อย่าทิ้ง "ธง" สมานฉันท์คอลัมน์ เดินหน้าชน โดย จุฬาลักษณ์ ภู่เกิด
มติชน วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10437เท่าที่กลับไปทบทวนเหตุผลความจำเป็นที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำมาเป็น
ข้ออ้างในการ
กระทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน
ประเด็นหลักที่ย้ำแล้วย้ำอีก คือ เพื่อดึงสังคม
ที่กำลังแตกแยกทางความคิดจนอาจถึงขั้นปะทะกันเสียเลือดเสียเนื้อ ให้กลับคืนสู่
ความสมานฉันท์ รู้รักสามัคคีซึ่งจนถึงขณะนี้ยังเชื่อและนับวันยิ่งเชื่อว่า ความขัดแย้ง 2 ขั้วที่รุนแรงร้าวลึกกว่า
ทุกครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยมิได้เกิดขึ้นและพัฒนาไปตามวิถีธรรมชาติ มิได้
เกิดขึ้นจากปัจจัยภายใต้ระบอบทักษิณเป็นหลักแต่เพียงด้านเดียว หากแต่มีการ
วางจังหวะก้าวและกำกับบทมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมองย้อนหลังไปใน
ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาและพบว่าผู้มีส่วนรับรู้หลายต่อหลายคน "เผลอ" บอกใบ้ด้วย
ความย่ามใจมาเป็นระยะว่าจุดจบของรัฐบาลทักษิณจะเป็นเช่นไร และเมื่อไหร่
ขณะที่เหตุผลความจำเป็นที่ต้องเข้ามาตามล้างตามเช็ดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่
รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกกล่าวหาสารพัดเรื่อง ชนิดที่ว่าแตะไปตรงไหนก็ฉาวโฉ่
ที่นั่นนั้น ดูจะเป็นประเด็นรอง
แต่พลันที่ คปค. ส่งสัญญาณผ่านประกาศและคำสั่งหลายฉบับ และมีการปรับแก้ไปมา
จนเห็นได้ชัดว่ามีเจตจำนงค์อันแน่วแน่ในการเร่ง "เช็คบิล" ฝ่ายตรงข้ามให้ราบคาบ
ภายในกรอบระยะเวลา 1 ปี
เป้าหมายหลักที่จะมุ่งสร้างความสมานฉันท์ในสังคมจึงค่อยๆ ถูกลดคุณค่าให้เป็นเพียง
แค่ภาพมายาสวยหรูลวงตา
เพราะการออกประกาศแก้ไขประกาศ คปค. ฉบับที่ 23 แล้วนำไปสู่โฉมใหม่ฉบับที่ 30
ที่ให้อำนาจคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินหรือ คตส. สามารถจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ
เด็ดขาดกับทุกเรื่องที่เข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลทักษิณและเครือข่าย โดยเฉพาะ
ปมภาษีหุ้นชินคอร์ปที่ไม่เข้าข่ายในตอนแรกนั้น ดูจะจงใจขยายอำนาจดำเนินการได้อย่าง
ไม่มีขอบเขต ปรากฏว่าได้ส่งผลให้ความสมานฉันท์ในคณะกรรมการชุดนี้เองเริ่มมีปัญหา
ขึ้นมาทันที เพราะนาย สวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกา และประธาน คตส. ตาม
คำสั่งแรกตัดสินใจลาออก
แม้จะด้วยข้ออ้างอย่างไรก็ตาม แต่สังคมก็รับรู้ตรงกันว่าเป็นเพราะขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
กับคุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ที่เป็นผู้กุมอำนาจการจัดการตัวจริงใน คตส.
ทั้งเมื่อมีการออกประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ที่ให้ฟื้นองค์กรคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ชุดเดิมต้องหมดสภาพไปพร้อมชะตากรรมของรัฐธรรมนูญปี 2540
โดยเน้นให้มีองค์ประกอบมาจากศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดเป็นหลักเพื่อให้มาสาน
ต่อประเด็นการยุบพรรค อีกทั้งยังเพิ่มบทลงโทษให้ตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหาร
พรรคที่ถูกยุบ 5 ปี ซึ่งหนักหน่วงกว่าบทลงโทษเดิมตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่แค่ห้าม
กรรมการบริหารพรรคดังกล่าวดำรงตำแหน่งนี้ในพรรคอื่น แต่ยังคงสิทธิทางการเมือง
ไว้ทุกประการ
แม้จะยังคงเป็นข้อถกเถียงว่าจะมีผลย้อนหลังหรือไม่ และครอบคลุมทุกกรณีความผิด
ที่นำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่
แต่ก็สะท้อนถึงความจงใจที่จะทำลายล้างคู่ขัดแย้ง ทำลายสถาบันพรรคการเมืองอัน
เป็นสมบัติของประชาชนอย่างออกนอกหน้า
ท่าทีเช่นนี้ยิ่งจะเสริมให้เกิดความแตกแยก อีดอัดกดดันในสังคม เพียงแต่ฝักฝ่ายของ
ผู้ที่กำลังถูกกระทำยังไม่อาจแสดงออกได้อย่างเต็มที่เพราะมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่ไม่ใช่
อำนาจอธิปไตยของปวงชนกดทับไว้อยู่
ปรากฏการณ์โชเฟอร์แท็กซี่วัย 60 ปีตัดสินใจขับรถพุ่งชนรถถังจนตัวเองเฉียดตาย
อาจเป็นเพียงปฏิกิริยาแรกๆ ที่ต้องการสะท้อนให้สังคมรับรู้ อยู่ที่ว่าคปค. และรัฐบาล
ใหม่จะตระหนักแค่ไหน
ในภาวะที่สังคมต้องการการเยียวยารักษาบาดแผลอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ความยุติธรรม
การให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม และการมีบรรทัดฐานที่ชัดเจนให้การจัดการ
คลี่คลายแต่ละปมปัญหา น่าจะเป็นยาสมานแผลที่ดีที่สุดกระบวนการอันได้มาซึ่งอำนาจเบ็ดเสร็จโดยการปฏิวัติรัฐประหารไม่ว่าจะพยายามอ้าง
ความจำเป็นอย่างไรก็เป็นสิ่งพึงรังเกียจ เมื่อข่มเหงช่วงชิงอำนาจมา แล้วยังคับแคบ
ลุแก่อำนาจ มุ่งทำลายล้างอย่างขาดเมตตา
แล้วจะไปพูดถึงความสมานฉันท์ทำไมให้เปลืองน้ำลาย
หากที่ผ่านมาเคยก่นด่าระบอบทักษิณว่าเป็นศูนย์รวมแห่งความเลวร้าย เหลิงอำนาจ
เล่นพรรคเล่นพวก รัฐบาลใหม่ที่มีภาพลักษณ์ของผู้นำที่ซื่อสัตย์สุจริตซึ่งประกาศจะสร้าง
มิติใหม่ทางการเมือง ก็จะต้องไม่สนับสนุนให้มีการใช้กระบวนการที่เลวร้ายไปเอาชนะ
ความเลวร้ายที่ว่า เพียงเพื่อสนองความสะใจ
ไม่เช่นนั้นใครที่เคยเอ่ยถ้อยคำประณามใส่อีกฝ่าย ระวังน้ำลายจะรดหน้าตัวเอง
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act05071049&day=2006/10/07ขอย้ำอีกครั้งว่าที่เรียกร้องให้สมานฉันท์นั้นคือ พี่น้อง 16 ล้านเสียงที่เลือก ทรท.
มิใช่ ผู้ต้องหากระทำผิดที่เข้าสู่การพิจารณาคดี ในวันนี้
สมานฉันท์ โดยการดำเนินการกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่พวกเขาเลือก
อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แสดงความโปร่งใส ไม่อคติ ให้ปรากฏ มันยากที่จะทำมากนัก
หรือคะ หรือว่าเป็นการร้องขอที่มากเกินไป?