีอะไรก็ช่วยๆ กันไป เพื่อลูก  น่าจะตัดปัญหาไปได้ระดับหนึ่ง นะครับ

สำคัญที่สุดคือตอนเลือก คนอุ้มบุญนี่แหละครับ ว่าจะคุยกันรู้เรื่องมั๊ย  ของอย่างนี้ถ้าคุยกันรู้เรื่อง สัญญาก็ไม่สำคัญเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2006, 23:57 โดย อำพรางฯ » บันทึกการเข้า

"คนฟุ่มเฟือย แม้จะรวยก็มักขัดสน คนประหยัด แม้จะจนก็มักมีเหลือเก็บ"
พระพาย
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679



« ตอบ #7 เมื่อ: 15-10-2006, 00:32 »

ลุงม้วนครับ... ประเด็นที่สำคัญที่สุดในกระทู้คือการอ้างสิทธิการเป็นมารดาตาม "กฎหมาย"... ซึ่งถ้าหาก "ต้องสู้" กันในที่สุดจะยันไปถึง DNA.. แต่ถ้าหากไม่สู้กันได้ย่อมดีที่สุด... สัญญาที่สร้างขึ้นนอกจากเรื่องส่งมอบทารกแล้ว อีกส่วนจะต้องมีการระบุผลประโยชน์ที่ผู้ฝากรับท้องได้รับ... ถ้าการจ่ายผลประโยชน์ไม่มีปัญหา ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าใจกันดี ปัญหาย่อมน้อย

แต่ถ้าเน้นประเด็นสัญญาเป็นโมฆะมากเกินไป... มันจะส่อเจตนาเบี้ยวสัญญาว่าจะจ่ายนะครับ (ขออภัยที่กล่าวตรง)

ส่วนประเด็นอื่นที่เป็นเรื่องการดูแลเด็ก ผมมีความเห็นดังนี้

  ในทางกลับกันหากหญิงที่รับจ้างไม่สนใจดูแลเด็กในท้องจะทำอย่างไร

พ่อแม่ที่แท้จริงจะทำอย่างไรในเมื่อมันเป็นเสรีภาพของบุคคล จะใช้อะไรไป

บังคับให้เขาทำตัวดีๆอย่างที่ตนต้องการ ทั้งหากพ่อแม่ที่แท้จริงเกิดตายไป

ก่อนคลอดล่ะ ส่วนคนท้องก็เห็นว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตน จะทำอย่างไร


ถ้าหญิงรับจ้างไม่สนใจดูแลเด็กในท้อง... เป็นปัญหาที่พ่อแม่เด็กเจ้าของ DNA ต้องนำหญิงรับจ้างนั้นมาดูแลอย่างใกล้ชิดและจูงใจด้วยผลประโยชน์.. ไม่ใช่ประเด็นทางกฎหมาย

ถ้าพ่อแม่เด็กตาย น่าจะหมดปัญหาเรื่องการแย่งเป็นแม่เด็ก... แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่คนรับฝากท้องไม่ต้องการดูแลเด็ก... ถ้าญาติเด็กต้องการปัญหาจบ... และถ้าหากไม่มีคนต้องการดูแลเด็กจริง... ปัญหาก็ไม่ต่างจากกรณีพ่อแม่เด็กตายแล้วเด็กเป็นกำพร้าไม่มีใครต้องการ... แต่ถ้าหากความกังวลเรื่องการแย่งเป็นแม่เด็กของลุงม้วนเป็นจริง... ผมว่าสุดท้ายก็ต้องมีคนดูแลเด็กอยู่ดีครับ
บันทึกการเข้า

คลิป นปก บุกทำเนียบชนพันธมิตร
http://pirun.ku.ac.th/~g4685035/01mob.asf
กระทู้ขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ดร่วมคัดคัดกรณีปราสาทพระวิหาร นำโดยคุณ *bonny http://forum.serithai.net/index.php?topic=28065.0
และเอกสารยื่นคัดค้านกระทรวงต่างประเทศไทยและกัมพูชา  http://www.savefile.com/files/1629973
กระทู้สรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://forum.serithai.net/index.php?topic=28392.0
ใบปลิวขนาด 2 หน้าสรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://www.savefile.com/files/1626944

แม่น้ำร้อยสายล้วนต้นกำเนิดเดียวกัน... จากสายฝน จากภูเขา ที่ซึ่งคล้ายเจตนารมณ์แห่งฟ้า
เสรีไทยเวบบอร์ด http://forum.serithai.net/
We Open Mind http://www.weopenmind.com/board/index.php
อรุณสวัสดิ์ http://www.arunsawat.com/board/index.php
ที่ทำการเสี่ยวอีสาน[
hison
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217


« ตอบ #8 เมื่อ: 15-10-2006, 01:14 »

ผมคิดว่า ผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน

การอุ้มท้อง จ้างไม่ได้ครับ ผมรับไม่ได้  หากอุ้มท้องให้ฟรี เพราะความรักที่มีต่อกัน ระหว่างครอบครัว เป็้นพี่น้องกัน  ได้ครับ   คือ กระทำไปโดยไม่หวังผลตอบแทน
กรณีดังกล่าว เท่ากับ ผู้รับจ้าง ให้เช่ามดลูก  ผมสงสารเด็กที่จะเกิดมาครับ  เขาอาภัพ ไม่ได้เกิดในครรภ์มารดาเขา

ซื้อ ไขกระดูกได้ไหม  ซื้อไตได้ไหม แค่ซื้อเลือด สังคมยังไม่ยอมรับเลยครับ  คนไหน เป็้นนายหน้าขายเลือด   หรือ เป็้นนายหน้าหาคนมาอุ้มท้องละก้อ สังคมดูไม่จืดเลยครับ เรื่องแบบนี้ ถ้าถึงขนาดต้องทำสัญญาจ้างละก้อ สัญญานั้นเป็นโมฆะครับในความเห็นผม  ตีราคาค่าอุ้มท้องเป็นเงินตรา รับไม่ได้จริงๆ
หมอที่ทำให้ ถ้าทราบว่า เป็้นการจ้างอุุุ้มท้อง  แล้วยังทำให้นี่ แย่จริงๆ เอาความเป็นแม่ มาเป็นสิ่งที่ซื้อขาย แลกเปลียนได้

หากราคาดี  เกิดมีคนรับจ้างเป็้นอาชีพ  แล้วเกิดคนมีลูกยาก  ฮิตวิธีนี้  ดูไม่จืดเลยครับ
เกิด เด็กคนนี้ เจ้าของยีนส์เป็้นมหาเศรษฐี ตอนแจ้งเกิด จะแจ้งในสูติบัตรว่า ใครเป็้นแม่
คนเขียนสูติบัตร จะเขียนอย่างไร  เจ้าของมดลูกฟ้องขอเป็นแม่ ไม่ยุ่งตายเหรอครับ
อนาคตอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ มี 10 เคส ก็้จะมี 10 ปัญหาที่แตกต่างกันไป

รับไม่ได้จริงๆ  ครับ
บันทึกการเข้า
hison
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217


« ตอบ #9 เมื่อ: 15-10-2006, 01:37 »

๊ถาม

สัญญาให้เช่าอวัยวะของมนุษย๋ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ไม่เคยมี  ถ้าจะมีได้  ในกรณีใดบ้าง  เทียบเคีัยง กับกรณีใกล้เคียงใดได้บ้าง

1.ขายน้ำอสุจิ
 เนื่องข้าฯ เป็นนักกีฬาเหรียญทอง และ เป็นแชมป์ร้องเพลง สนใจขายน้ำอสุจิ....
2.ให้เช่า เพนนิส ขนาด......มีอายุใช้งานเพียงครั้งเดียว....
3.ให้เช่าชอ่งคลอด ....มีกฎหมายห้ามค้าประเวณี

ปัจจุบัน อนุญาติให้มีการบริจาคอวัยวะ บริจาคเลือด บริจาคไขกระดูก ทั้งนี้ห้ามมีผลประโยชน์ทางการ ซื้อ-ขาย มาเกี่ยวข้อง
บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 15-10-2006, 01:46 »

ในกรณีที่มีกฏหมายระบุเอาไว้ชัดเจน ว่าบุตรเกิดจากครรภ์มารดาใด ให้ถือว่าเป็นบุตรของบุคคลนั้น ศาลจะตัดสินยึดตัวกฏหมายครับ ต่อให้มีสัญญาอะไรที่ตกลงกันไว้ก็ตาม เพราะศาลจะพิพากษาว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากขัดกับข้อกฏหมาย ตามกฏหมายไทย สัญญาใด ๆ ก็ตามต้องไม่ขัดกับหลักกฏหมาย

ถึงแม้ว่าจะพิสูจน์ DNA แล้วปรากฏว่าไม่ตรงกับผู้อุ้มครรภ์ แต่ผู้อุ้มครรภ์สามารถอ้างสิทธิตามกฏหมายได้ และศาลไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะตัดสินพิพากษาขัดแย้งกับหลักกฏหมาย มิฉะนั้นศาลจะเป็นผู้ทำผิดกฏหมายเสียเองครับ ประเด็นปัญหานี้ ถ้าสู้กันในศาลจริง ๆ ต้องสู้กันถึง 3 ศาล และฝ่ายอุ้มครรภ์ จะชนะคดีครับ เพราะทางฝ่ายคู่สามีภรรยา จะฟ้อง หรือสู้คดีได้ในประเด็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ส่วนฝ่ายอุ้มครรภ์จะต่อสู้ในประเด็นข้อกฏหมายครับ ต่อให้ศาลแรกฝ่ายอุ้มครรภ์แพ้คดี ศาลอุธรณ์ และศาลฎีกา ชนะแน่นอน เพราะการอุธรณ์จะอุธรณ์ในปัญหาข้อกฏหมาย ซึ่งต่อให้ศาลเห็นใจฝ่ายสามีภรรยา ก็ต้องตัดสินไปตามข้อกฏหมายครับ

ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นมากมายในต่างประเทศ คดีอุ้มบุญ ฝ่ายบิดามารดาที่แท้จริงแพ้คดีตลอดครับ ยกเว้นบางรัฐในสหรัฐอเมริกา เท่านั้น ที่มีการระบุลงไปในกฏหมายเลยว่า สิทธิในการเป็นเจ้าของบุตร เป็นของบิดามารดาที่แท้จริงเท่านั้นครับ ที่เค้าระบุในข้อกฏหมายก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกรรโชกเรียกร้องผลประโยชน์ โดยที่เค้าทำกันแบบนี้ครับ คือ ผู้อุ้มบุญ จะเป็นอาสาสมัครที่ลงทะเบียนไว้กับโรงพยาบาล ผู้อุ้มบุญจะไม่ได้เจอ ไม่ได้รู้จักกับเจ้าของตัวอ่อน ทุกอย่างกระทำผ่านทางโรงพยาบาลตามกฏหมาย โดยการจ่ายเงินจ่ายทองก็ทำผ่านโรงพยาบาล เมื่อมีการฝังตัวอ่อน ผู้อุ้มบุญจะเข้าไปอยู่ในโปรแกรมการดูแลสุขภาพจากทางโรงพยาบาลทันที โดยโรงพยาบาลจะเป็นผู้ดูแลให้สุขภาพร่างกายของทั้งเด็กและผู้อุ้มบุญ ให้แข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อเด็กคลอด และสามารถกลับบ้านได้แล้ว บิดามารดา ก็จะมารับตัวเด็กไปครับ

ปัญหาลักษณะนี้เฉียดฉิวมากในเรื่องศีลธรรม ในต่างประเทศที่มีการอนุญาตให้ทำได้ อย่างถูกกฏหมาย จะมีเจ้าหน้าที่รัฐ นักจิตวิทยา โรงพยาบาล คอยดูแลอยู่ตลอด จนกระทั่งเด็กโตจนบรรลุนิติภาวะครับ เพราะมันมี case แปลก ๆ เช่น ผู้อุ้มบุญ เกิดรักและผูกพันธ์ กับเด็ก ไปฟ้องเรียกร้องสิทธิก็มี บิดามารดาไม่ได้ดูแลเด็กที่เกิดมาอย่างดี ก็มีครับ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #11 เมื่อ: 15-10-2006, 02:14 »


เห็นใกล้เคียงกับ คคห.ของคุณคนในวงการ, hison และบางท่าน ( ขออภัยที่ขี้เกียจเอ่ยนาม  )

การตัดสินในศาล  เป็นการตัดสินตาม "ข้อกฎหมาย" ไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง" <<< ขอให้จำไว้
ถ้า "มีระบุอยู่ในข้อ กม." ก็ให้ใช้ข้อ กม.
แต่ถ้าไม่มีปรากฎในข้อ กม. ก็ให้ใช้หลักจารีตนิยม
ฯลฯ


อย่างในกรณีของท่าน จขกท.
ต่อให้มีการ "ส่งมอบบุตร" จริง ๆ ตามสัญญา ( ขอเรียกเช่นนี้ก่อน )
อาจกลายเป็นโมฆียกรรม แล้วกอดคอเข้าคุกอีกตะหาก
เพราะถ้ามีใครสักคนแจ้ง ตร.ให้จับหญิงผู้รับอุ้มบุญ  ในข้อหา
"ซื้อขายมนุษย์"

โฮ่ ๆๆๆ
...งานนี้ยาว

บันทึกการเข้า

ooo
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« ตอบ #12 เมื่อ: 15-10-2006, 10:09 »

  เรื่องผลประโยชน์ตอนนี้คุยกันลงตัวครับก็ไม่ใช่เงินมากมายอะไร

เนื่องจากเป็นการว่าจ้างแม่บ้านที่ทำงานบ้านให้เห็นเขาตกลงค่าจ้าง

กันระหว่างตั้งท้องเดือนละ 15000 บาท หลังคลอดส่งมอบเด็กแล้ว

ให้อีก 30000 บาท ฝ่ายผู้ว่าจ้างไม่ได้ต้องการจะเบี้ยวหรอกครับ

แต่เกรงว่าพอถึงเวลาผู้รับจ้างจะเอาเป็นล้านไม่งั้นไม่มอบเด็กให้

จะเอาเด็กกลับบ้านไปทำนา หรือเอาไปขอทาน จะทำอย่างไร

   สำหรับท่านที่เห็นว่าศาลจะตัดสินตามข้อกฏหมายมากกว่าข้อเท็จจริง

นั้นผมว่าน่าจะถูกต้องในหลักการ แต่บางทีมันก็มีข้อยกเว้นนะครับ

ถ้าข้อกฏหมายนั้นมันไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม เรา

ก็อาจตกลงกันยกเว้นกฎหมายได้ เช่น เรื่องจำนองหากไม่ชำระหนี้

กฏหมายบอกว่าให้ยึดเฉพาะทรัพย์จำนองออกขายเท่านั้นหากขาย

แล้วไม่พอชำระหนี้ก็ช่วยไม่ได้จะไปยึดทรัพย์ชิ้นอื่นมาขายอีกไม่ได้

แต่คู่สัญญาก็สามารถตกลงกันให้ยึดทรัพย์อื่นมาขายจนได้เงินคุ้มหนี้ได้

ซึ่งข้อตกลงนี้เห็นชัดว่าขัดต่อกฏหมายแน่ๆ แต่ศาลก็ไม่ปฏิเสธสัญญานี้

เพราะศาลคงเห็นว่าสัญญานี้สังคมรับได้ ไม่ได้ขัดต่อศีลธรรมของประชาชน

  ทั้งกฏหมายที่ว่าเด็กเกิดจากท้องใครคนนั้นเป็นแม่ก็เป็นกฏหมายที่ใช้กัน

มานานผู้ร่างคงยังคิดไม่ถึงว่าในปัจจุบันการแพทย์จะเจริญถึงขั้นอุ้มบุญแทนได้

ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าสังคมนี้รับได้หรือไม่ ครับ
บันทึกการเข้า
hison
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217


« ตอบ #13 เมื่อ: 15-10-2006, 13:39 »

ผมอ่านความเห็นของคุณในวงการ เรื่องมีโรงพยาบาล เป็นผู้จัดการเรื่องความเหมาะสม เรื่องจิตวิทยา เรื่องสุขภาพ  ทำให้เห็นทางว่า สามารถแก้ไขผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการวางแผนที่ดี

หาก มีตัวกลางจัดให้เป็้น หน่วยงานการกุศล เช่น สภากาชาดไทย หรือ โรงพยาบาลที่ไม่มีวัตถุประสงค์ค้ากำไร  แม้ คู่กรณีจะรู้จักกัน ก็น่าจะ้ทำได้ครับ

เป็้นเพราะ ผม ไปคิดเปรียบเทียบกับกรณี ซื้้อ ขายเลือด ว่า แม้ มีความจำเป็้นจริงๆ หาเลือดไม่ได้ เรายังไม่สร้างระบบ ซื้อ-ขายเลือดขึ้นมา  เพราะ จารีตเดิมๆเราสร้างค่านิยมไว้อย่างนี้

แต่เรื่องนี้ ไม่มีบรรทัดฐาน หากคิดถี่ถ้วนแล้ว ทำ  ผมขอเอาใจช่วยครับ
บันทึกการเข้า
ooo
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« ตอบ #14 เมื่อ: 15-10-2006, 14:27 »

  เรื่องซื้อขายเลือด และน้ำอสุจิ มีมานานแล้วเพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เปิดเผย

ออกมาเท่านั้น เผอิญเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วผมได้รู้จักนิสิตแพทย์กลุ่มหนึ่ง สำหรับ

คนที่รูปร่างสูง ผิวขาว จะไปบริจาคน้ำอสุจิให้กับ รพ.ใหญ่ของรัฐแห่งหนึ่ง เพื่อเอาไว้

ใช้ผสมแทนน้ำเชื้อของบิดาในกรณีที่เป็นหมัน ซึ่งเจ้าของน้ำเชื้อจะไม่มีโอกาสได้

รู้ว่าน้ำเชื้อของตนจะนำไปใช้กับรายใด กลับกันคนนำน้ำเชื้อไปใช้ก็จะไม่รู้ว่าน้ำเชื้อ

ที่เอามาใช้เป็นของนิสิตแพทย์รายใด คงรู้แต่เพียงว่าลูกที่จะออกมาคงต้องสูง ขาว

และหัวดี เท่านั้น สำหรับค่าตอบแทนในการบริจาคน้ำเชื้อนี้ เมื่อ 20 ปีที่แล้วจะอยู่

ราวๆ 1000 บาท

  ส่วนการบริจาคเลือด ผมก็ได้มีโอกาสรับรู้มาว่าหากไปบริจาคที่โรงพยาบาลเอกชน

มักจะได้ค่าตอบแทนกลับมา แต่จะเป็นเท่าใดนั้นผมไม่แน่ใจ
บันทึกการเข้า
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #15 เมื่อ: 15-10-2006, 20:16 »

นั่นก็แล้วแต่ท่าน จขกท. "อยากจะเข้าใจ" ล่ะครับ
ผมเองก็จนด้วยเกล้า หากจะต้องอธิบายหลักการทาง "ขนบธรรมเนียม" อันหนึ่งที่ว่า

"มนุษย็เกิดขึ้นมาพร้อมด้วยโชคชะตาและเวรกรรมเฉพาะตัว  จึงต้องรับผลกรรมและดำเนินชีวิตไปเท่าที่ถูก ( พรหม ) ลิขิต"

หากไม่มีบูญ วาสนา
แถมยังหา "คนยินดีอุ้มท้องลูกของตน" ให้ "ด้วยใจบริสุทธิ์ - จิตกุศล" ไม่ได้
แล้้วจะพิจารณาว่า "เงิน" น่าจะใช้ได้ในกรณีนี้  เหมือนดั่งกรณีอื่น ๆ
ดังนี้ก็
...สุดแล้วแต่
เถิดครับ



อื่น ๆ :
การรับจ้างตั้งครรภ์ 
ผมไม่เห็นว่ามันจะเหมือนการขายอสุจิ - ขายเลือด - ขายไขกระดูก ตรงไหน ( ไม่รวม "ขายอวัยวะ" )
เนื่องจากอสุจิ - เลือด  - ไขกระดูก  เป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาได้ใหม่ และทดแทนให้กันได้ โดยไม่เป็นอันตราย - เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายต่อผู้ "บริจาค"  ( มากนัก )

ซึ่งผิดกับการตั้งครรภ์
...หญิงผู้ตั้งครรภ์ต้องเสี่ยงชีวิต ( ตอนคลอด )
...ต้องเสี่ยงต่อการได้รับอันตราย  ซึ่งอาจมีผลต่อชีวิตของบุตรในครรภ์ ( ตอนตั้งครรภ์ ) ที่มีสิทธิพัวพัันกับความผิดทางอาญาเรื่อง "การทำให้แท้งบุตร"
...เป็นการรับจ้างทำงานแบบ "ไม่มีโอกาสได้หยุดพักผ่อน ( ผิดหลักการจ้างแรงงาน )" เช่น  นึกอยากจะไปร่วมงานกฐิน - ผ้าป่า ขณะอายุครรภ์ได้ 7 เดือน  แล้วจะ "ถอดครรภ์ไปตั้งไว้ก่อน" ได้ไหม ??
...หากผลของการตั้งครรภ์นั้นกลายเป็นปัญหาขึ้นมาล่ะ ?  เช่น  ครรภ์เป็นพิษ  ตกเลือด  ครรภ์ไข่ปลาอุก ฯลฯ  แล้วส่งผลให้หญิงที่รับจ้างนั้นไม่สามารถมีบุตรต่อไปได้อีก  หรือไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสามัญต่อไปได้อีก  แล้ว "ผู้จ้าง" จะรับผิดชอบอย่างไร - สังคมจะต้องรับผิดชอบ ( ในสิ่งที่สามีภรรยาคู่หนึ่งต้องการ ) อย่างไร ?? ...สมควรไหม ???
...หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์ต้องเสี่ยงกับคุก - ตะราง ในกรณีโดนตั้งข้อหา "ซื้อขายมนุษย์" ด้วยนะ
...ต้องเสี่ยงกับ "ความรู้สึกที่ขาดหายไป" ในด้าน "ความเป็นแม่" ในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต ( กรณีนามธรรม )
...ฯลฯ

>>>>> ซึ่งทั้งหมด  มันเกินกว่า "ความรับผิดชอบ" ของคนที่เป็น "ลูกจ้าง" ตาม กม.แพ่งพาณิชย์<<<<<

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2006, 22:49 โดย qazwsx » บันทึกการเข้า

พระพาย
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679



« ตอบ #16 เมื่อ: 16-10-2006, 14:35 »

ในกรณีที่มีกฏหมายระบุเอาไว้ชัดเจน ว่าบุตรเกิดจากครรภ์มารดาใด ให้ถือว่าเป็นบุตรของบุคคลนั้น ศาลจะตัดสินยึดตัวกฏหมายครับ ต่อให้มีสัญญาอะไรที่ตกลงกันไว้ก็ตาม เพราะศาลจะพิพากษาว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากขัดกับข้อกฏหมาย ตามกฏหมายไทย สัญญาใด ๆ ก็ตามต้องไม่ขัดกับหลักกฏหมาย

ถึงแม้ว่าจะพิสูจน์ DNA แล้วปรากฏว่าไม่ตรงกับผู้อุ้มครรภ์ แต่ผู้อุ้มครรภ์สามารถอ้างสิทธิตามกฏหมายได้ และศาลไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะตัดสินพิพากษาขัดแย้งกับหลักกฏหมาย มิฉะนั้นศาลจะเป็นผู้ทำผิดกฏหมายเสียเองครับ ประเด็นปัญหานี้ ถ้าสู้กันในศาลจริง ๆ ต้องสู้กันถึง 3 ศาล และฝ่ายอุ้มครรภ์ จะชนะคดีครับ เพราะทางฝ่ายคู่สามีภรรยา จะฟ้อง หรือสู้คดีได้ในประเด็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ส่วนฝ่ายอุ้มครรภ์จะต่อสู้ในประเด็นข้อกฏหมายครับ ต่อให้ศาลแรกฝ่ายอุ้มครรภ์แพ้คดี ศาลอุธรณ์ และศาลฎีกา ชนะแน่นอน เพราะการอุธรณ์จะอุธรณ์ในปัญหาข้อกฏหมาย ซึ่งต่อให้ศาลเห็นใจฝ่ายสามีภรรยา ก็ต้องตัดสินไปตามข้อกฏหมายครับ


ประเด็นสิทธิทางกฎหมายผมได้นำเสนอไปแล้วว่าจะต้องทำให้การอ้างสิทธิจากการฝากอุ้มท้องถึงทางตันให้ได้ก่อน... ซึ่งผมพยายามค้นหาข้อความชัดๆ จากกฎหมายทางอินเตอร์เน็ทว่ามีการระบุคำที่ว่า "บุตรเกิดจากครรภ์มารดาใด ให้ถือว่าเป็นบุตรของบุคคลนั้น" แต่ไม่สามารถค้นพบอ้างอิงได้... ใครรู้ว่าอ้างอิงจากฎหมายฉบับใด มาตราที่เท่าไหร่ช่วยบอกด้วยครับ

ผมเห็นแย้งกับคุณคนในวงการกรณีการพิสูจน์ DNA ไม่มีสถานภาพทางกฎหมายเท่าการอุ้มท้อง... ทั้งนี้จากการสืบค้นพบว่ากฎหมายแพ่งมาตราที่ 1545 ในบรรพ 5 ครอบครัว ลักษณะ2 บิดามารดากับบุตร ดังนี้

อ้างถึง
มาตรา 1545 เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงต่อเด็กว่าตนมิได้เป็นบุตรสืบสาย โลหิตของชายผู้เป็นสามีของมารดาตน เด็กจะร้องขอต่ออัยการให้ฟ้องคดี ปฏิเสธความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายนั้นก็ได้

นั่นคือการพิสูจน์ DNA เพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดาจาก "สายโลหิต" จึงน่าจะมีสถานภาพที่มั่นคงจากกฎหมายมาตรานี้

ที่ยังไม่แน่ใจก็คือการพิสูจน์ดังกล่าวนี้ประยุกต์ใช้กับ "มารดา" ได้มีศักดิ์ทางกฎหมายเท่าเทียมกับการออกจากครรภ์หญิงใดถือเป็นมารดาของเด็กหรือไม่?... (ซึ่งผมยังไม่พบคำชัดๆ นี้จากกฎหมาย)

นอกจากนี้... ถ้ากฎหมายที่ระบุ "มารดา" มีปัญหา... อาจสู้กันในแง่ของการพิสูจน์ "บิดา" และสิทธิในการเลี้ยงดูของบิดาแทนครับ

ปล. ผมยังเห็นว่าคำว่าครรภ์ที่แปลว่า "ท้อง" นี้ยังสามารถดิ้นได้ว่าเป็นท้องของผู้หญิงสองคนคือเจ้าของไข่กับผู้อุ้มท้อง... การยิงประเด็นนี้จะเป็นการนำสืบไปสู่ความพยายามให้คำนิยามโดยศาล (ซึ่งยังไม่มีการนิยามมาก่อน) ว่าเด็กออกจากท้องคืออะไร...ซึ่งน่าจะมีช่องทางสอดแทรกประเด็นเจ้าของไข่ลงไปในขั้นตอนนี้โดยทนายครับ... นั่นคือสิทธิในการเป็นเจ้าของไข่ไม่ควรขาดหายไปเมื่อนำไปฝากไว้ในท้องผู้อื่นที่ได้รับการยินยอมจากทั้งสองฝ่ายชัดเจน

เมื่อการพิสูจน์ "บิดา" มีความชัดเจน... สิทธิในการเป็นเจ้าของไข่ไม่สูญหาย... โอกาสฟ้องเด็กให้กลับมาอยู่ในความดูแลโดยทำให้ประเด็น "มารดา" มีความคลุมเครือในทางกฎหมายย่อมเป็นไปได้ครับ
บันทึกการเข้า

คลิป นปก บุกทำเนียบชนพันธมิตร
http://pirun.ku.ac.th/~g4685035/01mob.asf
กระทู้ขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ดร่วมคัดคัดกรณีปราสาทพระวิหาร นำโดยคุณ *bonny http://forum.serithai.net/index.php?topic=28065.0
และเอกสารยื่นคัดค้านกระทรวงต่างประเทศไทยและกัมพูชา  http://www.savefile.com/files/1629973
กระทู้สรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://forum.serithai.net/index.php?topic=28392.0
ใบปลิวขนาด 2 หน้าสรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://www.savefile.com/files/1626944

แม่น้ำร้อยสายล้วนต้นกำเนิดเดียวกัน... จากสายฝน จากภูเขา ที่ซึ่งคล้ายเจตนารมณ์แห่งฟ้า
เสรีไทยเวบบอร์ด http://forum.serithai.net/
We Open Mind http://www.weopenmind.com/board/index.php
อรุณสวัสดิ์ http://www.arunsawat.com/board/index.php
ที่ทำการเสี่ยวอีสาน[
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 16-10-2006, 15:44 »

จขกท. ลองอ่านตาม link ข้างล่างนะครับ ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ ที่ไม่ก็อบแปะ เพราะมันยาวครับ

เกาะติดกฎหมาย ‘อุ้มบุญ’
http://women.sanook.com/mom-baby/knowledge/lifestyle_24606.php

"อุ้มบุญ" ปัญหาที่ยังหนักอก... แม่ผู้ให้กำเนิดกับแม่ผู้ถือกำเนิด 
http://www.thaihealth.or.th/news.php?id=1261

พม.ดัน กม.ให้สามีภรรยาที่ขอให้ “อุ้มบุญ” เป็นพ่อแม่ชอบด้วยกฎหมาย
http://www.tax-thai.com/viewnews.asp?id=3805

 
 
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
ooo
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« ตอบ #18 เมื่อ: 16-10-2006, 16:34 »

     คุณพระพาย...

     ผมก็ยังไม่เห็นกฏหมายมาตราไหนระบุไว้ครับ

แต่เท่าที่พูดคุยกับนักกฎหมายหลักที่ศาลเคยใช้

ก็น่าจะเป็นไปในทำนองนั้นคือเด็กเกิดจากหญิงใด

หญิงนั้นย่อมเป็นมารดาโดยชอบกฎหมายใช่มั๊ยครับ


     คุณคนในวงการ....

     ขอบคุณครับสำหรับ link

     
บันทึกการเข้า
พระพาย
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679



« ตอบ #19 เมื่อ: 16-10-2006, 18:27 »

โอ้โห.... อ่านตามลิงก์แล้วครับ... นักวิชาการด้านนี้โดยเฉพาะการันตีเอง... สงสัยคงต้องขอยอมแพ้

สรุปชัดเจนครับ... คนอุ้มบุญเป็นมารดาตามกฎหมาย... พ่อแม่ตามสายเลือดเป็นได้แค่พ่อแม่บุญธรรมเท่านั้น... สิทธิของบุตรหลายอย่างขาดหายไป

สงสัยถ้าจะไม่ให้มีปัญหาคงต้องรอกฎหมายใหม่... ไม่รู้อีกกี่ปีครับ

ขอบคุณคนในวงการที่ช่วยให้ข้อมูลอย่างแจ่มแจ้งครับ
บันทึกการเข้า

คลิป นปก บุกทำเนียบชนพันธมิตร
http://pirun.ku.ac.th/~g4685035/01mob.asf
กระทู้ขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ดร่วมคัดคัดกรณีปราสาทพระวิหาร นำโดยคุณ *bonny http://forum.serithai.net/index.php?topic=28065.0
และเอกสารยื่นคัดค้านกระทรวงต่างประเทศไทยและกัมพูชา  http://www.savefile.com/files/1629973
กระทู้สรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://forum.serithai.net/index.php?topic=28392.0
ใบปลิวขนาด 2 หน้าสรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://www.savefile.com/files/1626944

แม่น้ำร้อยสายล้วนต้นกำเนิดเดียวกัน... จากสายฝน จากภูเขา ที่ซึ่งคล้ายเจตนารมณ์แห่งฟ้า
เสรีไทยเวบบอร์ด http://forum.serithai.net/
We Open Mind http://www.weopenmind.com/board/index.php
อรุณสวัสดิ์ http://www.arunsawat.com/board/index.php
ที่ทำการเสี่ยวอีสาน[
อธิฏฐาน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,912


รักษาประเทศชาติ เป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคน


« ตอบ #20 เมื่อ: 16-10-2006, 21:15 »


สัญญาใช้ไม่ได้ตั้งแต่ต้นแล้วค่ะ

ตาม ปพพ. บรรพ 2 หนี้  ลักษณะ 2 สัญญา หมวด 1 ก่อให้เกิดสัญญา

มาตรา 368 สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทาง สุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย


ตาม ปพพ .บรรพ 5 ครอบครัว ลักษณะ 2 บิดามารดากับบุตร

มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็น บุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น
 
ตามความเห็นส่วนตัวอาจจะผิดก็ได้ค่ะ

บิดาน่าจะจดทะเบียนรับรองบุตร แต่ผู้ที่อุ้มท้อง(มารดา) ต้องให้ความยินยอมด้วย หรือไม่ก็หย่ากับภรรยาเดิม มาจดทะเบียนสมรสใหม่กับผู้ที่เป็นมารดาของบุตร  แบบว่าทำเพื่อเด็กค่ะ อย่าคิดอะไรมาก

บันทึกการเข้า

หยุด...สัมปทานอุทยานแห่งชาติ
http://www.oknation.net/blog/sandstone
หน้า: [1]
    กระโดดไป: