|
Suraphan07
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: 12-10-2006, 14:27 » |
|
โย่ว โยว โย่ว  ขออนุญาต ตัดแป่ะครับ... นพ.มงคล ประกาศยกเลิกเก็บ 30 บาทเปลี่ยนเป็นฟรีทุกโรค 13:49 น. นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า จะมีการปรับระบบโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยยกเลิกการเก็บเงิน 30 บาท เนื่องจากชื่อ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นคำที่พรรคการเมืองนำมาทำการตลาด ขณะที่จำนวนเงิน 30 บาทเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก ไม่ส่งผลให้สถานบริการหรือโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ หากจะไม่มีการเก็บเงินจำนวนดังกล่าว อีกทั้งยังไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลาของเจ้าหน้าที่ในการเก็บข้อมูลลงบัญชี จริง ๆ อยากเรียนว่าที่ไม่อยากใช้คำนี้ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับโลโก้ของรัฐบาลที่แล้ว แต่ไม่อยากเก็บแล้ว 30 บาท เพราะไม่ทำให้สถานบริการหรือโรงพยาบาลรวยขึ้นหรือจนลง 30 บาท เก็บจากคนส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อเอาเงินมา 30 บาทต้องไปลงบัญชี 3 เล่ม เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตามสถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชนได้รับเงินมา 30 บาท ต้องลงบัญชี 3 เล่ม และคนไข้มานั่งออกันเต็มหมด ถ้าไม่เก็บได้จะได้มีโอกาสไปดูแลคนไข้ และเงินที่ได้วันหนึ่งบางแห่งได้ 120 บาท บางแห่งได้ 150 บาทเพราะบัตรทองมีทั้งเสียเงิน 30 บาท และไม่เสีย 30 บาท แต่ต้องลงบัญชี 3 เล่ม ฉะนั้น ไม่เก็บเสียเลย ก็ไม่จำเป็นต้องเรียก 30 บาท เพราะไม่มีการเก็บเงิน 30 บาทอีกแล้ว นพ.มงคล กล่าว และว่า จะมีการหารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาล โอที ซึ่งคนที่สูงอายุบางครั้งก็แอคทีฟมากกว่าคนหนุ่ม
สำหรับการจะยกเลิกบัตรทองหรือไม่นั้น นพ.มงคล กล่าวว่า จะยังไม่ยกเลิกเพราะเป็นสัญลักษณ์ในการเข้ารับบริการขณะนี้ แต่ต่อไปข้างหน้าเมื่อไม่เก็บ 30 บาทแล้ว ก็สามารถนำบัตรประชาชนไปใช้ได้เลย ขณะนี้ตั้งไว้อย่างนั้น แต่จะต้องคุยกับทางผู้ออกบัตรว่าทำอย่างไร ให้มีข้อมูลอยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนด้วย ทั้งนี้ จะเริ่มไม่เก็บเงินประชาชนเมื่อใดนั้น นพ.มงคล กล่าวว่า จะพยายามโดยเร็วที่สุด ที่จะไม่เก็บเงิน 30 บาท สุดยอด ...ไม่ได้ใช้หาเสียงด้วย... 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: 12-10-2006, 14:36 » |
|
สุดยอดครับ อยากเห็นมานานแล้ว ตีถูกจุด แก้ถูกวิธี ปัญหาจะคลี่คลายได้ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: 12-10-2006, 14:47 » |
|
30 บาทเอาไว้ดักพวกชอบป่วยพร่ำเพรื่อ หาว่าเป็นประชานิยม งบไม่มี บริหารไม่ได้เรื่อง แทนที่จะยกเลิก ดันทำอย่างพรรคประชาธิปัตย์ มันก็เอาของไทยรักไทยมาต่อยอดนั่นเอง สมองคนแก่มันก็คิดได้แค่นี้แหละ ลอกประชาธิปัตย์มันเลยง่ายดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kj 2nd
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: 12-10-2006, 15:10 » |
|
แล้วหมอที่ต้านล่ะครับ
ที่ว่าเงินไม่พอ ต้องหารายชื่อเพิ่มเติมจะทำอย่างไร
แล้วปัญหาสำคัญคือ จะเอาเงินทุนจากไหน ทั้งที่สมัยทักษิณ แทบจะไม่มีเงินเข้ามาเลย (เจ๊หน่อย มุบมิบป่าวหว่า)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ # $ %
|
|
|
Can ไทเมือง
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: 12-10-2006, 15:18 » |
|
ก็เพิ่มงบ "ต่อหัว" ลงไปสิ
คิดว่ามันขาด ๆ อยู่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เข้าใจว่าหัวละ 1,700 บาท ประมาณนี้
ปัญหาที่พบคือ การจัดสรรงบประมาณลงไปไม่เพียงพอ...ไม่ใช่เรื่องอื่น
ถ้าเพิ่มงบลงไป มันก้ไปของมันได้ คนทำงานก็มีความสุข คนรับบริการก็พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Neoconservative
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: 12-10-2006, 15:59 » |
|
แย่งโยบาย หาเสียง ปชป. มารึป่าว ครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
(ก้อนหิน) ละเมอ
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: 12-10-2006, 16:06 » |
|
พูดถูกครับ รายได้ของ รพ. ไม่ใช่มาจากค่าบริการ 30 บาทเลย แต่มาจากเงินสนับสนุนต่อหัวต่างหากครับ ถ้าหากได้ในส่วนนี้มากขึ้น ต่อให้รักษาแล้วแถมเงิน 30 บาทให้ด้วย ก็ยังอยู่ได้ แต่อย่างนี้มันจะทำให้คนเข้าหาบริการทางการแพทย์แบบไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นหรือเปล่าครับ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
willing
|
 |
« ตอบ #8 เมื่อ: 12-10-2006, 16:17 » |
|
ก็เพิ่มงบ "ต่อหัว" ลงไปสิ
คิดว่ามันขาด ๆ อยู่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เข้าใจว่าหัวละ 1,700 บาท ประมาณนี้
ปัญหาที่พบคือ การจัดสรรงบประมาณลงไปไม่เพียงพอ...ไม่ใช่เรื่องอื่น
ถ้าเพิ่มงบลงไป มันก้ไปของมันได้ คนทำงานก็มีความสุข คนรับบริการก็พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย
อะ ไม่ค่อยเข้าใจ "ต่อหัว" อะครับ ลุงแคน (หรือใครก้อได้) อยากให้ขยายความหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even If I am a minority of one, truth is still the truth. - Mohandas Gandhi
|
|
|
The Last Emperor
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: 12-10-2006, 16:29 » |
|
ว้าว...เยี่ยมเลยครับ เก่งจริงๆสำหรับน.พ. มงคล ที่ท่านสามารถคิดได้แบบนี้ ประเทศไทยเราจะได้เจริญลงๆที่พอคิดอะไรไม่ออกก็ตัดต่อพันธุกรรม ฮ่าๆๆ ขำคนที่เชียร์เชยๆจัง
รู้อยู่เต็มอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายของทรท.ที่คนทั่วประเทศยอมรับ กะแค่ตัด 30 บาทออกไป...ใหม่มากเลยน๊ะตัวเอ๊ง!!
กร๊ากกกกกกกกกก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: 12-10-2006, 16:31 » |
|
ว้าว...เยี่ยมเลยครับ เก่งจริงๆสำหรับน.พ. มงคล ที่ท่านสามารถคิดได้แบบนี้ ประเทศไทยเราจะได้เจริญลงๆที่พอคิดอะไรไม่ออกก็ตัดต่อพันธุกรรม ฮ่าๆๆ ขำคนที่เชียร์เชยๆจัง
รู้อยู่เต็มอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายของทรท.ที่คนทั่วประเทศยอมรับ กะแค่ตัด 30 บาทออกไป...ใหม่มากเลยน๊ะตัวเอ๊ง!!
กร๊ากกกกกกกกกก
เอาแต่กระแนะกระแหน บ่มิไก๊จริงๆ คิดอะไรใหม่ๆมาเสนอสิจ๊ะ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นทร์
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: 12-10-2006, 16:36 » |
|
คอยดูการปรับเปลี่ยน ว่าจะทำยังไงต่อดีกว่า
อย่างน้อยรู้แล้วว่าเปลี่ยน : 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
|
|
|
Can ไทเมือง
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 12-10-2006, 16:41 » |
|
ที่บอก 30 บาทน่ะ ประชาชนจ่าย
แต่จริง ๆ รายจ่ายต่อหัวประชากร ในเขตพื้นที่บริการของโรงพยาบาล "รัฐ" ต้องใส่งบประมาณลงไป
เช่น ปีแรก ๆ ( ประมาณ ) 1,200 บาท ต่อหัว...ประชากรในพื้นที่บริการ 100,000 คน โรงพยาบาลนั้นก็ได้เงินงบประมาณ 120 ล้าน อะไรแบบนี้ครับ
30 บาทน่ะ จริง ๆ ไม่เก็บก็ได้...
เพราะคนที่พอมีฐานะ อยากได้ยาดี เค้าก็ยินดีจ่ายยาดีอยู่แล้ว
สรุปคือ 30 บาท ได้ยาธรรมดา
จ่ายค่ายาเอง ก็ได้ยานอก อะไรประมาณนี้ครับ
ที่มันไม่ไหว คือคนที่เคย "พอมี" กลับทำตัวเท่าเทียมคนจนนั่นแหละครับ...
ตอนนั้นมันอยู่ในช่วงกู้วิกฤติ งบประมาณก็ย่ำแย่...ตอนนี้มันมีการปรับระบบมาตลอด
แก้ปัญหามาเกือบจบแล้ว แค่ใส่งบเสริมลงไปให้พอกับประมาณการ ก็ไปได้ดีแล้วครับ
เข้าใจว่า งบประมาณต่อหัวประชากร 1 คน น่าจะอยู่ที่ 1,700 บาทต่อคน ต่อปี กระมัง ผมไม่ได้ตามใกล้ชิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
willing
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: 12-10-2006, 16:48 » |
|
อ่า พอเข้าใจแล้วครับ มันหมายถึง "cost" ที่แท้จริงในการรักษาโรค ต่อ 1 คน นั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even If I am a minority of one, truth is still the truth. - Mohandas Gandhi
|
|
|
The Last Emperor
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: 12-10-2006, 16:52 » |
|
ที่บอก 30 บาทน่ะ ประชาชนจ่าย
แต่จริง ๆ รายจ่ายต่อหัวประชากร ในเขตพื้นที่บริการของโรงพยาบาล "รัฐ" ต้องใส่งบประมาณลงไป
เช่น ปีแรก ๆ ( ประมาณ ) 1,200 บาท ต่อหัว...ประชากรในพื้นที่บริการ 100,000 คน โรงพยาบาลนั้นก็ได้เงินงบประมาณ 120 ล้าน อะไรแบบนี้ครับ
30 บาทน่ะ จริง ๆ ไม่เก็บก็ได้...
เพราะคนที่พอมีฐานะ อยากได้ยาดี เค้าก็ยินดีจ่ายยาดีอยู่แล้ว
สรุปคือ 30 บาท ได้ยาธรรมดา
จ่ายค่ายาเอง ก็ได้ยานอก อะไรประมาณนี้ครับ
ที่มันไม่ไหว คือคนที่เคย "พอมี" กลับทำตัวเท่าเทียมคนจนนั่นแหละครับ...
ตอนนั้นมันอยู่ในช่วงกู้วิกฤติ งบประมาณก็ย่ำแย่...ตอนนี้มันมีการปรับระบบมาตลอด
แก้ปัญหามาเกือบจบแล้ว แค่ใส่งบเสริมลงไปให้พอกับประมาณการ ก็ไปได้ดีแล้วครับ
เข้าใจว่า งบประมาณต่อหัวประชากร 1 คน น่าจะอยู่ที่ 1,700 บาทต่อคน ต่อปี กระมัง ผมไม่ได้ตามใกล้ชิด
ลุงแคนเข้าใจถูกต้องแล้วครับว่ารัฐบาลใส่เงินต่อหัวให้กับร.พ. และประเภทของยาก็ต่างกันกับพวกที่เสียเงินเอง ซึ่งคนที่พอมีปัญญาจ่ายก็คงไม่ไปใช้ 30 บาทหรอกครับ คนที่ใช้ก็คือคนที่จนจริงๆที่แต่ก่อนนี้ไม่มีปัญญาเข้าร.พ เพราะไม่มีเงินจ่าย
ประเด็นก็คือ ในเมื่อยอมรับกันตรงๆว่าเป็นนโยบายที่ดี ก็น่าจะลูกผู้ชายพอที่จะยอมให้เครดิตกับคนที่คิด ไม่ใช่ไปใช้นโยบายของเค้าต่อแต่ปากบอกว่ายกเลิก นี่ไม่ใช่เป็นการยกเลิก หากเป็นแค่ขี้เกียจรับตังค์ 30 บาทจากคนจนเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลับ ลวง พราง
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: 12-10-2006, 16:58 » |
|
รัฐธรรมนูญฉบับเก่า
มาตรา 52 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทาง สาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาล จากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ตามที่ กฎหมายบัญญัติ การบริการทางสาธารณสุขของรัฐต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมี ประสิทธิภาพ โดยจะต้องส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ เอกชนมีส่วนร่วมด้วยเท่าที่จะกระทำได้ การป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตราย รัฐต้องจัดให้แก่ประชาชน โดยไม่คิดมูลค่าและทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ทรท. มันเก็บ 30 บาทจากประชาชนผู้ยากไร้ อย่างนี้คิดได้มั๊ยว่า ทำผิดรัฐธรรมนูญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"คนฟุ่มเฟือย แม้จะรวยก็มักขัดสน คนประหยัด แม้จะจนก็มักมีเหลือเก็บ"
|
|
|
Limmy
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: 12-10-2006, 19:20 » |
|
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีมาก่อนนโยบายไทยรักไทยนะครับ
เดี๋ยวเชิญผู้รู้มาแจงหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: 12-10-2006, 22:31 » |
|
ที่บอก 30 บาทน่ะ ประชาชนจ่าย
แต่จริง ๆ รายจ่ายต่อหัวประชากร ในเขตพื้นที่บริการของโรงพยาบาล "รัฐ" ต้องใส่งบประมาณลงไป
เช่น ปีแรก ๆ ( ประมาณ ) 1,200 บาท ต่อหัว...ประชากรในพื้นที่บริการ 100,000 คน โรงพยาบาลนั้นก็ได้เงินงบประมาณ 120 ล้าน อะไรแบบนี้ครับ
30 บาทน่ะ จริง ๆ ไม่เก็บก็ได้...
เพราะคนที่พอมีฐานะ อยากได้ยาดี เค้าก็ยินดีจ่ายยาดีอยู่แล้ว
สรุปคือ 30 บาท ได้ยาธรรมดา
จ่ายค่ายาเอง ก็ได้ยานอก อะไรประมาณนี้ครับ
ที่มันไม่ไหว คือคนที่เคย "พอมี" กลับทำตัวเท่าเทียมคนจนนั่นแหละครับ...
ตอนนั้นมันอยู่ในช่วงกู้วิกฤติ งบประมาณก็ย่ำแย่...ตอนนี้มันมีการปรับระบบมาตลอด
แก้ปัญหามาเกือบจบแล้ว แค่ใส่งบเสริมลงไปให้พอกับประมาณการ ก็ไปได้ดีแล้วครับ
เข้าใจว่า งบประมาณต่อหัวประชากร 1 คน น่าจะอยู่ที่ 1,700 บาทต่อคน ต่อปี กระมัง ผมไม่ได้ตามใกล้ชิด
ลุงแคนเข้าใจถูกต้องแล้วครับว่ารัฐบาลใส่เงินต่อหัวให้กับร.พ. และประเภทของยาก็ต่างกันกับพวกที่เสียเงินเอง ซึ่งคนที่พอมีปัญญาจ่ายก็คงไม่ไปใช้ 30 บาทหรอกครับ คนที่ใช้ก็คือคนที่จนจริงๆที่แต่ก่อนนี้ไม่มีปัญญาเข้าร.พ เพราะไม่มีเงินจ่าย
ประเด็นก็คือ ในเมื่อยอมรับกันตรงๆว่าเป็นนโยบายที่ดี ก็น่าจะลูกผู้ชายพอที่จะยอมให้เครดิตกับคนที่คิด ไม่ใช่ไปใช้นโยบายของเค้าต่อแต่ปากบอกว่ายกเลิก นี่ไม่ใช่เป็นการยกเลิก หากเป็นแค่ขี้เกียจรับตังค์ 30 บาทจากคนจนเท่านั้นเองนั่นสิ ใครเริ่มคิด ใครลอก ใครดัดแปลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นทร์
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: 12-10-2006, 22:36 » |
|
วันนี้ตอนเย็นได้ยินคนที่(น่าจะ)เป็นเจ้ากระทรวงสธ ให้สัมภาษณ์รายการวิทยุ
เรื่องนี้คิดและทำมาตั้งแต่สมัย รัฐบาลชวน
ไม่ได้ใช้ชื่อ 30 บาท และการให้ประกันยังไม่มีมากเท่า 30 บาท
ถูก ทรท เอามาต่อยอด ครับประมาณนั้น...
น่าจะได้ยิน การให้สัมภาษณ์กรณีนี้เรื่อยๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
|
|
|
เหยี่ยวพิฆาต
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: 12-10-2006, 22:47 » |
|
ว้าว...เยี่ยมเลยครับ เก่งจริงๆสำหรับน.พ. มงคล ที่ท่านสามารถคิดได้แบบนี้ ประเทศไทยเราจะได้เจริญลงๆที่พอคิดอะไรไม่ออกก็ตัดต่อพันธุกรรม ฮ่าๆๆ ขำคนที่เชียร์เชยๆจัง
รู้อยู่เต็มอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายของทรท.ที่คนทั่วประเทศยอมรับ กะแค่ตัด 30 บาทออกไป...ใหม่มากเลยน๊ะตัวเอ๊ง!!
กร๊ากกกกกกกกกก
อาการขี้อิจฉา ไม่นับเป็นโรคนะครับ ถ้าอยากให้หาย เอาน้ำนี่ไปดื่มนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HILTON (ปาล์มาลี)
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: 12-10-2006, 23:59 » |
|
โง่แล้วพวกวัว เพิ่งรู้ว่าถูกเขาหลอก  โปรดฟังอีกครั่ง นพ.มงคล ประกาศยกเลิกเก็บ 30 บาทเปลี่ยนเป็นฟรีทุกโรค 13:49 น. นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า จะมีการปรับระบบโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยยกเลิกการเก็บเงิน 30 บาท เนื่องจากชื่อ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นคำที่พรรคการเมืองนำมาทำการตลาด ขณะที่จำนวนเงิน 30 บาทเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก ไม่ส่งผลให้สถานบริการหรือโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ หากจะไม่มีการเก็บเงินจำนวนดังกล่าว อีกทั้งยังไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลาของเจ้าหน้าที่ในการเก็บข้อมูลลงบัญชี จริง ๆ อยากเรียนว่าที่ไม่อยากใช้คำนี้ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับโลโก้ของรัฐบาลที่แล้ว แต่ไม่อยากเก็บแล้ว 30 บาท เพราะไม่ทำให้สถานบริการหรือโรงพยาบาลรวยขึ้นหรือจนลง 30 บาท เก็บจากคนส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อเอาเงินมา 30 บาทต้องไปลงบัญชี 3 เล่ม เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตามสถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชนได้รับเงินมา 30 บาท ต้องลงบัญชี 3 เล่ม และคนไข้มานั่งออกันเต็มหมด ถ้าไม่เก็บได้จะได้มีโอกาสไปดูแลคนไข้ และเงินที่ได้วันหนึ่งบางแห่งได้ 120 บาท บางแห่งได้ 150 บาทเพราะบัตรทองมีทั้งเสียเงิน 30 บาท และไม่เสีย 30 บาท แต่ต้องลงบัญชี 3 เล่ม ฉะนั้น ไม่เก็บเสียเลย ก็ไม่จำเป็นต้องเรียก 30 บาท เพราะไม่มีการเก็บเงิน 30 บาทอีกแล้ว นพ.มงคล กล่าว และว่า จะมีการหารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาล โอที ซึ่งคนที่สูงอายุบางครั้งก็แอคทีฟมากกว่าคนหนุ่ม สำหรับการจะยกเลิกบัตรทองหรือไม่นั้น นพ.มงคล กล่าวว่า จะยังไม่ยกเลิกเพราะเป็นสัญลักษณ์ในการเข้ารับบริการขณะนี้ แต่ต่อไปข้างหน้าเมื่อไม่เก็บ 30 บาทแล้ว ก็สามารถนำบัตรประชาชนไปใช้ได้เลย ขณะนี้ตั้งไว้อย่างนั้น แต่จะต้องคุยกับทางผู้ออกบัตรว่าทำอย่างไร ให้มีข้อมูลอยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนด้วย ทั้งนี้ จะเริ่มไม่เก็บเงินประชาชนเมื่อใดนั้น นพ.มงคล กล่าวว่า จะพยายามโดยเร็วที่สุด ที่จะไม่เก็บเงิน 30 บาท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพนกวินน้อยนักอ่าน
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: 13-10-2006, 00:23 » |
|
พวกลิ่วล้อเหลือเดน คงทนไม่ได้ ที่ 30 บาทโดนแฉ ว่าเก็บตังค์เพื่อเป็นการตลาดเท่านั้น ไม่ได้มีสาระอะไรเลย คราวนี้ชาวบ้านรากหญ้า อ่านหนังสือพิมพ์แล้วคุยกันก็จะรู้ว่าโดนทักษิณ ต้มมาหลายปี ความจริงพวกกรูไม่จำเป็นต้องจ่ายแม้แต่ 30 บาทนี่หว่า  14 ล้านคงเหลือ 0 คน ในเร็วพลัน ว่าแต่พรรคทักษิณมันพรรคอะไรนะ มันจะยุบอยู่แล้วนะ ดันลืมซะได้ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
decison_making
|
 |
« ตอบ #22 เมื่อ: 13-10-2006, 00:41 » |
|
นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าน่ะ เค้าร่างกันมาตั้งแต่แรกแล้ว
กลับไปอ่านใหม่ดีกว่า คนที่อ้างผลงานเข้าตัวน่ะ มัน ทรท. ไม่ใช่เหรอ
ในฐานะคนสาธารณะสุข เห็นด้วยซะทีที่จะบอกความจริงชาวบ้านได้แล้วว่้า
นโยบายนี้ ไม่ได้มาจากทรท. และความจริงไม่ได้ต้องจ่าย 30 บาท
แต่ปัญหาต่อไป คือ จะบริหารยังไง ให้คุณภาพเหมาะสมกับงบประมาณ
และที่สำคัญต้องไม่สร้างภาพหลอกลวงชาวบ้าน ให้เข้าใจซักทีว่า
ข้าวผัด ของเราไม่ได้ มีทุกอย่าง ทั้งหมู กุ้ง ปลาหมึก แต่ราคา 30 บาท
ย้ำว่า การรักษาคน ต้องการมาตรฐานที่ดี
ดังนั้น ของดีและถูก ไม่มีในโลก การรักษามีราคาของมัน
คนที่อยู่ในภาวะที่ถูกบีบ ให้เอาแต่สิ่งดี ในราคาถูกๆ น่ะมันเดือดร้อนจริงๆ
ที่ต้องไปบอกชาวบ้านว่า ยาเราดีนะ แต่ได้แค่นี้ล่ะ เพราะไม่มีเงิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
 |
« ตอบ #23 เมื่อ: 13-10-2006, 00:46 » |
|
30 บาทเอาไว้ดักพวกชอบป่วยพร่ำเพรื่อ หาว่าเป็นประชานิยม งบไม่มี บริหารไม่ได้เรื่อง แทนที่จะยกเลิก ดันทำอย่างพรรคประชาธิปัตย์ มันก็เอาของไทยรักไทยมาต่อยอดนั่นเอง สมองคนแก่มันก็คิดได้แค่นี้แหละ ลอกประชาธิปัตย์มันเลยง่ายดี
ใช่ครับ เหตุผลที่มาของ "30 บาท" ที่คุณชอบแถว่าไว้นี้ถูกต้อง แต่... แก๊งไทยรักไทยจงใจละเลยที่จะบอกกล่าวให้ชาวบ้านทราบ เพื่อ "ปล้นผลงาน" ของข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุข ให้ดูเหมือนเป็นนโยบายของแก๊งไทยรักไทย เป็นกรรมนั่นล่ะครับ กรรมที่รู้จักกันในชื่อ "มุสา" คือ "ไมบอกกล่าวความจริง" เพื่อ "หลอกให้เขาเชื่อ" ( ว่าตนเป็นคนมีความกรุณา ) ซึ่งในที่สุดแล้วก็กลับกลายมาเป็นหอกอัปปรี "ย้อนกลับ" มาทิ่มแทงคนอัปปรี ในที่สุดความจริงทีอยู่่เหนือความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมาว่า 30 บาท เพื่อส่งเสริมการตลาด ให้แก๊งไทยรักไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Cherub Rock
|
 |
« ตอบ #24 เมื่อ: 13-10-2006, 00:56 » |
|
ทำนองเดียวกับที่แปะตรา OTOP ขโมยผลงาน SMEs หรือเปล่า ร้ายจริงๆ สมเป็นศิษย์สำนัก ฟิลิปส์ คอตเลอร์ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
|
|
|
somwang
|
 |
« ตอบ #25 เมื่อ: 13-10-2006, 01:54 » |
|
30 บาทเอาไว้ดักพวกชอบป่วยพร่ำเพรื่อ หาว่าเป็นประชานิยม งบไม่มี บริหารไม่ได้เรื่อง แทนที่จะยกเลิก ดันทำอย่างพรรคประชาธิปัตย์ มันก็เอาของไทยรักไทยมาต่อยอดนั่นเอง สมองคนแก่มันก็คิดได้แค่นี้แหละ ลอกประชาธิปัตย์มันเลยง่ายดี
ยังอยู่อีกเหรอคนชั่ว 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ตราบใดที่คนไทยยังมีพิธีจับปอบ ขูดต้นไม้ขอหวย หรือ กราบไหว้เจลลดไข้ ตราบนั้นคนไทยก็ยังได้ทักษิณเป็นนายกฯ
|
|
|
lekapuk
|
 |
« ตอบ #26 เมื่อ: 13-10-2006, 02:58 » |
|
อย่างนี้ต้องชี้แจงให้ชาวบ้านรู้นะค่ะ เดี๋ยวพวกทรท.จะไปบอกชาวบ้านอีกอย่างหนึ่ง
คนพวกนี้ชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เกลียดทักษิณ ใช่ว่าจะชอบประชาธิปัตย์ อย่าเหมารวม ใช้ความคิดก่อนแสดงความคิดเห็นนะจ๊ะ
|
|
|
Can ไทเมือง
|
 |
« ตอบ #27 เมื่อ: 13-10-2006, 02:59 » |
|
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กลุ่ม คุณหมอประเวศ ผลักดันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัย รสช.
ตอนหน้าเหลี่ยมมา ก็มาเชิญคุณหมอประเวศมาทำพรบ.ปฏิรูปสาธารณะสุข จนจบ ท่านก็รับงานเพราะถือว่ารัฐบาลใหนมาก็ต้องช่วยเพราะเท่ากัยช่วยประเทศชาติ
ไม่ใช่ขี้ข้านักการเมือง เพราะพวกนี้เค้าเรียน"ทุนหลวง" ย่อมรู้สำนึกคุณของแผ่นดิน
มีหน่วยงาน สปรส. อะไรประมาณนี้ที่ออกมา ดูแลทั้งระบบ มีคุณหมอประเวศเป็นหัวเรือใหญ่
ส่วน สสส. ก็ทำมาก่อน โดยการหักเงินภาษีสรรพสามิตจากสินค้าอบายมุข มาให้กองทุน สสส. บริหารจัดการ
เช่นเดียวกับข้อเสนอของ ธีรยุทธืในตอนนี้ จะเอาเงินหวยมาทำกองทุนใหญ่ ๆ แบบ สสส. ทำงานด้านการตรวจสอบ
ที่จริง 30 บาท รักษาทุกดรค เกิดขึ้นเป้นงานทดลองที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ตั้งแต่ประมาณปี 2535 ในนามมูลนิธิหมอชาวบ้าน
ก็กลุ่มลูกศิษย์คุณหมอประเวศนั่นแหละ ลอง ๆตามประวัติดูสิ ตอนนั้นทำตั้งแต่ยังไม่มี ประกันสุขภาพครอบครัวละ 500 บาทต่อปี
งานแบบนี้ คนคิดคนทำ เค้าต่อยอดกันมาในกลุ่มกระทรวงสาธารณะสุข เป็นลักษณะแพทย์ทางเลือก
มิใช่มาคิดกันสมัยรัฐบาลทักษิณ...รู้จักให้เกียรติคนทำงาน คนต้นคิดเค้าบ้าง
อย่าเอาแต่อ้างว่าเป็นนโยบายตัวเอง
จะบอกให้ว่า บุคลากรของกระทรวงสาธารณะสุข คือบุคลากรระัดับต้น ๆ ของประเทศ มาจากมหาวิทยาลัยที่รวมคนเก่ง เอามาสอนให้เป็น"คนดี" มี "จรรยาบรรณ" ติดตัวตั้งแต่ออกทำงาน
อย่าเอาความโสโครกของ "วิชาการตลาด" มาแอบอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเองเลยครับ
คนรู้จริงเค้าจะอ๊วก...กระทรวงสาธารณะสุข มิใช่เพิ่งมามีตอนรัฐบาลหน้าเหลี่ยม
เค้ามีการสืบทอดองค์ความรู้กันมาเป็นสาย...ไม่เคยขาด...มีวัฒนธรรมองค์กร รู้จักให้เกียรติ "อาจารย์หมอ"
ไม่ใช่ประเภท ..."พ่อผมแก่กว่า"...ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ...
ไม่ใช่รัฐบาลกุ๊ยระดับโลกแบบนั้นหรอก...ไปใกล ๆ เลยไป๊...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #28 เมื่อ: 13-10-2006, 07:22 » |
|
ถ้าไม่ให้สัมภาษณ์น่าจะดีกว่านี้นะลุงหมอ ที่เดียวกันรักษาแบบแยกบัญชีไม่ว่าจะฟรีหรือไม่ฟรี เค้าก็ต้องลงบัญชีอยู่ดี ไม่งั้นมันแยกกลุ่มคนไข้และประเมินผลไม่ได้ อย่างประกันสังคมโรง พยาบาลยังต้องแยกคลีนิคประกันสังคมไปต่างหากเพื่อบริหารจัดการเลย ปัญหามันอยู่ที่เงิน ไม่พอ คนไม่พอต่างหาก ลงบัญชีสามเล่มไม่ได้เป็นประเด็นเลย ไม่บอกให้หมดล่ะว่าถ้าไม่เสีย เงินแล้วก็ต้องลงสามเล่มอยู่ดี แล้วรวมเงินแค่ที่บอกวันละ 120 หรือ 150 มันจะยากอะไรนักหนา เงิน 30 บาทมันไม่เยอะสำหรับฝั่งรับที่เป็นโรงพยาบาล แต่มันมากสำหรับฝั่งจ่ายที่เป็นคนจน ตรงนี้ก็ไม่บอก สงสัยลืมเพราะสมองเริ่มแก่ จะมีแรงไปศึกษาเรื่องการลงบัญชีมั้ยเนี่ย ไม่ใช่งาน เทกระจาดนะลุงหมอ ที่ไม่ต้องทำบัญชีคนรับอะไรเลย เดบิต เครดิต เป็นมั้ยลุงหมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #29 เมื่อ: 13-10-2006, 07:49 » |
|
ถ้าไม่ให้สัมภาษณ์น่าจะดีกว่านี้นะลุงหมอ ที่เดียวกันรักษาแบบแยกบัญชีไม่ว่าจะฟรีหรือไม่ฟรี เค้าก็ต้องลงบัญชีอยู่ดี ไม่งั้นมันแยกกลุ่มคนไข้และประเมินผลไม่ได้ อย่างประกันสังคมโรง พยาบาลยังต้องแยกคลีนิคประกันสังคมไปต่างหากเพื่อบริหารจัดการเลย ปัญหามันอยู่ที่เงิน ไม่พอ คนไม่พอต่างหาก ลงบัญชีสามเล่มไม่ได้เป็นประเด็นเลย ไม่บอกให้หมดล่ะว่าถ้าไม่เสีย เงินแล้วก็ต้องลงสามเล่มอยู่ดี แล้วรวมเงินแค่ที่บอกวันละ 120 หรือ 150 มันจะยากอะไรนักหนา เงิน 30 บาทมันไม่เยอะสำหรับฝั่งรับที่เป็นโรงพยาบาล แต่มันมากสำหรับฝั่งจ่ายที่เป็นคนจน ตรงนี้ก็ไม่บอก สงสัยลืมเพราะสมองเริ่มแก่ จะมีแรงไปศึกษาเรื่องการลงบัญชีมั้ยเนี่ย ไม่ใช่งาน เทกระจาดนะลุงหมอ ที่ไม่ต้องทำบัญชีคนรับอะไรเลย เดบิต เครดิต เป็นมั้ยลุงหมอ
สงสัยไม่เข้าใจระบบธุรกิจ ที่ต้องทำเพื่อป้องกันการโกงไง มีธุรกิจไหนไม่ต้องลงบัญชีมั่ง ในบัญชีจะมีการลงเพื่อบันทึกว่ามีคนไข้มารักษาแบบไม่เสีย 30 เป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่ละคนจ่ายเท่าไหร่ กลุ่มนี้คือพวกที่จ่ายเงินตามจริง แล้วพวกที่เสีย 30 บาท เป็นจำนวนเท่าไหร่ กลุ่มผูสูงอายุที่รักษาฟรีมีจำนวนเท่าไหร่ ในฝบเสร็จเหล่านี้จะมีรายละเอียดของยาแต่ละชนิดและจำนวนที่เบิกจ่ายด้วย ถ้าไม่ลงบัญชี จะไม่สามารถเช็คสต๊อกของยาได้ เกิดมีเภสัชกรบางคน มุบมิบยาไว้ขายก็ไม่ต้องรู้กันเลยสิ บางเดือนไม่ต้องเสียภาษีแต่ทำไมเวลาปลายเดือนต้องยื่นงบจ่าย 0 บาท ด้วยหล่ะ คิดมั่งเด๊ะ หัวมีแต่คันไถรึไง แถอย่างเดียว หัดเอาควายผูกติดให้มันลากไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบหลัง ที่ไม่มีการเรียกเก็บ 30 บาท อาจจะใช้ตัวอ่านบาร์โค๊ดแล้วยิงเก็บข้อมูลอย่างเดียว จากที่ต้องมานั่งลงบัญชีทีละใบ ก็ใช้บาร์โค๊ดยิงเก็บข้อมูล ไปเลยง่ายกว่า ไม่ต้องมาลงรายละเอียดคนไข้เป็นราย ๆ ไป เพราะปัญหาว่าบางคนเสีย 30 บาท บางคนฟรี จากที่ต้องมาเสียเวลากรอกข้อมูลซัก 1 นาที ต่อคน จะลดเวลาลงไปได้มาก 1 นาทีอาจจะได้ ถึง 60-70 คน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายเกตุ
|
 |
« ตอบ #30 เมื่อ: 13-10-2006, 08:04 » |
|
เห็นฤทธ์เดช ครม 1600ปีหรือยัง ดูถูกกันไว้เยอะๆก็ดีครับ
จะได้มีผลงานมาให้ตัวอิจฉาได้กรี๊ดบ่อยๆ
นี่ถ้าเป็นผลงานของท่านทักละก้อ มองต่างมุมเลยละครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #31 เมื่อ: 13-10-2006, 08:18 » |
|
ถ้าไม่ให้สัมภาษณ์น่าจะดีกว่านี้นะลุงหมอ ที่เดียวกันรักษาแบบแยกบัญชีไม่ว่าจะฟรีหรือไม่ฟรี เค้าก็ต้องลงบัญชีอยู่ดี ไม่งั้นมันแยกกลุ่มคนไข้และประเมินผลไม่ได้ อย่างประกันสังคมโรง พยาบาลยังต้องแยกคลีนิคประกันสังคมไปต่างหากเพื่อบริหารจัดการเลย ปัญหามันอยู่ที่เงิน ไม่พอ คนไม่พอต่างหาก ลงบัญชีสามเล่มไม่ได้เป็นประเด็นเลย ไม่บอกให้หมดล่ะว่าถ้าไม่เสีย เงินแล้วก็ต้องลงสามเล่มอยู่ดี แล้วรวมเงินแค่ที่บอกวันละ 120 หรือ 150 มันจะยากอะไรนักหนา เงิน 30 บาทมันไม่เยอะสำหรับฝั่งรับที่เป็นโรงพยาบาล แต่มันมากสำหรับฝั่งจ่ายที่เป็นคนจน ตรงนี้ก็ไม่บอก สงสัยลืมเพราะสมองเริ่มแก่ จะมีแรงไปศึกษาเรื่องการลงบัญชีมั้ยเนี่ย ไม่ใช่งาน เทกระจาดนะลุงหมอ ที่ไม่ต้องทำบัญชีคนรับอะไรเลย เดบิต เครดิต เป็นมั้ยลุงหมอ
สงสัยไม่เข้าใจระบบธุรกิจ ที่ต้องทำเพื่อป้องกันการโกงไง มีธุรกิจไหนไม่ต้องลงบัญชีมั่ง ในบัญชีจะมีการลงเพื่อบันทึกว่ามีคนไข้มารักษาแบบไม่เสีย 30 เป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่ละคนจ่ายเท่าไหร่ กลุ่มนี้คือพวกที่จ่ายเงินตามจริง แล้วพวกที่เสีย 30 บาท เป็นจำนวนเท่าไหร่ กลุ่มผูสูงอายุที่รักษาฟรีมีจำนวนเท่าไหร่ ในฝบเสร็จเหล่านี้จะมีรายละเอียดของยาแต่ละชนิดและจำนวนที่เบิกจ่ายด้วย ถ้าไม่ลงบัญชี จะไม่สามารถเช็คสต๊อกของยาได้ เกิดมีเภสัชกรบางคน มุบมิบยาไว้ขายก็ไม่ต้องรู้กันเลยสิ บางเดือนไม่ต้องเสียภาษีแต่ทำไมเวลาปลายเดือนต้องยื่นงบจ่าย 0 บาท ด้วยหล่ะ คิดมั่งเด๊ะ หัวมีแต่คันไถรึไง แถอย่างเดียว หัดเอาควายผูกติดให้มันลากไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบหลัง ที่ไม่มีการเรียกเก็บ 30 บาท อาจจะใช้ตัวอ่านบาร์โค๊ดแล้วยิงเก็บข้อมูลอย่างเดียว จากที่ต้องมานั่งลงบัญชีทีละใบ ก็ใช้บาร์โค๊ดยิงเก็บข้อมูล ไปเลยง่ายกว่า ไม่ต้องมาลงรายละเอียดคนไข้เป็นราย ๆ ไป เพราะปัญหาว่าบางคนเสีย 30 บาท บางคนฟรี จากที่ต้องมาเสียเวลากรอกข้อมูลซัก 1 นาที ต่อคน จะลดเวลาลงไปได้มาก 1 นาทีอาจจะได้ ถึง 60-70 คน ไม่ได้ฟังสัมภาษณ์มั้งเนี่ย ที่ให้ความเห็นมานี่ไปว่าลุงหมอทั้งนั้นเลยนะ คนที่บอกไม่ต้องลงบัญชีสาม เล่มคือลุงหมอต่างหาก จะสามสิบหรือฟรีก็ต้องลงบัญชีไม่ถูกหรือไง แล้วไอ้บาร์โค้ดเนี่ยมันสามสิบ บาทก็ทำได้ ถ้าฟรีแบบผู้สูงอายุกับฟรีจากหลักประกันสุขภาพไม่แยกยากกว่าเหรอ เค้าคงไม่เอามา รวมกันหรอก ยังไงก็ต้องกรอกแบบฟอร์มอยู่ดี แล้ววันละ 120-150 บาทตามที่ลุงหมอบอกหารแล้ว พึ่งจะ 4-5 คนเอง 60-70 คนไปเอามาจากไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Doss
|
 |
« ตอบ #32 เมื่อ: 13-10-2006, 08:27 » |
|
 เราจะพูดคุยกันโดยการส่อเสียด เอามัน ดีใจสะใจเพราะสิ่งที่โดนทำลายไปนั้นเป็นของฝ่ายตรงข้าม โดยไม่มองถึงปัญหาที่แท้จริงกันเลยหรือไง ครับ โครงการ 30 บาท ห่างไกลโรค โครงการเจ้าปัญหา สำหรับคนที่มีปัญหา นั้นปัญหามันอยู่ที่อะไร ลุงCan บอกเองว่า อยู่ที่ เงินอุดหนุนต่อหัว หรือเงินประกันเหมาจ่าย ซึ่งแต่เดิม อยู่ประมาณ 1400 บาท และถ้าไม่อยากให้โรงพยาบาลเจ๊ง ควรอยู่ที่ 1700 บาท (ตัวเลขกลมๆ) เมื่อรู้สาเหตุแล้ว ทำไม รัฐมนตรี ในรัฐบาลเก่าถึงไม่เพิ่ม มีเหตุอะไรถึงไม่เพิ่ม ...........โอ้ ..ถ้าไม่ให้พูดถึง รัฐบาลชุดเก่า ......... ผมก็จะพูดถึง รัฐมนตรีชุดใหม่ นี้ ทำไม ไม่บอกถึงสาเหตุ หรือต้นเหตุของปัญหา เลยละครับ ว่า รัฐบาลนี้จะเพิ่ม เงินอุดหนุนต่อหัว ให้เพียงพอ เป็น 1700 บาท เท่านี้ก็จะถูกจุดและแก้ปัญหาได้แล้ว พร้อมทั้งประกาศยกเลิก การเก็บเงิน 30 บาท จะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรก็ได้ อันนั้นไม่ใช่ สาระ แต่ ประโยชน์ที่แท้จริงคือความสุขของประชาชน สุขจริงและยั่งยืน  *** ผมเห็นดีด้วยถ้าทุกคน จะไม่ต้องจ่ายเงิน เมื่อต้องเข้าโรงพยาบาล ถึงแม้ทุกวันนี้ ผมจะไม่ต้องจ่าย เพราะ มีสิทธิผู้สูงอายุ อยู่แล้ว ***แต่ การเก็บเงิน 30 บาทนั้นมันมีข้อดี ของตัวมันเองอยู่หลายประการ (จะ 30 บาท หรือ 10 บาทก็ตาม) ก่อนประกาศยกเลิก หรือจะพูดอะไรออกมา น่าจะศึกษาให้เห็นข้อดีข้อเสีย อย่างแท้จริง *** การให้เหตุผล จะยกเลิก เพราะ มันมีมูลค่า ไม่มาก และยุ่งยากในการทำบัญชี นั้น โหลยโท่ย และไม่ใช่เห็นผลเพียงพอ ----การไม่เก็บเงิน ไม่ใช่ว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะไม่ต้องทำบัญชี ไม่ต้องลงบัญทึก มันต้องลงเหมือนกัน เท่ากันกะ ที่ต้องเก็บเงิน 30 บาท *** ของฟรี ไม่มีในโลก ทุกโครงการ ทุกนโยบาย ต้องไม่ทำให้ประชาชนคิดว่ามันเป็นของฟรี ขอให้รัฐบาลใหม่ๆช่วยคิดให้มากๆครับ ถ้าเรามองย้อนไป ทุกโครงการของ รัฐบาลชุดที่แล้ว จะไม่มีของฟรี *** ผมไม่รู้ ว่าจะถูกพูดจากเยาะเย้ย ถากถางอะไร จากพวกเรากันเองดังหลายๆความเห็นข้างบนนั้น ด้วยหรือไม่ ***  **
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
 |
« ตอบ #33 เมื่อ: 13-10-2006, 08:48 » |
|
นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าน่ะ เค้าร่างกันมาตั้งแต่แรกแล้ว
กลับไปอ่านใหม่ดีกว่า คนที่อ้างผลงานเข้าตัวน่ะ มัน ทรท. ไม่ใช่เหรอ
ในฐานะคนสาธารณะสุข เห็นด้วยซะทีที่จะบอกความจริงชาวบ้านได้แล้วว่้า
นโยบายนี้ ไม่ได้มาจากทรท. และความจริงไม่ได้ต้องจ่าย 30 บาท
แต่ปัญหาต่อไป คือ จะบริหารยังไง ให้คุณภาพเหมาะสมกับงบประมาณ
และที่สำคัญต้องไม่สร้างภาพหลอกลวงชาวบ้าน ให้เข้าใจซักทีว่า
ข้าวผัด ของเราไม่ได้ มีทุกอย่าง ทั้งหมู กุ้ง ปลาหมึก แต่ราคา 30 บาท
ย้ำว่า การรักษาคน ต้องการมาตรฐานที่ดี
ดังนั้น ของดีและถูก ไม่มีในโลก การรักษามีราคาของมัน
คนที่อยู่ในภาวะที่ถูกบีบ ให้เอาแต่สิ่งดี ในราคาถูกๆ น่ะมันเดือดร้อนจริงๆ
ที่ต้องไปบอกชาวบ้านว่า ยาเราดีนะ แต่ได้แค่นี้ล่ะ เพราะไม่มีเงิน
นโยบายใครคงไม่สำคัญเท่ากับว่าใครเป็นคนแรกที่นำมา implement ตัวอย่างง่ายๆ ปชป.มีนโยบายให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศตั้งแต่สมัยหม่อมเสนีย์เป็นนายกฯ จบจวนกระทั่งปัจจุบันปาเข้าไปกว่า 30 ปีแล้ว...มีการลงมือกระทำหรือไม่? อีกตัวอย่าง พรรคปชป.เช่นกันมีนโยบายที่จะเก็บภาษีมรดกตั้งแต่สมัยคุณพิชัย แล้วดูซิว่าเกิดขึ้นหรือเปล่า!?!
ประเด็นก็คือ พอสิ่งที่ทรท.เค้าทำดี ก็ไปพยายามดิสเครดิตหาว่าการตลาด ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อรากหญ้าจริงๆ คำว่าการตลาดจึงถูกนำมาใช้อย่างบิดเบือน ที่ถูกต้องควรเป็นการนำนโยบายมาใช้แต่ไม่เกิดประโยชน์ต่อปชช.และรัฐบาลที่นำมาใช้ได้คะแนนเสียง ถามว่า...ถ้า 30 บาทเป็นการตลาดที่ปชช.ไม่ได้รับประโยชน์จริง ทำไมรัฐบาลชุดนี้ถึงไม่ยกเลิกนโยบายทั้งหมดแทนที่จะมักง่ายตัดคำว่า 30 บาทแล้วบอกว่าเป็นการตลาดของอดีตรัฐบาลทักษิณ?!? ไม่แมนเลยหว่ะ...บอกกงๆ!!
ที่สำคัญ อดีตรัฐบาลทักษิณไม่เคยประกาศสักครั้งเกี่ยวกับคุณสมบัติของยาที่ใช้ในโครงการ 30 บาทเพราะเป็นเรื่องของจรรยาบรรณแพทย์ที่ห้ามโอ้อวด คนจนที่ไม่มีเงินรักษาเค้าไม่เรียกร้องหรือโวยวายหรอกครับว่ายาดียาห่วย เห็นมีแต่พวกรวยๆที่มีเงินรักษาเองนั่นแหล่ะที่ออกมาพูดแทนเพราะหวังผลทางการเมือง คุณลองไปถามคนที่เค้าใช้โครงการดังกล่าวบ้างไหมถามจริง!?!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #34 เมื่อ: 13-10-2006, 08:52 » |
|
ใช่แล้ว คนโม้ไม่ได้ทำ ต้องให้เครดิตคนทำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
HILTON (ปาล์มาลี)
|
 |
« ตอบ #35 เมื่อ: 13-10-2006, 10:14 » |
|
พวกลิ่วล้อเหลือเดน คงทนไม่ได้ ที่ 30 บาทโดนแฉ ว่าเก็บตังค์เพื่อเป็นการตลาดเท่านั้น ไม่ได้มีสาระอะไรเลย คราวนี้ชาวบ้านรากหญ้า อ่านหนังสือพิมพ์แล้วคุยกันก็จะรู้ว่าโดนทักษิณ ต้มมาหลายปี ความจริงพวกกรูไม่จำเป็นต้องจ่ายแม้แต่ 30 บาทนี่หว่า  14 ล้านคงเหลือ 0 คน ในเร็วพลัน ว่าแต่พรรคทักษิณมันพรรคอะไรนะ มันจะยุบอยู่แล้วนะ ดันลืมซะได้  ขอเพิ่มเติมนิดคงทนไม่ได้ ที่ 30 บาทโดนแฉ ว่าเก็บตังค์เพื่อเป็นการตลาดเท่านั้น ไม่ได้มีสาระอะไรเลย เพราะแนวทางเดิมคือไม่ต้องเสียค่ารักษาอะไร เพราะเป็นไปตามรัฐธรรมนูลที่ประชาชนมีสิทธิ์เข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การเก็บเงิน เพิ่ม30บาทเป็นการเพิ่มภาระให้กับหน่วยรักษาพยาบาลโดยที่ 30 บาทไม่คุ้มต่อการดำเนินการด้านเอกสาร เพราะ ค่ารักษาเป็นเงินที่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐเป็นรายหัว หัวละ1200 อยู่แล้ว เงินที่ได้ 30 บาทเป็นแค่วิธีการทางการตลาดเพื่อการโฆษณาเท่านั้น คราวนี้ชาวบ้านรากหญ้า อ่านหนังสือพิมพ์แล้วคุยกันก็จะรู้ว่าโดนทักษิณ ต้มมาหลายปี ความจริงพวกกรูไม่จำเป็นต้องจ่ายแม้แต่ 30 บาทนี่หว่า วัวควายเต็มทุ่งกันคราวนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #36 เมื่อ: 13-10-2006, 10:23 » |
|
สามสิบบาทยังแก้ปัญหากันหืด ลุงหมอมาสองวันก็แสวงหาความซวยมาประดับชีวิตซะแล้ว ไปคิดวิธีหาเงินก่อนดีกว่า อย่ามาสร้างผลงานแบบตีปลาหน้าไซแถวนี้เลย อายเด็กน่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Limmy
|
 |
« ตอบ #37 เมื่อ: 13-10-2006, 11:06 » |
|
มาอีกแล้วครับท่าน... สุดยอดเมนูระดับโลกจากเชฟเหลี่ยม กับสุดยอดตำรับอร่อย "ต้มรากหญ้า" เมนูต่อไป โปรดติดตามเร็ว ๆ นี้ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
 |
« ตอบ #38 เมื่อ: 13-10-2006, 11:26 » |
|
สงสัยไม่เข้าใจระบบธุรกิจ ที่ต้องทำเพื่อป้องกันการโกงไง มีธุรกิจไหนไม่ต้องลงบัญชีมั่ง ในบัญชีจะมีการลงเพื่อบันทึกว่ามีคนไข้มารักษาแบบไม่เสีย 30 เป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่ละคนจ่ายเท่าไหร่ กลุ่มนี้คือพวกที่จ่ายเงินตามจริง แล้วพวกที่เสีย 30 บาท เป็นจำนวนเท่าไหร่ กลุ่มผูสูงอายุที่รักษาฟรีมีจำนวนเท่าไหร่ ในฝบเสร็จเหล่านี้จะมีรายละเอียดของยาแต่ละชนิดและจำนวนที่เบิกจ่ายด้วย ถ้าไม่ลงบัญชี จะไม่สามารถเช็คสต๊อกของยาได้ เกิดมีเภสัชกรบางคน มุบมิบยาไว้ขายก็ไม่ต้องรู้กันเลยสิ บางเดือนไม่ต้องเสียภาษีแต่ทำไมเวลาปลายเดือนต้องยื่นงบจ่าย 0 บาท ด้วยหล่ะ คิดมั่งเด๊ะ หัวมีแต่คันไถรึไง แถอย่างเดียว หัดเอาควายผูกติดให้มันลากไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบหลัง ที่ไม่มีการเรียกเก็บ 30 บาท อาจจะใช้ตัวอ่านบาร์โค๊ดแล้วยิงเก็บข้อมูลอย่างเดียว จากที่ต้องมานั่งลงบัญชีทีละใบ ก็ใช้บาร์โค๊ดยิงเก็บข้อมูล ไปเลยง่ายกว่า ไม่ต้องมาลงรายละเอียดคนไข้เป็นราย ๆ ไป เพราะปัญหาว่าบางคนเสีย 30 บาท บางคนฟรี จากที่ต้องมาเสียเวลากรอกข้อมูลซัก 1 นาที ต่อคน จะลดเวลาลงไปได้มาก 1 นาทีอาจจะได้ ถึง 60-70 คน
มีหมอ/พยาบาลที่ไหนในโลกมานั่งลงบัญชีเองบ้าง? เค้ามีแต่จ้างเสมียนที่หน้าเคาเตอร์ แม้แต่ระดับหมู่บ้านยังมีเสมียนทำงานที่สถานีแพทย์ประจำหมู่บ้านเลย พวกคนเมืองนั่งหน้าจอคอมฯไม่รู้เรื่องรู้ราว
ถูกแหกตาซ้ำซาก...ไม่อายตัวเองรึไงน๊ะ!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #39 เมื่อ: 13-10-2006, 18:49 » |
|
โถ คิดไปได้ ถ้าเป็นฟรี จะลดจำนวนเสมียน หรือนักบัญชีลงไปได้เท่าไหร่ งบประมาณก็จ่ายน้อยลง คนพวกนี้ก็เอาไปไว้ที่กรมสรรพากรซะสิ เวลารีดภาษีมันจะได้ไม่ตกหล่น ใช้คนให้เหมาะกับงาน ลดปริมาณงานที่ซ้ำซ้อน มันเป็นหลักพื้นฐานในการบริหารองค์กร แค่นี้ยังไม่รู้แล้วยังแถไปอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #40 เมื่อ: 13-10-2006, 20:38 » |
|
โถ คิดไปได้ ถ้าเป็นฟรี จะลดจำนวนเสมียน หรือนักบัญชีลงไปได้เท่าไหร่ งบประมาณก็จ่ายน้อยลง คนพวกนี้ก็เอาไปไว้ที่กรมสรรพากรซะสิ เวลารีดภาษีมันจะได้ไม่ตกหล่น ใช้คนให้เหมาะกับงาน ลดปริมาณงานที่ซ้ำซ้อน มันเป็นหลักพื้นฐานในการบริหารองค์กร แค่นี้ยังไม่รู้แล้วยังแถไปอีก
ที่แท้ก็ไม่ได้รู้เรื่องบัญชีเลย ฟรียังไงก็ต้องทำบัญชี เครดิตรายรับจากค่ารักษาพยาบาล เดบิตบัญชีประเภทลูกหนี้ค้างรับ แล้วค่อยเอาไปหักตอนเคลียร์เป็นรายหัว ถ้ารายรับเป็นรายหัวไม่พอก็ต้องหักเป็นขาดทุน เสมียนบัญชีมันลดไม่ได้นะคับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
(ก้อนหิน) ละเมอ
|
 |
« ตอบ #41 เมื่อ: 13-10-2006, 20:51 » |
|
โถ คิดไปได้ ถ้าเป็นฟรี จะลดจำนวนเสมียน หรือนักบัญชีลงไปได้เท่าไหร่ งบประมาณก็จ่ายน้อยลง คนพวกนี้ก็เอาไปไว้ที่กรมสรรพากรซะสิ เวลารีดภาษีมันจะได้ไม่ตกหล่น ใช้คนให้เหมาะกับงาน ลดปริมาณงานที่ซ้ำซ้อน มันเป็นหลักพื้นฐานในการบริหารองค์กร แค่นี้ยังไม่รู้แล้วยังแถไปอีก
ที่แท้ก็ไม่ได้รู้เรื่องบัญชีเลย ฟรียังไงก็ต้องทำบัญชี เครดิตรายรับจากค่ารักษาพยาบาล เดบิตบัญชีประเภทลูกหนี้ค้างรับ แล้วค่อยเอาไปหักตอนเคลียร์เป็นรายหัว ถ้ารายรับเป็นรายหัวไม่พอก็ต้องหักเป็นขาดทุน เสมียนบัญชีมันลดไม่ได้นะคับ แต่ถ้าไม่ได้เก็บ มันก็จะลดขั้นตอนการรับบริการของคนไข้ได้ ไม่ต้องเดินไปฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ฝ่ายการเงินต่างๆ ก็จะได้ลดงานลงด้วย...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #42 เมื่อ: 13-10-2006, 21:31 » |
|
โถ คิดไปได้ ถ้าเป็นฟรี จะลดจำนวนเสมียน หรือนักบัญชีลงไปได้เท่าไหร่ งบประมาณก็จ่ายน้อยลง คนพวกนี้ก็เอาไปไว้ที่กรมสรรพากรซะสิ เวลารีดภาษีมันจะได้ไม่ตกหล่น ใช้คนให้เหมาะกับงาน ลดปริมาณงานที่ซ้ำซ้อน มันเป็นหลักพื้นฐานในการบริหารองค์กร แค่นี้ยังไม่รู้แล้วยังแถไปอีก
ที่แท้ก็ไม่ได้รู้เรื่องบัญชีเลย ฟรียังไงก็ต้องทำบัญชี เครดิตรายรับจากค่ารักษาพยาบาล เดบิตบัญชีประเภทลูกหนี้ค้างรับ แล้วค่อยเอาไปหักตอนเคลียร์เป็นรายหัว ถ้ารายรับเป็นรายหัวไม่พอก็ต้องหักเป็นขาดทุน เสมียนบัญชีมันลดไม่ได้นะคับ แต่ถ้าไม่ได้เก็บ มันก็จะลดขั้นตอนการรับบริการของคนไข้ได้ ไม่ต้องเดินไปฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ฝ่ายการเงินต่างๆ ก็จะได้ลดงานลงด้วย... ลุงหมอบอกว่า เงินที่ได้วันหนึ่งบางแห่งได้ 120 บาท บางแห่งได้ 150 บาท คิดแล้วก็สี่หรือห้าคนเอง มันจะลดงานได้กี่น้ำ คำพูดก็ขัดกันเองอยู่แล้วลุงหมอเอ๊ย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
(ก้อนหิน) ละเมอ
|
 |
« ตอบ #43 เมื่อ: 13-10-2006, 21:55 » |
|
โถ คิดไปได้ ถ้าเป็นฟรี จะลดจำนวนเสมียน หรือนักบัญชีลงไปได้เท่าไหร่ งบประมาณก็จ่ายน้อยลง คนพวกนี้ก็เอาไปไว้ที่กรมสรรพากรซะสิ เวลารีดภาษีมันจะได้ไม่ตกหล่น ใช้คนให้เหมาะกับงาน ลดปริมาณงานที่ซ้ำซ้อน มันเป็นหลักพื้นฐานในการบริหารองค์กร แค่นี้ยังไม่รู้แล้วยังแถไปอีก
ที่แท้ก็ไม่ได้รู้เรื่องบัญชีเลย ฟรียังไงก็ต้องทำบัญชี เครดิตรายรับจากค่ารักษาพยาบาล เดบิตบัญชีประเภทลูกหนี้ค้างรับ แล้วค่อยเอาไปหักตอนเคลียร์เป็นรายหัว ถ้ารายรับเป็นรายหัวไม่พอก็ต้องหักเป็นขาดทุน เสมียนบัญชีมันลดไม่ได้นะคับ แต่ถ้าไม่ได้เก็บ มันก็จะลดขั้นตอนการรับบริการของคนไข้ได้ ไม่ต้องเดินไปฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ ฝ่ายการเงินต่างๆ ก็จะได้ลดงานลงด้วย... ลุงหมอบอกว่า เงินที่ได้วันหนึ่งบางแห่งได้ 120 บาท บางแห่งได้ 150 บาท คิดแล้วก็สี่หรือห้าคนเอง มันจะลดงานได้กี่น้ำ คำพูดก็ขัดกันเองอยู่แล้วลุงหมอเอ๊ย สงสัยคุณจะอ่านข้ามคำว่า "บางแห่ง" แต่ รพ. บางแห่ง มันคนเป็นพันเป็นหมื่นต่อคนนะครับ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #44 เมื่อ: 13-10-2006, 22:59 » |
|
โถ คิดไปได้ ถ้าเป็นฟรี จะลดจำนวนเสมียน หรือนักบัญชีลงไปได้เท่าไหร่ งบประมาณก็จ่ายน้อยลง คนพวกนี้ก็เอาไปไว้ที่กรมสรรพากรซะสิ เวลารีดภาษีมันจะได้ไม่ตกหล่น ใช้คนให้เหมาะกับงาน ลดปริมาณงานที่ซ้ำซ้อน มันเป็นหลักพื้นฐานในการบริหารองค์กร แค่นี้ยังไม่รู้แล้วยังแถไปอีก
ที่แท้ก็ไม่ได้รู้เรื่องบัญชีเลย ฟรียังไงก็ต้องทำบัญชี เครดิตรายรับจากค่ารักษาพยาบาล เดบิตบัญชีประเภท ลูกหนี้ค้างรับแล้วค่อยเอาไปหักตอนเคลียร์เป็นรายหัว ถ้ารายรับเป็นรายหัวไม่พอก็ต้องหักเป็นขาดทุน เสมียนบัญชีมันลดไม่ได้นะคับ ไม่น่ามาโชว์เลย ลูกหนี้ค้างรับ ไม่มีในหมวดบัญชี ไปขุดมาจากไหนแถมคำมันกำกวมยังไงไม่รู้ ลูกหนี้ เข้าใจความหมายมั้ย เวลาลงเขาใช้ รายได้ค้างรับ (หมวด 1 สินทรัพย์หมุนเวียน) ผมมันไม่ค่อยรู่เรื่องบัญชีหรอกนะ แต่ช่วยแนะนำคุณได้ ลูกหนี้ สรุปง่ายๆ คือคนที่มันติดเงินคุณอยู่ แล้วจะให้มันค้างรับอะไร โถ อุตส่าห์แถทั้งทีก็ให้ข้อมูลมันแน่น ๆ หน่อยสิ 
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2006, 23:03 โดย THX »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Killer
|
 |
« ตอบ #45 เมื่อ: 13-10-2006, 23:57 » |
|
ไอ้หมอนี่ใจกล้าหน้าด้านมาก...โผล่มาไม่รู้สากกระเบืออะไร
จะยกเลิกท่าเดียว ให้สัมภาษณ์ ก็ตะกุกตะกัก โง่ๆเซ่อๆ
แต่กระแดะมาเป็นรัฐมนตรี
งบฯ 30 บาท ทั้งระบบปีนึง 100,000 ล้าน
มันบอกหน้าตาเฉย 200,000 ล้าน....
ต้องยกเลิกซะ แต่ลิ้นอีกแฉกนึงมันกลับบอกว่า
โครงการนี้ ทำให้คนไข้ไหลเข้าระบบเพิ่มมากขึ้นถึง 60%
พูดเป็นนัยๆว่าไม่เห็นด้วย อยากยกเลิกมันทิ้งด้วยซ้ำ
แต่กลัวโดนรุมประชาตรีนนน...เลยไม่กล้า
ทำได้แค่ ดิสเครดิต ทำลายม็อตโต้ ไทยรักไทย ตามสันดานต่ำๆของมัน
สติปัญญาไม่เคยคิดอ่านเหียกอะไรให้กับประชาชนเลย
พอคนเค้าคิดค้นทำกันขึ้นมา แทนที่มันจะต่อยอด
กลับอิจฉาริษยา จ้องแต่จะทำลายล้าง
มิน่าประเทศนี้แมร่งถึงไม่เจริญ ....ถุยส์ส์ส์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ooo
|
 |
« ตอบ #46 เมื่อ: 14-10-2006, 00:47 » |
|
อย่างที่หลายๆท่านว่าละครับ จะเก็บหรือไม่เก็บไม่ใช่ปัญหา
ขอให้สนับสนุนงบฯให้พอก็แล้วกัน ไม่งั้นปัญหาก็คงเหมือนเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Iona
|
 |
« ตอบ #47 เมื่อ: 14-10-2006, 01:41 » |
|
ปัญหาของการเก็บ30บาทคือ ทำให้ต้องเสียเวลากับระบบจัดเก็บวุ่นวายปริมาณงานโหลดจำนวนบุคลากร ทั้งที่เงินจำนวนที่เก็บได้นั้นน้อยจนไม่ช่วยอะไรกับระบบ (เมื่อรู้ปัญหาควรแก้ไขแบบไหน? ให้ระบบทำงานได้รวดเร็วขึ้นและมีปริมาณงานที่ไม่จำเป็นลดลง) (แถอยู่นั้น กลุ่มคนรักทักษิณ อยากจ่าย30บาทเหลือเกิน <<< ใครต้องการจ่ายเพื่อแม้ว ยกมือขึ้น)
เรื่องเงินเก็บ30บาทนั้น ไม่ได้ช่วยเรื่องการลดจำนวนคนไปรับการรักษาแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับเวลาที่ต้องเสียจากการรอ (ถ้าคุณเจ็บป่วยคุณต้องการรอนานหรือ?) (หรือคุณงานว่างมาก จะไปนั่งต่อคิวเพื่อรอรับการรักษาเล่นๆโดยตั้งกระทู้เชียร์ทักษิณไปพลางๆ ทั้งที่คนในเมืองเค้าไม่เอาทักษิณ ก็เขียนให้เค้าอ่าน จนทั้งเลี่ยนทั้งเบื่อหรือไง?)
ปล.เบื่อกระทู้ไม่สร้างสรรค์เพื่อสังคมส่วนรวม เอาแต่เชียร์ทักษิณและกล่าวหาฝ่ายอื่นๆแบบไร้เหตุผล (ต้องขอโทษที่เขียนต่อตรงนี้ เพราะเบื่อมากจริงๆ) เวลานี้คนไทยในส่วนต่างๆเค้าช่วยกันคิดว่า รัฐธรรมมนูญฉบับปี40 มีปัญหาทำให้เกิดความติดขัดล่าช้าตรงไหน เพื่อจะได้แก้ไขให้เกิดสิ่งที่ดีและเป็นธรรมต่อส่วนรวม และช่วยกันค้นหารูปแบบของปัญหาอื่นๆ ช่วยกันคิดหาทางป้องกันและแก้ไขจากความผิดพลาดที่ผ่านมา เพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่าต่อทุกๆคน
แล้วพวกคุณที่เชียร์ทักษิณกำลังทำอะไร? (ทำเพื่อแค่วันนี้หรือทำเพื่อวันพรุ่งนี้ต่อๆไป ประเทศชาติไม่ได้มีนายกแค่คนเดียวที่ชื่อทักษิณแน่นอน ลองคิดดู)
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2006, 02:24 โดย Iona »
|
บันทึกการเข้า
|
เงินงบประมาณของประเทศที่นำไปใช้จ่ายต่างๆ มาจาก การจัดเก็บภาษีที่เราประชาชนคนไทยทุกคนต้องจ่ายกันอยู่แล้วทั้งจากภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม(vet 7) (ขอย้ำว่าทุกคนเพราะเมื่อเราได้ซื้อสินค้าใดๆ สินค้านั้นยอมมีต้นทุนมาจากการเสียภาษีแล้ว) หรือจากการจัดเก็บจากทรัพย์สินส่วนรวมของคนไทยทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราปกป้องรักษา ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน แผ่นน้ำ ใต้แผ่นดิน ใต้แผ่นน้ำ ท้องฟ้า อวกาศ
เงินงบประมาณของประเทศ ไม่ได้มาจากเงินของคนใดคนหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่มีใครสมควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างว่าเงินนี้เป็นของตนนำมาแจกจ่าย การแอบอ้างนั้น เป็นการกระทำที่ไร้จริยธรรม และไม่ยุติธรรมต่อความรู้ของทุกๆคนในประเทศที่ต้องเสียภาษี
อย่าโทษหรือด่าว่า คนที่เค้าไม่มีโอกาศเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ปัญหาจะแก้ได้คือ ทำอย่างไรให้เค้าเหล่านั้น ได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล
หลอกคนไทยตลอดไป คิดว่าหลอกได้หรือ? รัฐบาลของทักษิณ
เป็นเรื่องแปลก...สิ่งที่คนโกงกลัวที่สุดคือ ....ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใช้เงินที่โกงมา? ประวัติศาสตร์โลกมีให้เห็น
|
|
|
Killer
|
 |
« ตอบ #48 เมื่อ: 14-10-2006, 01:47 » |
|
ที่เขาเก็บ 30 บาท ก็เป็นเทคนิคในการเก็บสถิติ ของงาน ADMIN เค้า
รมต.มันแก่เกินแกง ไร้สติปัญญา ไม่รู้เรื่องแล้วซี้ซั๊วะ พูด
ก่อนจะออกมาให้ความเห็นอะไร มันควรไปศึกษามาให้เรียบร้อยเสียก่อน
คนสัมภาษณ์เอง ยังขำ ในความไร้เดียงสาของหมอนี่
นี่แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เพียงแต่ได้รับธงมาให้จัดการกับ
ม็อตโต้ หาเสียงของพรรคไทยรักไทยก็เทานั้นแหละไม่มีอะไรมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #49 เมื่อ: 14-10-2006, 01:53 » |
|
ที่เขาเก็บ 30 บาท ก็เป็นเทคนิคในการเก็บสถิติ ของงาน ADMIN เค้า
รมต.มันแก่เกินแกง ไร้สติปัญญา ไม่รู้เรื่องแล้วซี้ซั๊วะ พูด
ก่อนจะออกมาให้ความเห็นอะไร มันควรไปศึกษามาให้เรียบร้อยเสียก่อน
คนสัมภาษณ์เอง ยังขำ ในความไร้เดียงสาของหมอนี่
นี่แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เพียงแต่ได้รับธงมาให้จัดการกับ
ม็อตโต้ หาเสียงของพรรคไทยรักไทยก็เทานั้นแหละไม่มีอะไรมาก
เจ็บใจหล้ะสิ หรือขี้อิจฉา แต่ก็ทำอะไรไมได้ เพราะไอเหลี่ยมไม่อยู่ ไม่พอใจ ก็ไปฟ้องลูกพี่ที่ลอนดอนไป คนอื่นเขาพอใจกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|