ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 17:32
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ...คุณหญิงไขศรีคะ ..บางทีอาจจะต้องออกกฎหมายบังคับให้แม่รักลูกนะคะ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
...คุณหญิงไขศรีคะ ..บางทีอาจจะต้องออกกฎหมายบังคับให้แม่รักลูกนะคะ  (อ่าน 1263 ครั้ง)
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« เมื่อ: 10-10-2006, 18:41 »



...  จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา  ...ด้วยที่สถานะ ภาวะ
เศรษฐกิจ  และค่านิยม  ส่งเสริมแข่งขันกันแต่ในแง่
เรื่องเศรษฐกิจ  เป็นตัวส่งเสริมยั่วยุให้คนจำนวนมากทีเดียว
ให้ความสำคัญเรื่องการทำมาหากิน เรื่องเงิน  เกินความ
พอเพียง
เกินความเพียงพอ   มองความร่ำรวยเป็น
เรื่องใหญ่  มองว่าเป็นหัวใจที่สุดแล้วล่ะของชีวิตครอบครัว... 
 หารู้ไม๊ว่า ...ยังมีสิ่งอื่นๆๆอีกมากมายในครอบครัวที่มีค่ามากกว่าเงิน


** แม้แต่เด็กที่เกิดมาใหม่ๆ  พอลืมตาอ้าปากได้
พอขยับจะพูดได้  พ่อแม่เริ่มฝังเข้าไปในหัวแล้วว่า
เรียนอะไรก็ได้นะลูกนะ  ให้จบออกมาแล้ว ทำงานแล้ว
รวยหน่ะ.....


   ....ชีวิตของวันรุ่นหลายคนทีเดียวที่ถูกรักด้วยเงิน
คำว่ารัก  เด็กไม่รู้จักหรอก  รู้แต่ว่า  ถ้าถามหาพ่อ
หาแม่เมื่อไหร่ไม่เจอ  เจอแต่เขาถามว่า..  จะเอาเงิน
เท่าไหร่  จะเอาอะไรบ้างล่ะ (วัตถุ)  มีสักครั้งมั๊ย
ที่จะถามเขาว่า ....เป็นไงลูกไม่สบายใจเรื่องอะไร
บ้างหรือเปล่า  เรียนหนังสือเป็นไงบ้าง  ....
คุยหยอกล้อกันมีบ้างหรือไม่ .....


  อาจจะจั่วหัวกระทู้แรงไปสักนิด  ดูเพ้อฝันไป
แต่ในความเป็นจริง  บอกตรงๆนะ  ว่า  ไม่รู้จะ.
สะท้อนความคิดออกมายังไง  เมื่อเห็นพฤติกรรม
ของแม่หลายคนทีเดียว  ที่ทอดทิ้งลูกมากกกก
โยนแต่เงินให้อย่างเดียว  รำคาญที่ลูกอยู่ใกล้


...สังเกตได้ง่ายๆ  เวลาปิดเทอมที่จริง ลูกกับแม่
มีโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว  แม่ต้องหาเรื่อง
ส่งลูกไปเรียนพิเศษเสียนี่....  เพื่อให้ลูกไปไกลตัว

  หรือตอนลูกแบเบาะ  อ้างว่าต้องทำงานนอกบ้าน
ก็เอาไปจ้างคนอื่นเลี้ยง  จนลูกโต  ลูกและแม่จึงไม่สนิท
ชิดเชื้อกัน  เมื่อเขาไม่สนิทกับแม่  เขาจะสนิทกับใครล่ะ
ไม่ครู  ก็เพื่อน  เจอครูดีเจอเพื่อนดี  ก็โชคดีไป  แล้ว
ถ้าเจอไม่ดีล่ะ ......เงินซื้อความเลวแหลก  ซื้อความเหลวไหล
ของลูกได้มั๊ย ....................




 ***  คุณหญิงไขศรีคะ ....ท่านคงต้องออกกฎบังคับ
ให้แม่เค้ารักลูกซะล่ะมั้ง .....( อย่าซีเรียสนะคะ
แค่คิดเล่นๆ...  จากการที่ต้องปะทะกับสิ่งเหล่านี้มาก
หน่ะ  ขอระบายสักนิด..  อย่าว่ากันนะคะ) 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2006, 18:51 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #1 เมื่อ: 10-10-2006, 19:02 »





นิทานเรื่องสั้นของท่านพุทธทาส  เรื่อง แม่-ลูก
 
 กระบวนแห่สิงโต ผ่านมาในถนน ประชาชน แตกตื่น พากัน อุ้มลูก จูงหลาน ออกมาดู เด็กอายุ ๓-๔ ขวบคนหนึ่ง ร้องไห้ เพราะความกลัว สิงโตก็ดิ้น อย่างจะสิ้นชีวิตลงไป แม่ต้องอุ้ม พาหนี เข้าไปใน สวนข้างถนน แห่งหนึ่ง พลางบ่นว่า น่าสงสารลูกโง่ๆ คนนี้เหลือเกิน แม่จะได้ดูอะไร สักนิด ก็ไม่ได้ดู ทันใดนั้นเอง แม่ก็ดิ้น และร้อง วิ๊ดว๊าดขึ้น เพราะกิ้งกือ ตัวหนึ่ง เผอิญหล่นลงมา จากต้นไม้ ตกลงไปในเสื้อ ลูกเล็กๆ คนนั้นเอง หัวเราะชอบใจ เมื่อเขาบอกแม่ว่า เขาจะช่วย หยิบออกให้ แล้วก็ช่วย หยิบทิ้งให้จริงๆ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: มันเป็นการ สุดวิสัย ที่จะไม่ให้ลูกๆ กลัว สิ่งที่มีลักษณะ และอาการ อย่งภูตผี ปีศาจ กระโดด โลดเต้น เข้ามา ราวกะจะจับ เอาตัวไปกินเสีย ฉะนั้น แต่ทีแม่เอง กลับกลัว กิ้งกือ ตัวนิดเดียว! ทั้งเลื้อยด้วย ท่าทางอันนิ่มนวล อ่อนโยน ราวกะเข้ามาแสดง ความเคารพ หรือ ขอความช่วยเหลือ อะไรสักอย่างหนึ่ง ความกลัวของแม่ ก็กลัวอย่าง จะขาดใจตาย เช่นเดียวกับลูกเหมือนกัน! เมื่อประกอบด้วย อวิชชา อยู่อย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจ หรือ เป็นสัตว์ตัวนิดๆ เช่น กิ้งกือไส้เดือน ก็ตาม ย่อมสามารถ ปลุกปั่น ความกลัว (วิภวตัณหา) ได้โดย ทำนองเดียวกัน ในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความขลาด และวิ่งหนี ได้โดยเสมอกัน ในที่สุด ก็เหลือแต่ สิ่งที่ต้องคำนวณดูว่า ลูกอายุเพียง ๒-๓ ขวบ ส่วนแม่อยู่ในฐานะ ที่เป็นแม่ หรือ ผู้ปกครอง สั่งสอนลูกแล้ว ในกรณีนี้ ใครเล่าที่โง่เขลา น่าสมเพชกว่าใคร ในระหว่าง แม่-ลูก รายนี้



http://www.buddhadasa.com/zen/tale02.html
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #2 เมื่อ: 10-10-2006, 19:08 »




คัมภีร์เลี้ยงลูกยุคบริโภคนิยมครองเมืองกับปริศนาแนวคิดหน้าต่าง 7 บาน
 

 
 
       เด็กไทยยุคใหม่คือ เด็กที่ต้องเกิดมาเผชิญกับโลกแบบใหม่ ซึ่งเป็นโลกที่มีข้อมูลข่าวสารมากมาย และมีการแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด้านกระแสวัตถุนิยมที่หลั่งไหลเข้ามา ซึ่งแม้แต่ผู้ใหญ่ยังยากที่จะต้านทานอยู่ ส่วนหนึ่งของปัจจัยข้างต้นทำให้มีช่องว่างทางเศรษฐกิจ สังคม และโอกาสระหว่างบุคคลและชุมชน มากกว่าแต่ก่อน รวมถึงความใกล้ชิดของครอบครัวก็ลดน้อยลงตามไปด้วย
       

 
 
การสอนลูกเป็นเรื่องง่าย เพราะสอนได้จากชีวิตประจำวัน
 
 
       ภาพเด็กที่สับสนต้องเผชิญกับทางเลือกมากมายจึงมีให้เห็นได้ไม่ยากนัก เช่น เด็กมักจะตกเป็นเหยื่อกระแสวัตถุนิยม ที่ต้องการยั่วยุให้มีการบริโภค เพื่อผลทางการค้าขาย ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเด็กไทยยุคใหม่จึงจำเป็นต้องมีวิจารณญาณรู้จักแยกแยะ ใช้เหตุใช้ผล การตัดสินใจสิ่งต่างๆ
       
       และในภาวะที่เด็กๆ ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เด็กจึงต้องการผู้ใหญ่ มาแลกเปลี่ยนความคิด หรือมาสอนให้รู้จักควบคุมตนเอง รู้อะไรเป็นอะไร รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ รู้คิดและแก้ปัญหาได้
       
       เรื่องนี้พูดไปเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ก็ทำเอาพ่อแม่หลายคนต้องวิ่งโร่หาคำปรึกษากันจ้าละหวั่น พ่อแม่บางคู่ถึงขนาดต้อง "กางตำราเลี้ยงลูก" เพราะกลัวจะดูแลลูกได้ไม่ดีพอ ในขณะที่บางบ้านใช้วิธีเลี้ยงแบบตะวันตกโดยให้เหตุผลว่า ลูกจะได้ก้าวทันโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว ผลที่ได้คือส่วนมากลูกเท่าทันและออกจะล้ำหน้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่ต่างหากที่กลับตามไม่ทันเสียเอง
 
 
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #3 เมื่อ: 10-10-2006, 19:13 »

เมื่อลูกโตพร้อมโทรทัศน์ 

     
       น.พ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมศานต์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ ให้ข้อมูลว่า
 มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับในปัจจุบันคือ แม้ว่าพ่อ แม่ ลูกจะอยู่ในบ้านเดียวกัน แต่ก็เหมือน
ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
เพราะมีสื่อเสรีอย่างโทรทัศน์เข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ในครอบครัวไป
หมด ลูกร้องจะดูการ์ตูน แม่อยากดูละคร พ่อรอดูฟุตบอลเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกมาทุกยุคทุก
สมัย กดไปแต่ละช่อง แทบจะหารายการที่ดูร่วมกันไม่ได้เลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารายการ
โทรทัศน์สำหรับครอบครัวที่จะนั่งลงดูพร้อมกันทั้งบ้านกำลังขาดแคลน หลายบ้านจึงแก้
ปัญหาด้วยการใช้โทรทัศน์เครื่องใครเครื่องมัน เวลาในบ้านจึงน้อยลงไปทุกที


 
 
ยิ่งหากบ้านไหนสอนทุกวัน ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่ลูกจะโตมาได้ดั่งใจ
 
 
       ผลที่ตามมาก็คือ เด็กที่ดูทีวีบ่อย มักจะเป็นเด็กที่เก็บตัว มีสังคมน้อย โลกทัศน์จะแคบ
 ความคิดเหมือนถูกบล็อกเอาไว้เท่าที่ได้ดู ซึ่งพบว่าพ่อแม่ก็ต้องมานั่งกลุ้มใจภายหลังว่าเพราะอะไร
ลูกถึงเข้ากับใครไม่ได้เมื่อไปโรงเรียน
       
      แก้ปัญหาด้วยหน้าต่าง 7 บาน
       
 

      คุณหมอผู้คร่ำหวอดด้านพัฒนาการเด็กจึงแนะนำว่า สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรตระหนักรู้คือเรื่องของ
 "หน้าต่างแห่งโอกาส" ของลูกในแต่ละวัยที่จะเปิดตามกาลเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
 เพราะมีเพียง 7 บานหน้าต่าง ที่จะเปิดโอกาสให้ 3 ช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งหากทำได้แล้วจะถือเป็น
การปรับความพร้อมพัฒนาการทางอารมณ์ของลูก ให้เข้าสู่สังคมได้
       
 
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #4 เมื่อ: 10-10-2006, 19:24 »



คอมพิวเตอร์ เกม เล่นได้ แต่อย่าให้มากนัก เดี๋ยวจะติด
เกมมากกว่าติดพ่อแม่   



 แก้ปัญหาด้วยหน้าต่าง 7 บาน     

 
       คุณหมอผู้คร่ำหวอดด้านพัฒนาการเด็กจึงแนะนำว่า สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรตระหนักรู้คือเรื่องของ "หน้าต่างแห่งโอกาส" ของลูกในแต่ละวัยที่จะเปิดตามกาลเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพราะมีเพียง 7 บานหน้าต่าง ที่จะเปิดโอกาสให้ 3 ช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งหากทำได้แล้วจะถือเป็นการปรับความพร้อมพัฒนาการทางอารมณ์ของลูก ให้เข้าสู่สังคมได้
       
       
       นับเป็นช่วงเวลาทองที่จะใช้สถาบันครอบครัวให้คุ้มค่าที่สุด ที่จะได้ฝึกและเฝ้ามองพัฒนาการของลูกอย่างเต็มความสามารถ โดยที่เด็กจะเข้าใจตามวุฒิภาวะของเขาเองได้ไม่ยากนักและยังมีใจที่จะทำตามคำสอนของพ่อแม่ด้วยความสมัครใจ ไม่เกี่ยงงอนเหมือนโดนบังคับ
       
       "หน้าต่าง 2 บานแรกอยู่ในช่วงวัยอนุบาล คือ 3-5 ขวบ ได้แก่ การรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง และ การรู้จักถูกผิด พ่อแม่หลายคนมักใจอ่อนเวลาเดินห้างแล้วลูกร้องอยากได้ของเล่น พอไม่ได้ก็กรีดร้องแล้วลงไปนอนชักดิ้นชักงอ ก็ยอมควักกระเป๋าสตางค์ซื้อ ทำให้เด็กรู้จุดอ่อน ครั้งต่อไปก็จะทำอย่างนี้อีกฉะนั้น ห้ามตามใจเด็ดขาด การให้ของทุกอย่างต้องมีเหตุมีผลหรือให้เด็กร่วมตั้งเงื่อนไขด้วยจะดีกว่า   

   
       ส่วนเรื่องการรู้จักถูกผิดนั้น ปรับเพื่อให้เข้ากับสังคมได้ โดยเน้นคุณธรรมเป็นรากฐาน ต่อด้วยความมีจิตสำนึก ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับปัจจุบันที่เด็กทำผิดแล้วไม่สำนึกเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่น่าจะผิดอะไรมากมาย พลอยให้มีเรื่องทะเลาะกับผู้ใหญ่อีกทอดหนึ่ง หากละเลยไปโตขึ้นจะแก้ไขลำบากและมักนำความเดือดร้อนมาให้พ่อแม่แบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเขาจะไม่มีสำนึกว่าทำผิดอะไร"
   
คอมพิวเตอร์ เกม เล่นได้ แต่อย่าให้มากนัก เดี๋ยวจะติดเกมมากกว่าติดพ่อแม่  


 
       ช่วงวัยประถม คือ 6-12 ขวบ จะมีหน้าต่างเปิดขึ้นอีก 3 บานคือ ประหยัด มีวินัย ใฝ่รู้ ฟังดูเผินๆอาจเหมือนคำขวัญเชยๆ แต่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง เพราะช่วงนี้เองที่จะฉายแววเรื่องอนาคตทางการเงินและนิสัยของเด็กในวันข้างหน้าได้


       
       "หลายคนถามผมว่าทำไมต้องสอนเรื่องประหยัดในวัยประถม ทั้งนี้ เพราะเด็กจะเรียนรู้เรื่องของจำนวนและความแตกต่างทางมูลค่าได้ในวัยนี้ การสอนเรื่องการประหยัดอย่างการใช้เงินก่อน จะทำให้ไม่มือเติบ ใช้เงินเกินตัว จากนั้นจึงค่อยขยับขยายไปสอนเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม""ผมเห็นบางบ้านสอนให้ประหยัดทุกอย่างในบ้าน แต่พอออกไปนอกบ้านก็กลับสอนให้เต็มที่ทุกอย่าง เช่น การตักอาหารแบบบุพเฟต์แล้วกินไม่หมด ก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะถือว่าจ่ายเงินไปแล้ว หรือเปิดน้ำในโรงเรียน โรงแรมใช้โดยไม่ปิด เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการสอนที่ไม่รับผิดชอบสังคม เด็กที่ดีควรจะโตมาพร้อมกับการรับผิดชอบต่อสังคมด้วยจึงจะสมบูรณ์ ไม่ใช่เอาแต่ตัวเองรอด คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างนี้ถือว่ามีความเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ "
       
     


  ส่วนการมีวินัย สามารถฝึกได้จากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นกำหนดเวลาทำการบ้าน ดูทีวีที่เหมาะสม อย่าตามใจเกินไป ส่วนงานบ้านก็นำมาใช้ฝึกเรื่องวินัยได้เช่นกัน โดยต้องสอนและแบ่งให้เขาทำ เพราะความรู้สึกของการมีส่วนร่วมจะยิ่งให้เขารักและผูกพันกับบ้านมากขึ้น 

     
      สำหรับการใฝ่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นเรื่องการเรียนเพียงอย่างเดียวควรทำให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้กับทุกเรื่อง สนุกและมีความสุขกับการได้รู้ในสิ่งใหม่ๆที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเขาเองและคนรอบข้าง สามารถแทรกไปกับกิจกรรมได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การ พาไปเดินเล่นในสวน พาไปจ่ายตลาด ช่วยทำกับข้าว ล้างรถ เป็นต้น

     
       สุดท้ายช่วงวัยรุ่นคือ 12 ปีขึ้นไป ช่วงนี้เองที่ความต้องการในด้านต่างๆของเขาจะถูกเปิดขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน เริ่มรู้จักอะไรมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการย้ายโรงเรียน หรือความพร้อมที่จะ"ฉายเดี่ยว" ในที่สาธารณะ ว่ากันว่าเป็นช่วงที่เขาจะไม่ติดพ่อกับแม่แล้ว แต่จะหันไปติดเพื่อนแทน ฉะนั้นเรื่อง ค่านิยมทางเพศและค่านิยมทางสังคม คือหน้าต่าง 2 บานสุดท้ายที่พ่อแม่จะช่วยแง้ม




งานบ้านก็นำมาใช้ฝึกเรื่องวินัยได้เช่นกัน โดยต้องสอนและแบ่งให้เขาทำ
 เพราะความรู้สึกของการมีส่วนร่วมจะยิ่งให้เขารักและผูกพันกับบ้านมากขึ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2006, 19:28 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #5 เมื่อ: 10-10-2006, 20:31 »

    "เชื่อหรือไม่ว่า ทุกวันนี้พ่อแม่แทบไม่ได้สอนเรื่องค่านิยมทางเพศให้กับลูกเลย แต่สื่อต่างหากที่สอน สื่อหลายๆอย่างเข้าถึงเด็กได้อย่างรวดเร็วและฉาบฉวย 40 เปอร์เซ็นต์ของเด็กในวัยนี้ได้ดูสื่อลามกกันเกือบหมดแล้ว ทางอินเทอร์เน็ตบ้าง หนังสือปกขาวบ้าง ซึ่งเราไม่สามารถคุมได้เลย จนเกิดภาวะเรื่องทางเพศที่เลวร้ายลงทุกที เรียกได้เต็มปากว่าขั้นวิกฤติ"
       
       มีตัวอย่างหนึ่งที่น่ากลัวมาก คือ เด็กชายคนหนึ่งได้ดูวีซีดีลามกของพ่อ เนื้อเรื่องมีผู้ชาย4 คนกำลังร่วมรักกับผู้หญิง 1 คน ด้วยความที่เขายังเด็กก็เข้าใจว่าทำอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องผิดและไม่ได้มองเป็นการข่มขืน เพราะภาพในหนังมันไม่มีภาพไหนบ่งบอกเลยว่าผู้หญิงเจ็บปวดหรือทรมาน ตรงกันข้ามกลับมีแต่ใบหน้าและเสียงร้องที่เป็นสุข จากนั้นเขาจึงไปชวนเพื่อนทำอย่างนี้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาชอบ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็สายไปเสียแล้ว
       
       "ส่วน ค่านิยมทางสังคม จะเป็นตัวกำหนดทิศทางในการดำเนินชีวิตเขาได้ ให้เขาหาตัวเองให้เจอก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อที่จะได้ไม่เลือกคณะตามเพื่อน หรือถ้าเป็นไปได้ควรหาให้พบ ก่อนขึ้นมัธยมปลาย จะได้มีการเตรียมความพร้อม เพราะในบางสาขาวิชาต้องวัดความรู้ความสามารถเฉพาะทางด้วย แต่จะต้องให้เขาเป็นคนเลือกเอง พ่อแม่ไม่ควรคิดและตัดสินใจให้ แค่ให้คำปรึกษาและเป็นกำลังใจก็เพียงพอแล้ว"คุณหมอกล่าว
       
       จะเห็นได้ว่าหน้าต่างทั้ง 7 บานนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวสามารถสอนได้จากชีวิตประจำวัน เพียงแค่แบ่งเวลามาสอนวันละนิดก็คงจะดีกว่าต้องมารวมหัวหาทางแก้ไขในภายหลัง...
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #6 เมื่อ: 10-10-2006, 20:43 »

....จะไปร่ำร้องตะโกนหา  ...ประชาธิปไตย....ไปใย
ในเมื่อ  เวลาผู้ชายและผู้หญิงเมื่อเวลาเขาจะสมสู่กัน...เขาคิดหรือไม่
ว่า.....เขาพร้อมในสิ่งเหล่านี้หรือไม่....????...



 ...*  เขาพร้อมที่จะมีลูกแล้วหรือยัง

 ...*  เขาพร้อมที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีแล้วหรือยัง

 ...*  เขาพร้อมที่จะรัก ..และมีอะไรที่จะอบรมลูกให้เป็นคนดีได้มั๊ย

 ...*  เขาพร้อมที่จะสอนลูกให้รู้จักคำว่า...ประชาธิปไตย...ในครอบครัวแล้วหรือยัง

 ...*  เขาพร้อมที่จะสอนลูกว่าอย่า...แอบโกงเงินกินขนมที่แม่ให้แล้วหรือยัง

 ...*  เขาพร้อมที่จะสอนลูกว่า...อย่าเอาแต่ใจตัวเองนะลูกนะ  รับฟังความคิดเห็นผู้อื่นบ้าง....

 ...*  เขาพร้อมที่จะ..........................................

 ...*  เขาพร้อมที่จะ.........................................

 ...*  เขาพร้อมที่จะเอาใจใส่... คอยดูหัวใจของลูกให้เป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง  งดงาม  แล้วหรือยัง




.....ทั้งหมดนี้คือที่มา  ของการที่จะรู้จักประชาธิปไตยที่ถูกต้อง  และเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าที่...มีประชาธิปไตย
  ที่ถูกต้อง  ถูกทางทั้งนั้น  มิใช่แค่บ้าประชาธิปไตยตามตัวบท...หรือเอาคำว่าประชาธิปไตยมาเพื่อกติกู
เพื่อรองรับการอยากได้ใคร่มี  อยากได้อำนาจของตัวกู  แล้วมาแอบอ้างประชาธิปไตย....
กี่ปีกี่ชาติ  ก็แก้ให้ประชาธิปไตยพัฒนาขึ้นไม่ได้หรอก   ถ้ามองข้ามเรื่องการมุ้ง  ไปแก้ที่ปลายเหตุเเช่นนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2006, 20:51 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 10-10-2006, 21:07 »

ชอบอันท้ายสุดครับ ที่ว่าจะเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันไปทำไม  ในเมื่อคนเรียกอยากที่จะได้แต่สิทธิเสรีภาพความอิสระแต่ไม่มีใคร รู้จักคำว่าหน้าที่ความรับผิดชอบ ซึ่งมันจำเป็นต้องปฏิบัติควบคู่กันไป  จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ 

ส่วนในเรื่องกฏหมายนั้น ผมว่าอาจจะออกในลักษณะที่ต้องเอาผิดกับพ่อแม่ ถ้าหากลูกของตัวเองทำผิดด้วย  ซึ่งก็เห็นออกข่าวไปสักพัก ตอนนี้ก็เงียบหายไป   เวลาเห็นข่าวพวกวัยรุ่นตีกัน หรือไปทำความผิดอื่นๆ  น่าจะประจานพ่อแม่เสียให้เข็ด ว่าทำงานทำการอะไร จึงไม่มีเวลามาอบรมสั่งสอนลูกหลาน  แล้วก็ให้ไปทำงานเพื่อสาธารณะกันทั้งครอบครัว มันจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน  บางทีถ้าลูกมันจะรู้สึกอายที่ต้องให้พ่อแม่มาโดนอย่างนี้ด้วย มันอาจจะทำตัวดีขึ้นก็ได้ 
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #8 เมื่อ: 10-10-2006, 21:16 »

ชอบอันท้ายสุดครับ ที่ว่าจะเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันไปทำไม  ในเมื่อคนเรียกอยากที่จะได้แต่สิทธิเสรีภาพความอิสระแต่ไม่มีใคร รู้จักคำว่าหน้าที่ความรับผิดชอบ ซึ่งมันจำเป็นต้องปฏิบัติควบคู่กันไป  จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ 

ส่วนในเรื่องกฏหมายนั้น ผมว่าอาจจะออกในลักษณะที่ต้องเอาผิดกับพ่อแม่ ถ้าหากลูกของตัวเองทำผิดด้วย  ซึ่งก็เห็นออกข่าวไปสักพัก ตอนนี้ก็เงียบหายไป   เวลาเห็นข่าวพวกวัยรุ่นตีกัน หรือไปทำความผิดอื่นๆ  น่าจะประจานพ่อแม่เสียให้เข็ด ว่าทำงานทำการอะไร จึงไม่มีเวลามาอบรมสั่งสอนลูกหลาน  แล้วก็ให้ไปทำงานเพื่อสาธารณะกันทั้งครอบครัว มันจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน  บางทีถ้าลูกมันจะรู้สึกอายที่ต้องให้พ่อแม่มาโดนอย่างนี้ด้วย มันอาจจะทำตัวดีขึ้นก็ได้ 




....จะไปร่ำร้องตะโกนหา  ...ประชาธิปไตย....ไปใย
ในเมื่อ  เวลาผู้ชายและผู้หญิงเมื่อเวลาเขาจะสมสู่กัน...เขาคิดหรือไม่
ว่า.....เขาพร้อมที่จะสอนลูกให้เป็นคนดี  เข้าใจประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้...????...



.............................................................................................................................

...  ขอบคุณนะคะที่เข้ามาแจม...บอกตรงๆนะ ..
บางครั้งติดตามการเมืองแล้ว  นั่งปลงสังเวชทุกครั้ง
ว่า ...ทำไมเขาไม่เอา  ประชาธิปไตย...ใส่ในปากเด็ก
ตั้งแต่ร้องอุแว้ล่ะ  ถ้าใครมีอาชีพที่คลุกคลีกับเด็กวัยรุ่น

จะเข้าใจปัญหานี้มากค่ะว่า ....ในเมื่อเด็กวันนี้คือผู้ใหญ่
ในวันหน้า ....แล้วไอ้ผู้ใหญ่ในวันนี้  ทำไมไม่คิดบ้างล่ะ
ว่า  ที่เลี้ยงเด็กจะให้ไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้าหน่ะ

  เลี้ยงกันดีแล้วยัง  มีแต่โยนเงินใส่ให้  มีแต่เอาของโยนใส่ให้

**มีเด็กหลายคนที่ชอบแอบขะโมยของเพื่อนเป็นนิสัย
ถือว่าโรคจิตเลยล่ะ    ทั้งที่ที่บ้านฐานะดีมาก ....มันเพราะอะไร
ล่ะ ....ลองคิดดูให้ดี ....แล้วไอ้นักการเมืองที่ชอบโกงๆๆ
หน่ะ  มีใครเคยสืบประวัติเค้าตั้งแต่ตอนเล็กๆๆๆมั๊ย...
ว่าเขามีความซื่อสัตย์หรือเปล่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2006, 21:22 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #9 เมื่อ: 10-10-2006, 21:25 »

                        การเมือง การมุ้ง
ผู้ไม่มีหัวใจ


 
มีพรรคมาก ก็มี มุ้งมาก
ให้ยุ่งยาก ยากเย็น ยั๊วเยี๊ย
คนหนึ่งพูด คนหนึ่งด่า คนหนึ่งเลีย
ประชาเพลีย ใจจด หดหมดเลย

จะเชื่อพี่ หรือน้า หรืออาดี
หรือป้านี้ ลุงนั้น สำคัญเหลือ
หลอกกันแล้ว ลวงล่อ เล่ห์ลวงเลือ
จนเฝือๆ เฝื่อนๆ เจื่อนๆไป

เมื่อมันมั่ว มากมาย หมายอย่างนี้
ชิชะชี ดีแล้ว หรือคือไฉน
รบกันแน่ แพ้จะอยู่ ดูอะไร
ก็จะไป ทั้งคนเก่ง เข่งพัง

เป็นอย่างงี้ ตั้งแต่ กรุงศรีแล้ว
ฆ่ากันแล้ว แผ้วถาง ทางเตียนโล่ง
ฝ่ายศัตรู นอกแผ่นดิน บินมาโจม
ก็จะโทรล เข้าควบ คุมขังคน

ตานี้แหละ มีแต่ ตาปริบๆ
นั่งขมิบ ขมุบปาก ไม่อาจได้
ถูกเขาเฆี่ยน เขาข่ม ถ่มน้ำลาย
ไอ้ฉบหย ได้แต่เก่ง เบ่งกันเอง
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2006, 21:27 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #10 เมื่อ: 10-10-2006, 22:13 »

โพลล์ชี้ครอบครัว'แม่-ลูก'ปัจจุบันใกล้ชิดน้อยลง



11 สิงหาคม 2549 16:32 น.
"เอแบคโพลล์"เผยผลสำรวจพบเจอ

...พูดคุยระหว่างแม่กับลูกทุกวันลดลงจาก 63.6% ลดลงเหลือ 46.4%
 ในขณะที่ไม่เคยเจอพูดคุยกันเลย เพิ่มขึ้นจาก8.1% มาอยู่ที่ 23.7 %
ชี้ครอบครัวคนกรุงน่าห่วง


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

นายวันชัย บุญประภา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ร่วมกับ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยผลสำรวจเรื่อง “เสียงสะท้อนสายสัมพันธ์จากใจลูกถึงแม่ของคน 3 วัย (รุ่นคุณยายคุณย่า รุ่นคุณแม่ และคุณลูก) : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 12 ปีขึ้นไปในกรุงเทพมหานคร” จำนวน 1,245 ตัวอย่าง ซึ่งโพลนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวอบอุ่นแข็งแรงได้นั้น ถ้าหากครอบครัวไทย สังคมไทยขาดการสื่อสารเชิงบวก ย่อมมีผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวมด้วย จึงได้เกิดการจัดทำโพลนี้ขึ้นมา



ดร.นพดล กล่าวว่า เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับการขอโทษและการขอบคุณแม่ ในประเด็นเรื่องที่อยากจะขอโทษแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างได้ระบุเรื่องที่อยากจะขอโทษแม่ใน 5 อันดับแรกไว้ ดังนี้

 1) การพูดจาไม่สุภาพ / เถียงคุณแม่ / ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ (ร้อยละ 38.1)
 2) ไม่ค่อยได้ดูแลแม่ / ไม่ค่อยสนใจแม่ / ไม่มีเวลาให้แม่ (ร้อยละ 22.5)
 3) การประพฤติตัวหยาบคาย (ร้อยละ 15.9)
 4) การไม่ตั้งใจเรียน / ทำงาน / ไม่ช่วยทำงานบ้าน (ร้อยละ 15.0) และ
 5) การเที่ยวเตร่ / เที่ยวกลางคืน / กลับบ้านช้า (ร้อยละ 12.2)



ส่วนเรื่องที่อยากจะขอบคุณแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น กลุ่มตัวอย่างได้ระบุใน 5 อันดับแรกไว้ ดังนี้

 1) เรื่องดูแลลูกๆ เป็นอย่างดี (ร้อยละ 46.2)
 2) เรื่องที่แม่ให้คำปรึกษา / เป็นกำลังใจให้ลูกๆ เสมอ (ร้อยละ 17.Cool
 3) เรื่องคำสั่งสอนต่างๆ ที่ทำให้ลูกๆ เป็นคนดี (ร้อยละ 16.Cool
 4) เรื่องที่แม่ได้ให้กำเนิดลูกๆ มา (ร้อยละ 16.5) และ
 5) เรื่องที่แม่หาเงินให้ใช้จ่าย (ร้อยละ 10.0)



เกี่ยวกับเรื่องที่อยากจะขอโทษแม่ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ใน 5 อันดับแรก ได้แก่

 1) การพูดจาไม่สุภาพกับคุณแม่ (ร้อยละ 60.4)
 2) การแสดงกิริยามารยาทไม่สุภาพกับแม่ (ร้อยละ 40.0)
 3) การโกหก / พูดเท็จ (ร้อยละ 30.6) 4) การไม่ตั้งใจเรียน / ทำงาน (ร้อยละ 26.7) และ
5) การดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ (ร้อยละ 22.0)
ซึ่งผลการสำรวจนี้สะท้อนปัญหาเรื่องการสื่อสารในครอบครัวไทยโดยนายวันชัย ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า..



“การที่เด็กอยากขอโทษแม่ เนื่องจากพูดจาไม่สุภาพกับแม่มากที่สุด สะท้อนปัญหาเรื่องการสื่อสารในครอบครัวไทย ซึ่งมักจะจะใช้การสื่อสารแบบตำหนิกับเด็กมากกว่าการชมเชยหรือการพูดในเชิงบวก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกตั้งแต่เด็กยังเด็กอยู่ กลายเป็นพฤติกรรมเชิงลบในครอบครัวที่เด็กจะเกิดการเลียนแบบ และคำพูดเชิงตำหนิจะเป็นคำพูดที่ทำร้ายเด็กโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่จึงต้องมีการสื่อสารทางบวกมากขึ้น เช่น เมื่อเขาทำสำเร็จ ทำดีก็พร้อมที่จะชมเชยลูกเสมอ หากไม่สำเร็จ หรือผิดพลาดก็ต้องให้กำลังใจ เพราะฉะนั้น ตัวอย่างในการใช้คำพูดและเรื่องการสื่อสาร ตัวอย่างต้องเป็นแม่ เป็นครู เมื่อเด็กเห็นตัวอย่าง เด็กก็จะกล้าทำในสิ่งดี ๆ และพูดแต่ในสิ่งดี ๆ ” นายวันชัยกล่าว



ดร.นพดล กล่าวว่า เมื่อสอบถามความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่าง หากต้องพูดขอโทษ / ขอบคุณแม่ ต่อหน้าผู้อื่น พบว่า ส่วนใหญ่ คือ

 ร้อยละ 63.9 ระบุรู้สึกดีที่ได้พูด
อีกร้อยละ 20.7 ระบุเฉยๆ และ
ที่เหลืออีกร้อยละ 15.4 ระบุเขินอาย


อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่น (อายุ 12-24 ปี) โดยแบ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น (อายุ 12-15 ปี) กลุ่มวัยรุ่นตอนกลาง (อายุ 16-19 ปี) และกลุ่มวัยรุ่นตอนปลาย (อายุ 20-24 ปี) ในประเด็นการพูดขอโทษ / ขอบคุณแม่ ต่อหน้าผู้อื่น พบว่า

 วัยรุ่นตอนต้นประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 33.3 รู้สึกเขินอายต่อการพูดขอโทษ / ขอบคุณแม่ ต่อหน้าผู้อื่นสูงกว่า

วัยรุ่นตอนกลางและตอนปลายที่รู้สึกเขินอายในการกล่าวขอบคุณ/ขอโทษคุณแม่ของตนต่อหน้าผู้อื่นร้อยละ 20.6 และร้อยละ 27.3



ในประเด็นนี้ คุณวันชัยได้แสดงข้อคิดเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เด็ก 1 ใน 3 รู้สึกเขินอายต่อการกล่าวคำขอโทษว่า “เนื่องจากโดยวัฒนธรรมคนไทยแม้แต่ผู้ใหญ่เองมักไม่ค่อยกล้าพูดขอโทษหรือขอบคุณกับคนใกล้ตัว ในขณะเดียวกันกลับกล้าที่จะพูดกับคนแปลกหน้า เช่น เพื่อนที่ทำงาน หรือ คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนใกล้ชิด แต่ไม่มีการปฏิบัติกับคนใกล้ชิดและคนในบ้าน เด็กจึงคุ้นเคยกับวัฒนธรรมเหล่านั้นที่พ่อแม่ก็ปฏิบัติเช่นนั้น เด็กจึงรู้สึกเขินอายที่กล่าวคำขอโทษหรือขอบคุณเช่นกัน เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่จึงต้องเป็นต้นแบบให้กับเด็กในเรื่องเหล่านี้”


ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจประเด็นความสัมพันธ์ พบว่า

 ความสัมพันธ์โดยทั่วไปกับแม่ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า......

ร้อยละ 46.4 ระบุพบเจอ / พูดคุยกับแม่ทุกวัน
 ร้อยละ 29.9 ระบุเป็นบางวัน
 และอีกร้อยละ 23.7 ระบุไม่ได้พบเจอ / พูดคุยกับแม่เลย



“จากการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทั่วไปกับแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในประเด็นการพบเจอ / พูดคุยกับแม่ พบว่า

 ร้อยละ 46.4 ระบุพบเจอ / พูดคุยกับแม่ทุกวัน
 ร้อยละ 29.9 ระบุเป็นบางวัน และ
อีกร้อยละ 23.7 ระบุไม่ได้พบเจอ / พูดคุยกับแม่เลย”

ดร.นพดลกล่าว

เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจปีที่แล้วในประเด็นเดียวกัน พบว่า จำนวนคนที่บอกว่าพบเจอพูดคุยระหว่างแม่กับลูกทุกวันลดลงจากร้อยละ 63.6 เหลือร้อยละ 46.4 ในขณะที่ไม่เคยเจอพูดคุยกันเลย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 23.7



ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ผลสำรวจเช่นนี้เป็นสัญญาณอันตรายต่อสถาบันครอบครัวและสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูกโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจจนอาจทำให้แม่ต้องทำงานนอกบ้านมากขึ้นไปกว่าปกติอีก เช่นการทำงานหารายได้พิเศษเพิ่มเติมจนไม่มีเวลาดูแลแม้แต่การพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูก ซึ่งสังคมไทยเคยให้ความสำคัญและเอ่ยถึงปัญหาที่ผู้หญิงในเมืองต้องทำงานนอกบ้าน แต่ปัจจุบันนี้ทำไมไม่ค่อยมีการพูดถึงกันเลย



ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาประเภทกิจกรรมที่ทำร่วมกับแม่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจร่วมกันระหว่างแม่กับลูก เช่น ออกกำลังกายเล่นกีฬาร่วมกัน ชมภาพยนต์ ท่องเที่ยว กลายเป็นกิจกรรมที่ไม่เคยทำร่วมกันเลย เพราะผลสำรวจพบว่า.....

 ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.4 ไม่เคยเล่นกีฬาออกกำลังกายร่วมกันเลย
 ร้อยละ 46.1 ไม่เคยชมภาพยนต์ร่วมกัน
 และร้อยละ 31.2 ไม่เคยท่องเที่ยวด้วยกันเลย



อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับแม่ พบว่า กว่าครึ่ง คือ

ร้อยละ 51.6 ระบุสนิทสนมใกล้ชิดกับแม่มาก
ร้อยละ 27.8 ระบุค่อนข้างมาก
ร้อยละ 15.3 ระบุค่อนข้างน้อย
 และที่เหลืออีกร้อยละ 5.3 ระบุน้อย / ไม่ใกล้ชิดเลย


ที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อวิเคราะห์การอบรมเลี้ยงดูของแม่กับคน 3 ร่น 3 วัย คือรุ่นคุณยายคุณย่า รุ่นคุณแม่ และรุ่นคุณลูก พบว่า ความเคร่งครัดในการอบรมเลี้ยงดูลูกจากรุ่นคุณยายคุณย่า ถึงรุ่นคุณลูกที่เป็นเยาวชนในขณะนี้ พบว่าแนวโน้มความเคร่งครัดด้านศีลธรรมและคุณธรรมลดลงในหลายด้าน เช่น


 ความเคร่งครัดด้านการพูดโกหก ลดลงจากรุ่นคุณยายคุณย่าที่เคยมีอยู่ร้อยละ 67.6 เหลือร้อยละ 52.6 ในรุ่นคุณลูก

ความเคร่งครัดด้านการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในรุ่นคุณยายคุณย่าเคยมีอยู่ร้อยละ 60.0 เหลือร้อยละ 52.6 ในรุ่นคุณลูก


ที่เป็นเยาวชนในปัจจุบัน ความเคร่งครัดด้านการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ ในรุ่นคุณยายคุณย่าเคยมีอยู่ร้อยละ 55.9 ลดลงเหลือร้อยละ 49.8

 ในรุ่นคุณลูกที่เป็นเยาวชนปัจจุบัน ความเคร่งครัดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในรุ่นคุณยายคุณย่ามีอยู่ร้อยละ 58.0 ลดลงเหลือร้อยละ 53.9 ในรุ่นคุณลูกเยาวชน


 และเรื่องการพูดจากิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยในรุ่นคุณยายคุณย่าร้อยละ 45.1 เหลือร้อยละ 24.8 ในรุ่นคุณลูกเยาวชน

ในขณะที่ ความเคร่งครัดที่เพิ่มขึ้น ได้แก่


สิ่งเสพติดที่ไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่ มีความเคร่งครัดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 59.4 ในรุ่นคุณยายคุณย่า มาอยู่ที่ร้อยละ 77.0 ในรุ่นคุณลูกเยาวชน


 และความเคร่งครัดในการอบรวมลูกห้ามสูบบุหรี่เคยมีอยู่ในกลุ่มคุณยายคุณย่าร้อยละ 59.4 มาอยู่ที่ร้อยละ 62.9



อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งเล็กน้อยหรือ

ร้อยละ 51.3 ระบุว่าปัจจุบันการอบรมเลี้ยงดูเคร่งครัดน้อยกว่าอดีต
 ในขณะที่ร้อยละ 27.0 ระบุเคร่งครัดเท่าเดิมและร้อยละ 21.7 ระบุเคร่งครัดมากกว่าอดีต



ส่วนเรื่องที่อยากจะขอบคุณแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น กลุ่มตัวอย่างได้ระบุใน 5 อันดับแรกไว้ ดังนี้

 1) เรื่องดูแลลูกๆ เป็นอย่างดี (ร้อยละ 46.2)
2) เรื่องที่แม่ให้คำปรึกษา / เป็นกำลังใจให้ลูกๆ เสมอ (ร้อยละ 17.Cool
 3) เรื่องคำสั่งสอนต่างๆ ที่ทำให้ลูกๆ เป็นคนดี (ร้อยละ 16.Cool
4) เรื่องที่แม่ได้ให้กำเนิดลูกๆ มา (ร้อยละ 16.5) และ
 5) เรื่องที่แม่หาเงินให้ใช้จ่าย (ร้อยละ 10.0)


เมื่อให้กลุ่มตัวอย่างระบุถึงสิ่งที่ตั้งใจจะทำให้แม่ในวันแม่ที่จะถึงนี้ พบว่า ใน 5 อันดับแรก ได้แก่

1) ทำบุญตักบาตร (ร้อยละ 36.9)
2) ให้สิ่งของ เช่น ดอกมะลิ ของขวัญ การ์ด (ร้อยละ 36.7)
 3) อยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน (ร้อยละ 34.Cool
4) ทำบุญอุทิศส่วนกุศล (ร้อยละ 26.Cool และ
 5) ให้เงิน (ร้อยละ 22.6)


และเมื่อให้กลุ่มตัวอย่างระบุคำสัตย์ปฏิญาณความดีเพื่อแม่ที่นึกถึงอันดับแรกในใจของลูก มีดังนี้

1) ทำตัวเป็นคนดีของสังคม (ร้อยละ 31.2)
 2) เป็นลูกที่ดีของแม่ (ร้อยละ 26.3)
 3) ตั้งใจเรียน / ทำงาน (ร้อยละ 11.4)
4) จะรักแม่ตลอดไป (ร้อยละ 9.2) และ
 5) ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด / เลิกเหล้า (ร้อยละ 5.6)



ดร.นพดล กล่าวว่า ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้คนส่วนใหญ่จะระบุว่า ตนเองมีความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับแม่มาก แต่จากการสำรวจในปัจจุบัน พบว่า แม่กับลูกมีเวลาได้พบเจอ / พูดคุยกันน้อยลงเมื่อเทียบกับผลสำรวจปีที่แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้พบเจอ / พูดคุยกันเลยระหว่างแม่กับลูกมีอัตราสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ แม่และลูกอาจมีเวลาให้กันน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการอบรมเลี้ยงดูของแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชนที่อาจขาดความใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่ และความเคร่งครัดในการอบรมเลี้ยงดูด้านศีลธรรมคุณธรรมมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับการอบรมเลี้ยงดูในรุ่นคุณย่าคุณยาย รุ่นคุณแม่และรุ่นคุณลูกที่เป็นเยาวชนในปัจจุบัน

เมื่อมองภาพรวมแล้ว สถาบันครอบครัวของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครจึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้คือ การให้เวลาแก่กันและกันระหว่างแม่กับลูก ควรทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจร่วมกัน เช่น เล่นกีฬาออกกำลังกาย ชมภาพยนต์ และท่องเที่ยวต่างจังหวัดร่วมกัน แต่เป็นเรื่องที่ปฏิบัติจริงได้ยากเพราะสถาบันครอบครัวในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะสร้างบรรยากาศครอบครัวขึ้นมาได้เอง


รัฐบาลและกรุงเทพมหานครจึงควรสร้างระบบสังคมขึ้นมาเสริมสร้างชีวิตครอบครัวของคนกรุงเทพมหานครและเขตชานเมือง หาแนวทางทำให้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญดึงคุณแม่ออกจากบ้าน ทำให้คุณแม่ถูกลดบทบาทความเป็นแม่ลงไปจากอดีต ส่งผลให้การอบรมเลี้ยงดูด้านศีลธรรมด้านคุณธรรมลดลง และต่อไปเด็กเยาวชนที่ไม่ตระหนักถึงศีลธรรมคุณธรรมเหล่านี้จะกลับมาทำร้ายสังคม

ดังนั้นทุกภาคส่วนของสังคมในเวลานี้ควรจัดเวทีระดมความคิดเห็นขึ้นมา เพื่อช่วยกันหาทางป้องกันวิกฤตการณ์ด้านสังคมอนาคตโดยรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร ควรเป็นเจ้าภาพ เพื่อค้นหานโยบายมาตรการต่างๆ เสริมความเข้มแข็งของครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดูเสริมสร้างสายใยสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกให้มีมากยิ่งขึ้น


http://www.bangkokbiznews.com/2006/08/11/w001_128388.php?news_id=128388
 

 


 

 
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #11 เมื่อ: 10-10-2006, 22:23 »


มีเวบหนึ่งมาฝาก  ลองอ่านดูนะคะ



..รักลูก(ไม่)ถูกทาง ...

http://www.tangnamo.com/others/wk16.htm
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
หน้า: [1]
    กระโดดไป: