ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 01:46
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  วิกฤตน้ำมันไทยถึงทางตัน คมนาคม-ธุรกิจทุกชนิดยันไม่อยู่ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
วิกฤตน้ำมันไทยถึงทางตัน คมนาคม-ธุรกิจทุกชนิดยันไม่อยู่  (อ่าน 3952 ครั้ง)
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« เมื่อ: 22-04-2006, 23:59 »

วิกฤตน้ำมันไทยถึงทางตัน
>> คมนาคม-ธุรกิจทุกชนิดยันไม่อยู่

      สภาพัฒน์ / กรมการค้าภายใน : วิกฤตน้ำมันพ่นพิษเศรษฐกิจวูบ รัฐบาลเรียกหน่วยงานถกรับมือด่วน  สภาพัฒน์ฯชี้แนวโน้มราคาอาจขยับพุ่งสูงขึ้นอีก หวั่นอัตราเงินเฟ้อ  การบริโภค การลงทุนชะงัก ปรับลดจีดีพีเป็น 4.5 - 5.5 ขณะที่ตัวเลขการส่งออกและท่องเที่ยว ยังเป็นพระเอกช่วยกู้สถานการณ์  "คมนาคม" ฟันธงรถร่วมบขส. - ขสมก.ยังไม่ปรับราคา แต่ให้อั้นถึง 27.69 บาท  กรมการค้าภายในเผยผู้ประกอบการ 56 บริษัท 22 รายการสินค้าเตรียมขอพาเหรดขึ้นราคา   
     
    ต้องยอมรับว่าเรื่องของราคาน้ำมันได้กลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ที่รอวันปะทุเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะทุกภาคส่วนของการผลิตได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์เงินเดือน กินข้าวแกงทุกคน ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ "สยามธุรกิจ"เคยนำเสนอเรื่องราวของปัญหาน้ำมันกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นมาแล้วในฉบับที่ 597 ครั้งนั้นมีการมองว่าหากราคาน้ำมันดีเซลแตะที่ราคา 25 บาท ธุรกิจเจ๊งแน่ ลางร้ายของวิกฤตเศรษฐกิจในรอบใหม่กำลังจะคืบคลานมาสู่สังคมไทยอีกครั้ง แต่วันนี้ดูเหมือนว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง มีแต่ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีการมองว่าอาจจะแตะที่ 30 บาทในเวลาอันใกล้นี้ก็เป็นได้   
 
http://www.siamturakij.com/book/
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
K I L L E R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 23-04-2006, 00:24 »

ก็ควรไปปรึกษาหารือกับ 5 พันธมิตร และไอ้พวกนักวิชากาม NGOs
ให้มันช่วยไปเจรจากับบรรดา โรงกลั่น ผู้ค้าปลีกน้ำมัน สิ...
บอกให้เลิกอิงราคาสิงคโปร์ซะที
พวกมันเก่ง มันรู้ทุกเรื่องนี่หว่า 5555

ราคาน้ำมันมันไม่ขึ้นไปจนทะลุเพดานบ้านหรอก
มันขึ้นไปแค่ระดับหนึ่งมันก็หยุดไปเอง
ไม่งั้นจะมีใครไปซื้อน้ำมันใช้กันล่ะ คิดง่ายๆแค่นี้แหละ




บันทึกการเข้า
(-O-)Koka
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 562



« ตอบ #2 เมื่อ: 23-04-2006, 00:35 »

เดี๋ยวขึ้นไปซักลิตรละ 50 ก็หยุดเองแหละครับ

เอากองทุนไปอุ้มอีกสิ เดี๋ยว GDP ไม่เข้าเป้านะเออ  Cool
บันทึกการเข้า


อหิงสาคือความเข้มแข็ง ไม่ใช่ความขี้ขลาด
จูล่ง_j
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,901



« ตอบ #3 เมื่อ: 23-04-2006, 03:05 »

ดูความแถ ของ K I L L E R อีกแล้วครับ
มันเป็นคนบ้ารึเปล่าเนี่ย
คนที่บอกทำไมต้องอ้างอิง สิงคโปร์ คือ ทรท บอกตอน ปชป เป็นรัฐบาล
แล้วพอ ทรท มาเป็น รัฐบาล มันก็อ้างอิงสิงคโปร์เหมือนกัน
บันทึกการเข้า

ภูพาน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 671


« ตอบ #4 เมื่อ: 23-04-2006, 09:20 »

ผมได้ข้อมูลว่ามาเลเซียน้ำมันขายลิตรละ 19 บาท แต่ไทยราคา  25-27 บาท ไม่ทราบข้อมูลที่ได้มาจริงเท็จแค่ไหนครับ  แล้วทำไม่ราคานจึงต่างกันมากทั้งๆ ที่อยู่ติดกันเองครับ
บันทึกการเข้า

ขอกันข้าให้ไกลห่างจากคนที่กล่าวว่า "ข้าเป็นดวงเทียนที่นำความสว่างให้หนทางของประชาชน"
หากแต่ผู้ที่แสวงหาหนทางของตนจากแสงแห่งประชาชนนั้น  ขอจงนำข้าเข้าไปใกล้ชิดด้วยเถิด
~ คาลิล ยิบราน
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 23-04-2006, 09:42 »

วันนี้22 เม.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงวิกฤตการณ์น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและส่อปัญหาขาดแคลนเป็นผลกระทบตามมาซ้ำสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เกินกว่า $74 ต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มที่จะมีราคาทะยานเพิ่มขึ้นนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว และยังไม่พอใจต่อท่าทีและมาตรการของรัฐบาลในการรับมือต่อปัญหาดังกล่าว เพราะว่าวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบ 3 ด้าน
1. ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
2. การประกอบการของภาคธุรกิจ
3. การเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้เป็นปัจจัยทีเกิดขึ้น จาก 3 ประการ คือ
1.สถานการณ์ในไนจีเรีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกสำคัญ
2. ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศอิหร่านและสหรัฐอเมริกา กรณีปัญหานิวเคลียร์
3. การเก็งกำไรราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้วิเคราะห์ว่า สถานการณ์วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งนี้จะรุนแรงเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อประเทศไทย และประชาชนคนไทย

ดังนั้นจึงขอเสนอแนวทางรับมือด้วย 5 มาตรการเร่งด่วนดังต่อไปนี้
1. มาตรการประหยัดแบบเข้มงวด ที่เป็นรูปธรรม
2. มาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง 4 กลุ่มคือ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มประมง กลุ่มขนส่ง และกลุ่มโรงงานขนาดกลางและย่อม
3. มาตรการส่งเสริมพลังงานทดแทน เอทานอล ไบโอดีเซล โดยเฉพาะการเข้าไปจัดการเรื่องวัตถุดิบ และมาตรการทางการเงิน และการคลังอย่างเป็นรูปธรรม
4. มาตรการทางภาษี เพื่อบรรเทาปัญหาด้านราคาขายปลีก ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตร สำหรับน้ำมันเบนซินลิตรละ 3.60 บาท ดีเซล 2.30 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีท้องถิ่น การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และรวมไปถึงกองทุนชดเชยที่ขาดทุนจากการเข้าไปพยุงราคาระหว่างปี 2547 – 2548 โดยที่รัฐบาลจะต้องไม่มองว่ามาตรการทางภาษีในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขายปลีกในประเทศนั้นเป็นภาระทางด้านการคลัง หากรัฐบาลยืนยันว่าปัจจุบันฐานะการคลังไม่ได้อยู่ในภาวะ “ถังแตก” หมายความว่ารัฐบาลจะมีฐานะการคลังเพียงพอในการในมาตรการทางภาษี เพื่อให้มีการลดการเก็บภาษีในแต่ละลิตรของน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา ก๊าซหุงต้ม และก๊าซเพื่อการขนส่ง
5. มาตรการลดภาระกองทุนน้ำมันที่ขาดดุลอยู่ 80,000 ล้านบาท โดยใช้กลไกทางงบประมาณแทนมาตรการการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนจากราคาขายปลีกแต่ละลิตรที่จำหน่ายให้ประชาชน

 ขณะเดียวกันทางพรรคประชาธิปัตย์ได้วิเคราะห์ว่าวิกฤตการณ์น้ำมันในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นวิกฤตการณ์ด้านราคาเท่านั้นแต่เป็นวิกฤตการณ์ด้านเสถียรภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศด้วย เนื่องจากประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันถึงร้อยละ 90 ของการใช้ในแต่ละวัน หากได้มีการวิเคราะห์ถึงสภาพต้นเหตุของปัญหาและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไป ทำให้น่าวิตกว่าจะมีผลกระทบถึงปริมาณน้ำมันดิบที่ออกสู่ตลาดโลก เนื่องจากความตึงเครียดและอาจนำไปสู่ปัญหาการเผชิญหน้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และอิหร่าน ในกรณีนิวเคลียร์นั้นจะส่งผลกระทบ 2 ประการ ต่อปัญหาเรื่องเสถียรภาพของน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันอย่างเฉียบพลัน หากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านไม่สามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีจนเกิดภาวะการโจมตี จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ต่อเสถียรภาพน้ำมันในประเทศไทยได้

ดังนั้นข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้รัฐบาลได้เตรียมการคือการกำหนดแผน 2 ชั้นในการรองรับ 2 สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น คือ แผนปฏิบัติการณ์กรณีราคาน้ำมันพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว เกินกว่า $70 ถึงมากกว่า $100 ต่อบาร์เรล และแผนปฏิบัติการกรณีที่ราคาน้ำมันสูงกว่า $70 ต่อบาร์เรล และเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมัน โดยมี 4 มาตรการที่รัฐบาลควรพิจารณาดังต่อไปนี้ คือ 1. มาตรการการสำรองน้ำมัน เพื่อป้องกันการขาดแคลนโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทน้ำมันต่าง ๆ 2. กำหนดมาตรการแบบเข้มข้นไว้ล่วงหน้า เพราะทันทีที่เกิดสถานการณ์จำลองดังกล่าวในแต่ละสถานการณ์นั้น ต้องกำหนดเป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน 3. จะต้องมีแผนลอจิสติกน้ำมันในภูมิภาคที่ประเทศไทยสามารถนำเข้าได้จากแหล่งผลิตที่ใกล้ที่สุด และ 4. มาตรการบรรเทาผลกระทบขั้นรุนแรง จากสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงและการขาดแคลนน้ำมัน

ทั้งนี้นายอลงกรณ์ได้ขอให้รัฐบาลได้เร่งพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวโดยด่วน และอย่าละเลย หรือส่งสัญญาณในการบิดเบือนสถานการณ์จากความเป็นจริงที่สถานการณ์ได้เข้าสู่ขั้นวิกฤตราคาน้ำมันแล้ว พร้อมกันนี้คณะทำงานด้านพลังงานของพรรคประชาธิปัตย์ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง กับทางรัฐบาลเพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และน้ำมันของประเทศในครั้งนี้ด้วย

http://www.democrat.or.th
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 23-04-2006, 09:50 »

รัฐตั้งเป้าลดใช้น้ำมันดิบ8% +โยนไทยออยล์ใช้ของในปท.บี้ผลิตเอธานอลเพิ่ม 
 
กระทรวงพลังงาน เดินหน้าลดการนำเข้าน้ำมันดิบ 8 % รับมือวิกฤตราคาน้ำมันพุ่ง โดยหันมาใช้น้ำมันดิบในประเทศแทนการส่งออก และจี้โรงงานน้ำตาลให้คายกากน้ำตาลที่อยู่ในสต็อก แก้ปัญหาเอธานอลขาด เพื่อให้ปั๊มขยายตัวได้มากขึ้น ขณะที่ไบโอดีเซล ยันกลางปีนี้มีออกมา 1.5 แสนลิตร ป้อนปตท.จำหน่าย พร้อมติดตั้งเอ็นจีวีให้แท็กซี่ฟรี

นายพรชัย รุจิประภา รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ ทางกระทรวงพลังงานได้มีนโยบายที่จะลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันให้มากที่สุด โดยในปีนี้มีเป้าหมายไว้ว่าจะลดการนำเข้าน้ำมันดิบให้ได้ 7-8 % จากที่ปีก่อนมีการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 828,000 บาร์เรลต่อวัน

สำหรับการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น ทางกระทรวงพลังงานได้หารือกับโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์แล้วว่า จะเป็นผู้รับน้ำมันดิบในส่วนที่ต้องส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศในปริมาณ 60,000 บาร์เรลต่อวัน จากที่มีการผลิตอยู่ 130,000 บาร์เรลต่อวันมาดำเนินการ แทนที่จะส่งออกไป โดยไทยออยล์จะลงทุนปรับปรุงขบวนการผลิตเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถกลั่นน้ำมันชนิดนี้ได้ ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดิบและมูลค่าการขาดดุลจากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงได้ส่วนหนึ่ง

นอกจากนี้ จะต้องเร่งส่งเสริมพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเวลานี้การใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ในปริมาณจำกัด เนื่องจากปริมาณเอธานอลที่ผลิตได้ อยู่ในภาวะที่ค่อนข้างตึงการผลิตสมดุลกับความต้องการ เนื่องจากขาดแคลนกากน้ำตาลในการผลิต ทำให้บริษัทน้ำมันไม่สามารถขยายสถานีบริการจำหน่ายได้ จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3,000 แห่ง เพราะหากขยายไปแล้วเกรงว่าปริมาณเอธานอลที่ผลิตได้อยู่ประมาณ 3 แสนลิตรต่อวันไม่เพียงพอเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์จากปัจจุบันจำหน่ายอยู่วันละ 3.4 ล้านลิตร

นายพรชัย กล่าวอีกว่า ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวในสัปดาห์หน้า ทางกระทรวงพลังานจะเชิญบรรดาโรงงานน้ำตาลต่างๆ มาหารือ เพื่อขอความร่วมมือในการนำกากน้ำตาลที่มีอยู่ในสต็อกออกมาจำหน่าย เนื่องจากเวลานี้ผู้ผลิต 2 ราย ได้แก่บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ และบริษัทไทยอะโกร เอ็นเนอยี่ ที่ใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ ไม่สามารถจัดหากากน้ำตาลได้เพียงพอ ทำให้ผลิตเอธานอลออกมาไม่เต็มกำลังการผลิต เพราะราคากากน้ำตาลได้ปรับตัวสูงขึ้นไปค่อนข้างมากอยู่ที่ 105 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หากกระทรวงพลังงานสามารถจัดหากากน้ำตาลให้ได้ ทางผู้ผลิตรับปากมาแล้วว่าการผลิตเอธานอลจะไม่มีปัญหา


อีกทั้ง เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ผลิต เร่งดำเนินการลงทุนก่อสร้างโรงงานมากขึ้น ทางกระทรวงพลังงานจะยืนยันว่าจะไม่มีการนำเข้าเอธานอลจากต่างประเทศเข้ามาเด็ดขาด รวมถึงจะยังคงรักษาส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อยู่ที่ลิตรละ 1.50 บาท ต่อไป เพื่อให้เกิดการขยายตัวของตลาดเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าราคาเอธานอลจะปรับเพิ่มขึ้นไปลิตรละ 23 บาทแล้วก็ตาม ก็จะมีเงินจากกองทุนน้ำมันสวนหนึ่งมาช่วยรักษาส่วนต่างนี้ให้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณกำลังการผลิตเอธานอลเข้ามาประมาณ 8-9 แสนลิตรต่อวัน โดยในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีโรงงานของบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล แก๊สโซฮอล์ คอร์ปอเรชั่น เข้ามาอีก 1.5 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งจะเพียงพอกับความต้องการในขณะนี้

ทั้งนี้ จากการปรับราคาเอธานอลขึ้นไปลิตรละ 23 บาท ส่งผลให้เวลานี้ โรงงานผลิตเอธานอลที่กำลังจะก่อสร้างขึ้นมาใหม่ จากเดิมที่ใช้กากน้ำตาล และน้ำอ้อยเป็นวัตถุดิบ ได้หันมาเปลี่ยนเป็นมันสำปะหลังเกือบทั้งหมดแล้ว เนื่องจากจะได้กำไรมากกว่า


นอกจากนี้ ในส่วนของการใช้ไบโอดีเซล ได้รับการยืนยนจากผู้ผลิตแล้วว่า ประมาณกลางปีนี้ จะมีโรงงานผลิต 3-4 แห่ง ที่เป็นโรงงานขนาด 3,000-50,000 ลิตรต่อวัน จะสามารถผลิตไบโอดีเซลออกมาได้ 1.5 แสนลิตรต่อวัน ออกมาจำหน่ายได้ โดยส่วนใหญ่จะถูกนำไปจำหน่ายให้กับกลุ่มรถบรรทุกโดยตรง และที่เหลือส่วนหนึ่งจะมาจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมันของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ซึ่งในปี 2550 ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีโรงงานขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ที่ 1-1.5 ล้านลิตรต่อวัน หากนำไปผสมเป็นไบโอดีเซลในสัดส่วน 10 % ได้จะทำให้ไปแทนที่น้ำมันดีเซลได้ 15 ล้านลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นครึ่งของการใช้น้ำมนดีเซลในปัจจุบันนี้

สำหรับการการเร่งติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีนั้น ใน1-2 เดือนข้างหน้านี้ ทางปตท.จะดำเนินการเปลี่ยนอุปกรณ์รถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีมาเป็นเอ็นจีวีให้ฟรี และเก็เงินคืนโดนผ่านค่าเนื้อก๊าซแทน ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมดน่าจะช่วยให้ลดการนำเข้าน้ำมันดิบตามแผนที่วางไว้ได้ 

http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=T0421071&issue=2107
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
แนวสกา
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 633



« ตอบ #7 เมื่อ: 23-04-2006, 13:49 »

ขับรถเดี๋ยวนี้ต้องหายใจเบาๆครับ

เดี๋ยวรถจะหนัก น้ำมันจะหมดเร็ว

คิดแล้วเจ็บใจเมื่อก่อนลิตร10บาทยังขี่แมงกะไซค์อยู่เลย
บันทึกการเข้า

ทุกคนล้วนมักมีอำนาจวาสนา ตัวข้าต้องการเพียงเสพดื่มกิน
หน้า: [1]
    กระโดดไป: