มองมุมใหม่: ถามหาความกล้าหาญของ นักนิติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ไทย ชำนาญ จันทร์เรืองกรุงเทพธุรกิจออนไลน์: เมื่อช่วงระยะเวลาที่ผ่านพ้นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับการ
รัฐประหารที่มาพร้อมกับการประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรมาถึง หลายๆ คน
เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดของการ ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพที่พึงมี ไม่ว่าจะเป็นสิทธิเสรีภาพ
ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมทางการเมือง หลายๆ คน
หงุดหงิดกับการที่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นในรายการวิทยุ โทรทัศน์ หรือเวบไซต์
ที่ตนเองชื่นชอบเพราะต้องถูกปิดลงเพราะเหตุแห่งความ "บ้าจี้" ของคนบางคน
หลายๆ คนถามหาความถูกต้องความชอบธรรมว่า การใช้กำลังเข้าล้มล้างรัฐบาลซึ่ง
เป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายและฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่
ตนเองว่าถูกต้องด้วย หลักนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์หรือไม่อย่างไร
นักวิชาการบางคนออกมาบอกว่า คณะรัฐประหารที่ใช้กำลังเข้าล้มล้างรัฐบาลได้สำเร็จ
ย่อมเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งหมายถึงผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐหรือองค์อธิปัตย์ (sovereign)
เพราะเป็นผู้ที่ใช้กำลังเข้ายึดครองอำนาจอธิปไตยได้สำเร็จ
ทั้งๆ ที่ มุมมองทางด้านรัฐศาสตร์ นั้น นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายต่างก็ยอมรับใน ลัทธิ
ประชาธิปไตย (popular sovereign) ที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนหรือ
ในอีกชื่อหนึ่งก็คือทฤษฎีสัญญาประชาคม (social contract theory) ที่มีรากฐาน
มาจากความคิดที่ว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างรัฐ โดยที่ประชาชนตกลงยินยอมให้ผู้ปกครอง
ใช้อำนาจอธิปไตยแทนตนตามเจตจำนงของประชาชน หากผู้ปกครองละเมิดเจตจำนง
ของประชาชน ประชาชนมีสิทธิถอดผู้ปกครองได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย มิใช่การ
แย่งชิงอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชนโดยการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจแล้วออก
กฎหมายมาบังคับเอากับประชาชน
ในเรื่องของความชอบธรรมของคณะรัฐประหารนั้น แม้แต่องค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการเอง
ก็ตาม ในอดีตเมื่อมีการนำคดีเข้าสู่ศาล ก็ได้มีแนวบรรทัดฐานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ว่า
เมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจได้สำเร็จ ย่อมเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง หรือแม้กระทั่ง
องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเองก็ตาม ก็ยอมรับว่าประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารเป็น
กฎหมาย เมื่อจะยกเลิกก็ต้อง ออกกฎหมายใหม่มายกเลิก สุดแล้วแต่ว่าประกาศหรือ
คำสั่งที่ออกมานั้นเป็นกฎหมายอยู่ใน ลำดับศักดิ์ใดก็ออกกฎหมายในลำดับศักดิ์ที่
เท่ากันหรือสูงกว่ามายกเลิกประกาศหรือคำสั่งนั้น
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นแนวคิดและความเชื่อของบรรดาเหล่านักนิติศาสตร์และนัก
รัฐศาสตร์ไทยมาโดยตลอดว่า หากยึดอำนาจได้สำเร็จก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ไม่ต้องรับ
โทษทัณฑ์ใดๆ จึงเป็นเหตุให้
เรามีการก่อการรัฐประหารทั้งที่ประสบความสำเร็จและ
ล้มเหลวหลายสิบครั้งซึ่ง
มากที่สุดในโลกนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
เป็นต้นมา
ทั้งๆ ที่ชื่อของประเทศไทยแปลว่า ประเทศแห่งความเป็นอิสระและเสรี แม้แต่พม่า
เขมร ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ชิลี อาร์เจนตินา โคลัมเบีย ปารากวัย
ซูดาน ซิมบับเว เซราลีโอนส์ รวันดา คองโก ลิเบีย อิรัก อาฟกานิสถาน ปากีสถาน
สุเรมบัน เนปาล ฯลฯ ที่ล้วนเคยแต่ตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย
แต่
ประเทศเหล่านั้นก็ยังมีการรัฐประหารน้อยครั้งกว่าประเทศไทย กลับมาทางมุมมองด้าน นิติศาสตร์หรือกฎหมาย แน่นอนว่า การก่อการรัฐประหารนั้น
เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย โดย
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ก็ระบุ
ไว้ชัดว่าผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ (1) ล้มล้าง
หรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ (2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจ
ตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ (3) แบ่งแยกราช-
อาณาจักร หรือยึดอำนาจปกครอง ในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำ
ความผิดฐานเป็นกบฏ
ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตและมี
อายุความที่จะนำเอาตัวผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้มาฟ้องร้องดำเนินคดีถึง
ยี่สิบปี แม้ว่าการก่อการรัฐประหารของไทยที่ผ่านมาทุกครั้ง จะถือว่ารัฐธรรมนูญถูกยกเลิก
ตามความเห็นของนักวิชาการทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ก็ตาม แต่เรา
ลืมไปว่าประมวล
กฎหมายอาญามิได้ถูกยกเลิกไปแต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวก็ย่อมถือว่ามีความผิดอยู่นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะมีการออกกฎหมายมา
นิรโทษกรรมก็ตาม ซึ่งก็
หมายความว่า
เป็นความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ ไม่ได้หมายความว่าการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด
ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาก็คือว่าการออกกฎหมายมานิรโทษกรรมให้แก่ตนเอง
ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง จะถูกต้องหรือไม่ ซึ่งก็
ต้องอาศัยความกล้าหาญของนัก
วิชาการทั้งทางด้านนิติศาสตร์และด้านรัฐศาสตร์ทั้งหลายที่จะเป็นผู้
ให้ความเห็นหักล้าง
แนวบรรทัดฐานเดิมที่มีมาในอดีต ซึ่งก็หมายความรวมไปถึงผู้ที่จะมีหน้าที่วินิจฉัยเมื่อ
มีการนำคดีขึ้นสู่ศาลไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลอื่นใดก็ตามหากจะมีผู้ฟ้องร้องเป็น
คดีความขึ้นมา
จริงอยู่ ความเชื่อที่ว่าคณะรัฐประหารคือรัฏฐาธิปัตย์ ประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐ-
ประหาร คือกฎหมายต้องปฏิบัติตามนั้นมีมาช้านาน แต่ก็
มิได้หมายความว่า เราจะ
เปลี่ยนแปลงความเชื่อหรือแนวคิดนี้ไม่ได้ แม้แต่ความเชื่อที่เป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ
ยังมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด อาทิเช่น การไม่จัดให้ดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ใน
ระบบสุริยจักรวาลอีกต่อไป โดยวิธีการเพียงเพราะการยกมือของนักวิทยาศาสตร์
ส่วนใหญ่ในที่ประชุม
แล้วนับประสาอะไรกับความเชื่อทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ด้าน
สังคม(social science) ที่อ่อนไหวและยืดหยุ่นกว่าวิทยาศาสตร์แท้ๆ (pure science)
จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
หากเราเปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่ว่า การทำรัฐประหารไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม
เป็นการกระทำผิดกฎหมายที่ต้องได้รับโทษเสมอ ประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหาร
ไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย และกฎหมายนิรโทษกรรมที่ออกให้เพื่อตนเองย่อมไม่มีผลบังคับ
ใช้แล้วไซร้ ประเด็นของการถกเถียงว่าเราจะทำอย่างไรที่จะป้องกันมิให้มีการรัฐประหาร
เกิดขึ้นอีกก็คงจะลดลงไป อย่างน้อยก็ประเด็นความชอบด้วยกฎหมายทางด้านนิติศาสตร์
และประเด็นความชอบธรรมของสัญญาประชาคมหรือลัทธิประชาธิปไตยทางด้านรัฐศาสตร์
นั่นเอง
ถึงเวลาแล้วที่นักนิติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ทั้งหลายจะต้องมีความ
กล้าหาญ ที่จะ
เปลี่ยนแปลงแนวคิดหรือความเชื่อที่เคยมีมาในอดีตแล้วสร้างบรรทัดฐานใหม่เสียให้
ถูกต้อง โดยการไม่ยอมรับการรัฐประหารว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยหลักนิติศาสตร์
หรือรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะด้วยการอ้างเหตุผลใดใดเพื่อการทำรัฐประหารก็ตาม หากเราสามารถทำได้เช่นนี้แล้ว ผู้ที่จะคิดทำรัฐประหารในคราวต่อไปจะได้คิดหน้า
คิดหลังให้รอบคอบ จะได้ไม่ทำให้พัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยไทยที่สั่งสม
มาเกือบร้อยปีต้องพังทลายลงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นดังเช่นที่ผ่านๆ
มาเสียที
http://www.bangkokbiznews.com/2006/10/11/w017_144179_report.phpผู้เขียนได้เสนอหนทางหนึ่งของการป้องกันมิให้เกิดรัฐประหาร
มาซ้ำรอยเป็นวงจรอุบาทว์ในประเทศไทยได้อีกต่อไป
คนที่ชอบรัฐประหารคงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน