ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 04:56
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  การเมืองไทยเครื่องมือในการพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
การเมืองไทยเครื่องมือในการพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา  (อ่าน 1031 ครั้ง)
narong
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654



เว็บไซต์
« เมื่อ: 23-04-2006, 14:26 »

บทความนี้ขออนุญาติจากผู้เขียนแล้วครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน

หลังจากที่กระผมได้ “เว้นวรรค”การเขียนบทความไปตั้งแต่การเลือกสมาชิกสภาสูงไปก็ได้มาเขียนบทความอีกทีหนึ่งก็วันนี้
เอาล่ะ มาถึงตอนนี้กระผมคงจะไม่ต้องเขียนสาธยายหน้าตาและความเหลวแหลกหลังการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแล้วกระมัง
เพราะทุกอย่างชัดเจนทั้งในด้านรูปธรรม และนามธรรม ว่าไปแล้วก็อดเสียไม่ได้ ก็ขอว่ากันหน่อยสักนิดนึงครับ
คือ หน้าตาและรากเหง้าของแต่ละท่านที่ถูกเลือกมาเป็นส่วนใหญ่แทบจะกินทั้งสภาก็ว่าได้
เหล่านี้ล้วนแต่สะท้อนสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี 

อนึ่ง ผลการเลือกตั้งทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมารวมถึงสภาสูงคราล่าสุด ได้ชี้ชัดถึงระบบที่ฝรั่งของเรียกว่า Power Politics คือ
การกระทำของนักการเมืองที่ใฝ่หาอำนาจทางการเมืองเป็นสำคัญแต่อย่างเดียว
มองเป้าหมายเพ่งไปที่อำนาจและเกียรติคุณเป็นจุดปลายทาง โดยมิใช่การกระทำเพื่อคุณประโยชน์ของชาติเป็นหลักใหญ่สำคัญ

เมื่อเป็นเช่นนี้ การตรวจสอบ และหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่ได้วางกลไกกันเอาไว้ก็ทำไม่ได้
เพราะนักการเมืองเหล่าจำพวกนั้น(ทราบกันดีนี่ว่ากลุ่มใดหน้ากลมหน้าเหลี่ยมก็ไม่รู้ล่ะ)
ก็จะทำทุกอย่างที่จะทำให้ตนและพรรคพวกได้มาซึ่งอำนาจและการผูกขาดอำนาจก็จะติดตาม

เพราะหากกุมสภานิติบัญญัติได้เสียแล้ว ฝ่ายบริหารจะเต้นแร้งเต้นกา หรือจะทำบัดสีเลวยำยำอย่างไรก็คงจะไม่มีใครมาปราม
และตนก็ไม่ต้องเกรงอันใด ฝ่ายค้านตอนนี้ก็มีเพียงคนเดียวนี่  จะยกมือหรือยืนขึ้นแนะนำตัวยังประหม่าใจเลย  ถ้าคุมสภาสูงได้อีก
แหม อะไรก็ของข้า ข้าใหญ่ที่สุด  ดังนั้น การเมืองที่บุคคลจะมาสวมหัวโขนนั้นก็คงจะวนเวียนเร่ร่อนในสภาอีกนานชั่วกัลป์
ดั่งสัมภเวสีที่ละวางอันใดไม่ได้ก็คงวนเวียนอยู่ที่นั้น ๆ และสภาก็จะกลายไปเป็นสภาสืบทอดอำนาจ
ใครสกุลเดียวกับข้า เอ็งได้เกิด เป็นงั้นไป

ดังนั้น ท่านผู้อ่านครับ การเมืองที่นักการเมืองในยุคนี้และอดีตเขาก็เล่นการเมืองแบบ   Power Politics ที่ว่ามานี้ล่ะครับ
เพราะอะไร สิ่งที่กระผมจะนำมาสะท้อนคือ

การที่สมาชิกสภาสูงชุดเลือกตั้ง ชุดที่สองนี้ ภาพออกมาอย่างชัดเจนเสียเหลือเกินครับว่าล้วนแต่มาจากอำนาจจากฝ่ายใด
ผู้สมัครสว.อาศัยฐานอำนาจ ฐานเสียงจากแหล่งใด อันนี้คงจะทราบกัน
นี่ชี้ชัดครับว่าสภาล่างห่วงอำนาจในอุ้งเท้าของตนจนเสียขาสั่นจนต้องส่งโคตรวงศ์ของตนลงมาตีปี๊บ
ซื้อเสียงเชียร์กันจ้าละหวั่น ตามียายมาเขาก็เลือกตามคำบอกของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
เกณฑ์กันไปเสียกระนั้น

ดังนั้นจึ่งไม่น่าแปลกใจเลยครับ สำหรับหน้าตาของ สว.ชุดนี้ สภาพการณ์ต่อไปก็คงจะมีเพียงภาพเดิม ๆ ก็คือ
การเอื้อเฟื้อผลประโยชน์กันภายใต้ร่มผ้า แทนที่จะเดินกันตามกลไกที่กระทำการด้วยความบริสุทธิ์
การใช้อำนาจรัฐก็มั่วซั่วลามปามไปถึงสภาสูงในที่สุดก็คงจะต้องบัญญัติศัพท์ใหม่
คือจากเดิมสภาผู้แทน กับ สภาวุฒิ รวมกันเดิมเรียกรัฐสภา
มาคราวนี้ยุคนี้น่าจะปรับให้เข้ากับกระบวนการและพฤติการณ์ ก็คือน่าจะเรียกไปเป็น “สภาฮั้ว”กันเสียเลย  เป็นคำที่ตรงดี

เมื่อสอนลูกสอนหลานรุ่นสืบไป จะได้ไม่ต้องอธิบายความให้มากนักว่า สว. รวม สส.เป็นรัฐสภา
ปรับเป็นสูตรใหม่จำเอาง่าย ๆ คือ ส.ว.กับ ส.ส.สองสภาเรียกรวมเป็น ส.ฮ. และคงต้องนิยามหน้าที่ของ สว. กันเสียใหม่
จากเดิมสมาชิกวุฒิสภา ควรจะปรับไปเป็น สมาชิกวังจันทร์ส่องหล้า และสส.ก็คงจะต้องปรับคำแปลเช่นกัน

เพื่อให้ทัดเทียมเหมือนกันคือจาก สส. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปรับไปเป็น สมาชิกสภาสรรหาผลประโยชน์จากราษฎร นี่ล่ะครับ
เราคงจะต้องยกเครื่องปรับปรุงหลักสูตรการศึกษากันเสียใหม่ บัญญัติคำให้ถูกต้อง
เพื่อไม่ให้เด็กนักเรียนเกิดสับสนในพฤติกรรมของพวกตระไรในสภาเหล่านั้น ว่าเอ?
ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนสงสัยจะสอนวิปลาสไปเสียแล้วกระมัง ทั้ง ๆ ที่สอนเราว่า สว. ทำหน้าที่อิสระ
กลั่นกรองกฎหมายจากสภาล่างและคอยตรวจสอบตรวจตราสภาล่าง และยืดหยัดอยู่ด้วยความเป็นธรรม

ส่วน สส. มีหน้าที่คอยดูแลรักษาผลประโยชน์ให้แก่ประชาชน และใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อผลประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน
แต่สิ่งที่หนู ๆ(เด็กนร.)เห็น ก็คงจะมีแต่การจัดสรรปันส่วนเงินงบประมาณแผ่นดินกันใช้จ่ายกันภายในก๊กในวัง  ในมุ้ง  ของ สว.
ก็เห็นว่าคอยรับเงินเดือนจากพรรคการเมือง นั่นก็คืออ้ายพวกสภาล่างนั่นล่ะ  หนู ๆ เด็ก ๆ ทั้งหลายคงจะงงไปกันจ้าล่ะหวั่น
เพราะไหงอาจารย์ที่โรงเรียนเสี้ยมสอนว่า สว.เป็นสภาอิสระไง
แล้วเหตุไฉนจึ่งยังรับเงินเดือนจากฝ่ายที่ตนจะต้องเข้าไปตรวจสอบเสียซะล่ะ ทีนี้ก็งงสิครับ
ดังนั้น กระผมเห็นว่าในเมื่อภาพจริงเป็นเสียเช่นนี้ ก็ปรับหลักสูตรกับไปให้ชัดเจนเสียเลย

เพื่อหนู ๆ ทั้งหลายจะได้ไม่สับสนในเนื้อหาจากตำราและของจิงที่เห็น ๆ อยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์  เฮ้อ เหนื่อยแทน
จากที่กระผมได้ว่ามานั้นก็มาจากการที่บรรดาญาติสนิทมิตรสหาย  อดีตผู้ว่าฯ  อดีตนักการเมือง  อดีตขี้ข้า
มารุมสุมกันเข้าสภากันเสียมลภาวะกากเดนเต็มสภาหึ่งไปเสียหมด
บันทึกการเข้า

ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
narong
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 23-04-2006, 14:33 »

แล้วทีนี้ก็คงเหนื่อยล่ะครับกับการจะต้องนั่งนับเวลาให้รีบ ๆ ผ่านไปอีกหกปี
ให้อ้ายพวกกากเดนในสภา(ที่ดีก็มีแต่น้อยนัก)เหล่านั้นออกมาเสียให้ไปไกล ๆ  มาจาก  รูไหนก็กลับไปที่รูนั้น
ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ทราบว่าจะทำเสียอย่างไร  เพราะการเมืองจะเลวทรามอย่างไรก็อยู่ที่ประชาชนนั่นล่ะครับ ว่าสภาพเป็นอย่างไร
ดั่งที่ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ท่านได้กล่าวไว้ว่า 

“ตามปกติคุณภาพของการปกครองนั้น  ย่อมขึ้นต่อคุณภาพของผู้ปกครองเป็นสำคัญ
ในเมื่อประชาชนมาเป็นผู้ปกครอง  ประชาธิปไตยจะมีคุณภาพแค่ไหนก็อยู่ที่คุณภาพของประชาชน...ประชาชนมีคุณภาพดี
ประชาธิปไตยก็มีคุณภาพดีด้วย  ถ้าประชาธิปไตยมีคุณภาพต่ำ  ประชาธิปไตยก็จะเป็นประชาธิปไตยอย่างเลวด้วย
เพราะว่าคุณภาพของประชาธิปไตยขึ้นต่อคุณภาพของประชาชน” 

“การกล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่า ประเทศที่มีประชาชนที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ควรปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
เพราะมนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้  และคงไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะรู้เรื่องการเมืองมาตั้งแต่เกิด
แต่มนุษย์ต้องเรียนรู้เอาภายหลังทั้งสิ้น  ประเทศที่จะปกครองด้วยประชาธิปไตยให้ได้ผลดี
จึงจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ประชาชนเรียนรู้เรื่องการเมืองให้ได้เป็นอย่างดีทั้งสิ้น”

“หากพิจารณาเพียงผิวเผิน คนไทยทั่วไปก็จะเกิดความหวังอย่างมากกว่า
เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วการเมืองไทยคงจะดีขึ้นอย่างแน่นอน...
แต่หากได้พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าลำพังแต่มาตรการต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญคงไม่เพียงพอที่จะปฏิรูปการเมืองได้
ถึงเวลาแล้วหรือยัง...?...ที่เราจะต้องเร่งพัฒนาคุณภาพของประชาชนอย่างจริงจัง
. ..โดยที่พวกเราจะต้องพัฒนาตัวเราเองด้วย  กล่าวคือพวกเราต้องหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
เพื่อเป็นประชาชนที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตย”

(พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), การศึกษาเครื่องมือพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา, ๒๕๓๙)


จากบทความของท่านพระธรรมปิฎกก็กินใจและถี่ถ้วนทุกกระบวนความเสียแล้วครับ  ว่าอะไรเป็นอะไร
คงจะไม่ต้องว่าเสริมขยายความให้ยืดต่อไปอีก  กระนั้นเราจะเห็นได้ครับว่า ประชาธิปไตยจวบจนมาเจ็ดสิบสี่ขวบ
ประชาชนก็ยังไม่พร้อมอยู่อีกเช่นเดิม   ซึ่งพัฒนาการของประชาชนต้องยอมรับครับว่าเป็นไปอย่างเชื่องช้าเอามากนัก

เพราะกลุ่มความรู้เมื่อเจ็ดสิบสี่ปีที่แล้ว กระจุกตัวอยู่ที่บรรดาคนชั้นสูง  กลุ่มราชนิกุล  และระยะเวลาผ่านมาเกือบแปดสิบปี
กลุ่มความรู้ได้ขยายมาลามมาถึงกลุ่มคนชั้นกลางเป็นบางส่วน  ซึ่งความเป็นจริงตามหลักการแล้ว  ประชาชน
สมควรที่จะมีพัฒนาการความรู้ ควรจะต้องลามไปสู่รากหญ้าเสียได้แล้ว

ที่การเจริญเติบโตทางความรู้การศึกษาของประชาชนเป็นไปอย่างต้วมเตี้ยมก็เป็นเพราะการมุ่งแสวงหาอำนาจของกลุ่มอาชีพ
ที่เรียกกันว่านักการเมือง ซึ่งตอนนี้ถูกกลุ่มของนักการตลาดสวมร่างอยู่  ทำให้การแสวงหาอามิส และ ตัวเลขเป็นไปอย่างอิ่มหมีพลีมันส์
จนกระทั่งขาดการเอาใจใส่ในด้านของการพัฒนาการศึกษา  การพัฒนาคนเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก

จะว่าไปแล้วหากพลเมืองไทยหมั่นศึกษาหาความรู้กันอย่างถ้วนหน้า เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นประชาชนที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิไตย
มิใช่จะอยู่รอนับถอยหลังวันที่จะต้องนอนลงให้เขาเอาดินกลบหน้า  เกิดเป็นมนุษย์เสียทีจะให้คุณประโยชน์ทั้งทีก็ตอนตาย
คือ ปล่อยให้ตนเป็นเพียงอาหารของวัชพืชไปเสียเท่านั้น  การเป็นประชาชนตามวิถีประชาธิปไตยนั้น จะละเลยอยู่ดั่งเช่นปัจจุบันนี้มิได้เลยครับ
น่าห่วงเสียเอามากเชียวล่ะ เพราะประชาชนคอยหวังพึ่งนักการเมือง  ทั้ง ๆ ที่พึ่งเอาเสียทีเดียวไม่ได้

เพราะจะกลายไปเป็นอำนาจที่กระจุกตัว  ดั่งที่เรียกกันว่า การเมืองเป็นเรื่องของกลุ่มอาชีพหนึ่ง ๆ เท่านั้น
และหากเราปล่อยปละให้เป็นเช่นนั้น  อย่าว่าแต่พัฒนาการทางการเมืองเลย  แม้แต่ประชาชนเองก็จะเอาตัวไม่รอด
เพราะหากรอให้หยั่งรากลึกลงไปมากกว่านี้ ประชาชนก็จะอยู่ในสภาที่เรียกได้ว่าทุพพลภาพ  คือพึ่งตัวเองไม่ได้เสียแล้ว
ที่พึ่งข้ามีเพียงผู้เดียวคือผู้นำ  ซึ่งความจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ในสังคมประชาธิปไตย

และหากท่านอยากให้เป็นเช่นนั้นก็คงจะต้องไปอยู่ในรูปแบบของเผด็จการ ซึ่งมีให้ท่านอยู่สองแบบคือ
แบบอำนาจนิยมทางการทหาร  และแบบคอมมิวนิสต์  ฟาสต์ซิสต์อะไรก็ว่าเอา   เลือกเอาเถิด  เพราะท้ายสุด
หากเรายังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานก็คงต้องหันไปพึ่งลัทธิเหล่านั้น

แต่เดชะบุญด้วยพระบารมีแห่งองค์พระกษัตรา ยังค้ำจุนให้ปวงชนผองไทยยังยืนหยัดอยู่ในระบอบแบบประชาธิปไตยนี้ยังคงอยู่ได้
ตราบใดที่เรายังยึดมั่นในสถาบัน

อย่างไรก็ดี กระผมขอฝากโคลงสี่สุภาพบทหนึ่งของท่านอาจารย์ป๋วย  อึ้งภากรณ์  ที่ท่านประพันธ์เอาไว้เพื่อเอาไว้ระลึกเสมอว่าเกิดมาทั้งทีอย่าให้สูญเปล่า
กระผมเองขอลาไปด้วยโคลงบทนี้ครับ


กูชายชาญชาติเชื้อ ชาตรี
กูเกิดมาก็ที หนึ่งเฮ้ย
กูคาดก่อนสิ้นชีพ วายอาตม์
กูจักไว้ลายโลกเว้ย โลกให้แลเห็น


โดย พุฒิพงศ์  [ วันอาทิตย์ ที่ 23 เดือนเมษายน พศ.2549 ] phuttipong_top@hotmail.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2006, 14:54 โดย narong » บันทึกการเข้า

ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
หน้า: [1]
    กระโดดไป: