ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 21:35
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ..รบกวนสักนิดนะ สมาชิกเสรีไทย คิดอย่างไรกัน กับคำว่า ....ประชาธิปไตย... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
..รบกวนสักนิดนะ สมาชิกเสรีไทย คิดอย่างไรกัน กับคำว่า ....ประชาธิปไตย...  (อ่าน 2559 ครั้ง)
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« เมื่อ: 06-10-2006, 16:09 »



    ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Democracy ซึ่งคำนี้มาจากคำว่า Demokration ในภาษากรีก แปลว่า การปกครองของประชาชน ดังที่อดีตประธานาธิบดี ลินคอนของสหรัฐอเมริกาเคยกล่าวไว้เป็นเสมือนคำคมว่า "รัฐบาลประชาธิปไตย คือ รัฐบาลของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน" ซึ่งหมายถึงระบบการปกครองตามอุดมคติ ระบบหนึ่ง ที่รัฐบาลในระบบประชาธิปไตยจะให้โอกาสอันเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิต การแสวงหา ความสุข เป็นต้น๗



          นอกจากนี้ "ประชาธิปไตย" คำนี้ใช้ใน ๓ ความหมายใหญ่ๆ ซึ่งถ้ากำหนดเป็น วงกรอบหรือฐานะใหญ่ๆ ได้ ๓ ฐานะด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ๑) เชิงความคิด ๒) รูปแบบการ ปกครอง และ ๓) วิถีชีวิต โดยมีคำอธิบายเพิ่มเติมโดยสังเขปคือ

          ๑. ในฐานะเป็นปรัชญา (Phi-osophy) ทฤษฎีหรืออุดมการณ์ทางการเมือง ประชาธิปไตยในความหมายนี้ มุ่งเน้นไปในเรื่องของความคิด เป็นสภาพทางมโนกรรมทั้งของผู้นำและคนทั่วไป คือ ทั้งของผู้บริหารประเทศ และ พลเมืองทั่วไป

          ๒. ในฐานะเป็นรูปแบบการปกครอง (Forms of Government) เป็นการพิจารณาประชาธิปไตยในเชิงโครงสร้างของรัฐบาลแบบประชาธิปไตย เช่น เป็นระบบรัฐสภา เป็นระบบประธานาธิบดี

          ๓. ในฐานะเป็นวิถีชีวิต (Way of -ife) หมายถึง

          ๓.๑ วิถีทางแห่งการยอมรับเสียงข้างมาก
          ๓.๒ ความมีใจกว้าง
          ๓.๓ การมีขันติธรรม
          ๓.๔ การไม่ใช้ความรุนแรง
          ๓.๕ การเอาใจใส่ในกิจการบ้านเมือง (การมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมือง) อันเป็นเรื่องการประพฤติในสังคม๘



          จากที่ได้นิยามความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย มาโดยสังเขปนั้น ก็พอจะประมวล ลักษณะที่สำคัญของการปกครองแบบประชาธิปไตยได้เป็น ๔ ประการ ดังต่อไปนี้


        ๑. ประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย คือ ประชาชนมีอำนาจสูงสุดในรัฐ อาจใช้อำนาจทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้
          ๒. ประชาชนทุกคนในรัฐ มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ตลอดจน มีสิทธิเสรีภาพในขอบเขตของกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
          ๓. การดำเนินการต่างๆ ของรัฐนั้น คือ เอามติของเสียงข้างมากเป็นเครื่องตัดสิน แต่ในขณะเดียวกันเสียงข้างน้อยหรือคนส่วนน้อยของรัฐ จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายที่ป้องกันมิให้ประชาชนส่วนใหญ่ กดขี่ข่มเหงอย่างผิดกฎหมาย และผิดทำนองคลองธรรม
          ๔. กระบวนการของประชาธิปไตย คือ วิธีการปกครองซึ่งได้รับความยินยอมพร้อมใจของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งแสดงออกในรูปของการเลือกตั้ง การอภิปราย การออกเสียง ประชามติ การเสนอร่างกฎหมายของประชาชน เป็นต้น
         



   พระธรรมปิฎกได้นิยามคำว่า ประชาธิปไตยไว้อย่างน่าฟังยิ่งว่า เมื่อพูดถึงประชา- ธิปไตย ถ้ากล่าวถึงความหมาย มีวิธีพูดง่ายๆ อย่างหนึ่งคือ ยกเอาวาทะของประธานาธิบดี ลินคอล์น มาอ้าง เพราะคนชอบ และรู้จักกันมาก คือวาทะที่ว่า "ประชาธิปไตยเป็นการ ปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน" วาทะนี้คนจำได้แม่น เวลาพูดกัน คนมักมองความหมายในแง่ของความรู้สึกตื่นเต้นว่า ตนเองจะได้ เช่น จะได้สิทธิ ได้อำนาจ หรือ ได้ความเป็นใหญ่ในการที่จะเป็นผู้ปกครอง แต่อีกแง่หนึ่งที่ไม่ค่อยได้มองคือ "ความรับผิดชอบ"

          ดังนั้น จากวาทะลินคอล์นนั้น พระธรรมปิฎกมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ว่า ประชา- ธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนนั้น เป็นการเตือนให้รู้สึกตัวด้วยว่า ....

คุณภาพของประชาธิปไตยอยู่ที่คุณภาพของประชาชน เพราะว่า โดยปกติ คุณภาพของการปกครองย่อมขึ้นต่อคุณของผู้ปกครองเป็นสำคัญ ด้วยว่าในสมัยก่อนการ ปกครองอยู่ในกำมือของผู้ปกครองโดยตรง คุณภาพของประชาธิปไตย ก็วัดได้จากผู้ปกครองนั่นเอง แต่ในสมัยนี้ ในเมื่อประชาชนมาเป็นผู้ปกครอง บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ประชาธิปไตยจะมีคุณภาพแค่ไหน ก็อยู่ที่คุณภาพของประชาชนเป็นสำคัญ๙          จึงกล่าวสรุปได้ว่า พระธรรมปิฎกได้นิยามประชาธิปไตยโดยให้ความสำคัญในแง่ คุณภาพของประชาธิปไตยเป็นหลัก โดยเน้นว่า

          "ถ้าประชาชนมีคุณภาพดี ประชาธิปไตยก็มีคุณภาพดีด้วย ถ้าประชาชนมีคุณภาพต่ำ ประชาธิปไตยก็จะเป็นประชาธิปไตยอย่างเลวด้วย เพราะว่า คุณภาพของประชาธิปไตย ขึ้นต่อคุณภาพของประชาชน แล้วคุณภาพของประชาชนขึ้นต่ออะไร ก็ขึ้นต่อการศึกษา"๑๐


http://202.28.52.4/article/article_file/13dissertation47.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2006, 16:14 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #1 เมื่อ: 06-10-2006, 16:16 »

      ความเข้าใจของคนไทยทั่วไปที่มีต่อภาพลักษณ์ของประชาธิปไตยนั้น ก็คือ ในสังคมของคนหมู่มาก ต่างคนก็ต่างมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป เกณฑ์ตัดสินอำนาจสูงสุดของความต้องการหรือความประสงค์ของคนในระบอบนี้ก็คือ เสียงข้างมากของประชาชนนั่นเอง พระธรรมปิฎกเห็นว่า การตัดสินใจเช่นว่านี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากตัดสินถูกก็ดีไป ถ้าตัดสินผิดก็อาจเกิดความเสื่อมความพินาศทุกอย่างทุกประการ


การที่จะตัดสินใจผิดหรือตัดสินใจถูก ก็อยู่ที่ความเป็นคนดี มีปัญญา คือ มีคุณธรรม และมีความรู้ความเข้าใจ เฉลียวฉลาด สามารถในการคิด เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ประชาชนควรจะมี ถ้าประชาชน เป็นคนดี ตั้งใจดี มีความรู้ความเข้าใจ มีปัญญาชัดเจน คิดเป็น มองเห็นความจริง ก็ตัดสินใจได้ถูกต้อง๑๑



          ดังนั้น จากแนวคิดเรื่องดังกล่าวนี้ ทำให้เห็นได้ว่า ประชาธิปไตยจะดี ก็อยู่ที่ประชาชน ที่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจนั้นว่า จะต้องเป็นคนดีและมีปัญญา โดยที่ว่า ประชาชนเป็นใหญ่ มีอำนาจตัดสินใจนี้ การตัดสินใจที่ว่านั้น วินิจฉัยด้วยเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ในเรื่องนี้พระธรรมปิฎกให้ข้อสังเกตไว้ ๒ ประการด้วยกันคือ


          ๑. ถ้าคนส่วนใหญ่เป็นคนโง่ เสียงข้างมากที่วินิจฉัยก็จะเป็นการตัดสินใจเลือกอย่าง โง่ๆ หรือแม้แต่เลือกไปตามที่ถูกเขาหลอกล่อ ทำให้ผิดพลาดเสียหาย แต่ถ้าคนส่วนใหญ่เป็นคนดี มีปัญญา ก็จะได้เสียงข้างมากที่ตัดสินใจเลือกได้ถูกต้อง บังเกิดผลดี จึงต้องให้ประชาชนมีการศึกษา หรือจะได้เสียงข้างมากที่ตัดสินใจอย่างผู้มีปัญญา


          ๒. ความจริงของสิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอย่างที่มันเป็น มันย่อมไม่เป็นไปตามการบอก การสั่ง การลงคะแนนเสียง หรือตามความต้องการของคน ดังนั้น คนจะไปตัดสินความจริง ไม่ได้ แต่เป็นหน้าที่ของคนเองที่จะต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่เป็นจริง จึงต้องให้ประชาชนมี การศึกษา เพื่อจะได้เสียงข้างมากที่ตัดสินใจเลือกเอาสิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง

บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #2 เมื่อ: 06-10-2006, 16:19 »

 พระธรรมปิฎกย้ำว่า เสียงข้างมากตัดสินความจริงไม่ได้ อันนี้เป็นหลักธรรมดา เราตัดสินใจ ไม่ใช่ตัดสินความจริง ถ้าเอาเสียงข้างมากมาตัดสินความจริง ก็เป็นไปไม่ได้๑๒

          เพราะฉะนั้น ตามหลักการแล้วไม่สามารถเอาเสียงข้างมากมาตัดสินความจริงได้ ถ้าอย่างนั้น จะเอาเสียงข้างมากตัดสินอะไร ประเด็นนี้ พระธรรมปิฎก ให้ความเห็นว่า เราเอาเสียงข้างมากมาตัดสินความต้องการ คือบอกว่าจะเอาอย่างไร ในแง่นี้สามารถบอกได้ว่า ประชาชนต้องการอะไร จะเอาอย่างไร แล้วมีมติเป็นที่ตกลงกันว่าจะเอาอย่างนี้ ซึ่งรวมความ ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจะให้ความต้องการที่ว่าจะเอาอย่างไรนั้น ไปประสานกับความมุ่งหมายที่ดี โดยมีสติปัญญาที่รู้เข้าใจว่า อะไรเป็นความจริง ความถูกต้อง แล้วตัวประโยชน์แท้ที่ควรจะเอา คือ ต้องให้ความต้องการนั้น ไปตรงกับความจริง ความถูกต้องและความเป็นประโยชน์ที่แท้จริง มิฉะนั้นความต้องการนั้นก็ผิด

          เมื่อคนตัดสินใจด้วยความต้องการที่ผิด การตัดสินใจนั้นก็ผิด จะเลือกผิด เอาผิด และก่อให้เกิดผลร้าย เพราะฉะนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องทำให้คนมีความรู้ มีสติปัญญา จึงต้องเน้นกันว่า คนจะต้องมีวิจารณญาณ หรือจะใช้คำศัพท์ให้ลึกลงไปกว่านั้น ก็คือ ต้องมีโยนิโสมนสิการ ด้วยเหตุนี้ การใช้เสียงข้างมากมาตัดสิน จึงต้องเป็นเสียงแห่งสติปัญญา ที่แสดง ถึงความต้องการอันฉลาดที่จะเลือกเอาสิ่งที่ดีงามถูกต้องเป็นประโยชน์แท้จริง

          พระธรรมปิฎกสรุปว่า การศึกษาจำเป็นต่อประชาธิปไตย หรือพัฒนาประชาชนให้ ทำหน้าที่หรือใช้อำนาจตัดสินใจอย่างได้ผลดีใน ๒ ประการ๑๓ คือ

          ๑. ให้เสียงข้างมากที่จะใช้วินิจฉัย เกิดจากการตัดสินใจของคนที่เป็นบัณฑิต คือ คนดีมีสติปัญญา

          ๒. ให้การตัดสินใจของคนที่เกิดจากความต้องการที่มาประสานกับปัญญาที่รู้ และให้เลือกเอาสิ่งที่ถูกต้องดีงามจริงแท้ และเป็นประโยชน์แท้จริง
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #3 เมื่อ: 06-10-2006, 19:14 »

พระธรรมปิฎกย้ำว่า เสียงข้างมากตัดสินความจริงไม่ได้ อันนี้เป็นหลักธรรมดา เราตัดสินใจ ไม่ใช่ตัดสินความจริง ถ้าเอาเสียงข้างมากมาตัดสินความจริง ก็เป็นไปไม่ได้๑๒

          เพราะฉะนั้น ตามหลักการแล้วไม่สามารถเอาเสียงข้างมากมาตัดสินความจริงได้ ถ้าอย่างนั้น จะเอาเสียงข้างมากตัดสินอะไร

เสียงที่มันดังก้องในหัวว่าอะไรผิดอะไรถูกไงครับ
ปัญหาคือคนอีกเป็นจำนวนมากมักจะไม่ค่อยฟังเสียงที่อยู่ในหัวตัวเอง ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันเป็นความผิด มันยังทำเลย คนบางประเภทมันสามารถยกเหตุผลมาดับเสียงในหัวตัวเองได้ เป็นกลไกทางจิดชนิดหนึ่งอ่ะ
บันทึกการเข้า
วิหค อัสนี
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 946



« ตอบ #4 เมื่อ: 06-10-2006, 19:42 »

ผมเห็นว่า หลายๆ คน ยังสับสนในหลักการอยู่ระหว่าง "ประชาธิปไตย" กับ "เผด็จการเสียงข้างมาก" ครับ

...เลยต้องมาอยู่กันแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในระบบทหารในวันนี้นี่แหละ
บันทึกการเข้า

_______ดังนี้แล
__เปลวไฟจักลุกโชน
___หามีวันดับลงได้
_ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า
ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #5 เมื่อ: 06-10-2006, 21:16 »

พระธรรมปิฎก ปอ.ปยุตโต ท่านได้สรุปคำนี้ไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้ค่ะ

"เสียงส่วนใหญ่บอกความต้องการได้ แต่บอกความถูกต้องไม่ได้"

ประชาธิปไตยนั้น หากมองอย่างเถนตรง เขาบอกให้เคารพเสียงส่วนใหญ่ ก็แบบที่ทักษิณทำไงคะ "ใครเลือกเรา เราดูแลก่อน" นั่นคือคำตอบของเสียงข้างมากค่ะ  คนห้าคนรวมกัน มีข้าวพอกินสามคน ทั้งหมดไบ่งกัน เรียกร้องประชาธิปไตยให้ลงคะแนนเสียง สามคนที่รวมกันได้ ได้กินทั้งหมด อีกสองคนอด

เกมส์ทางโทรทัศน์ เซอไวร์เวอร์ เคยพิสูจน์สัจธรรมการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ในสภวะยากลำบาก และต้องพึ่งพากัน  ผลปรากฎว่า คนชั่วมักจะรวมหัวกัน และผู้ชนะในที่สุด ไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่มักจะเป็นคนที่พยายามหลบไม่เข้าพวกใคร ปล่อยให้มันฆ่ากันให้หมดก่อน ประมาณนั้น

ประชาธิปไตยนั้น เป็นปรัชญาที่พยายามหาคำจำกัดความกันมาโดยตลอดที่ใช้ระบอบนี้มา แต่ไม่ว่าคำจำกัดความของมันจะเป็นอย่างไร คนเถนตรงหรือไม่ได้เถนตรง แต่ชั่วช้าตลบแตลง ก็จะอ้างคำแปลของประชาธิปไตยที่มีคนแปลไว้ เอามาใช้บิดเบือนเพื่อประโยชน์ของตนเอง เช่น เสียงข้างมากไม่ฟังเสียงข้างน้อยเลย ก็ข้ามีเสียงข้างมากแล้วนี่ ทำไมต้องฟังเสียงข้างน้อย ผลคือความแตกแยกในสังคม

ประชาธิปไตยนั้นไม่มีรูปแบบที่แน่นอน อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ประเทศที่อ้างๆกันว่าเป็นประชาธิปไตย ยังปกครองไม่เหมือนกัน มีแนวคิดไม่เหมือนกัน  ฝรั่งเศสเป็นประชาธิปไตยมาก่อนใครๆเขาในสามประเทศที่ว่ามา แต่ก็มีเฉพาะบนบ้านเมืองของตัวเอง นอกบ้านเที่ยวไล่ปล้นประเทศอื่นๆเขา จนมาแพ้ญวนยับที่เดียนเบียนฟู จึงเลิกราวางมือไปพักหนึ่ง  อังกฤษก็ว่าเป็นแม่แบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา  ก็ไอ้รัฐสภาชั่วของอังกฤษนี่แหละ ที่ส่งทหารมาไล่ยึดดินแดนในเอเซีย ปล้าฆ่าไปเพื่อความร่ำรวยของประเทศ อเมริกาเองก็ใช่ย่อย ทำเปนประกาศบูชาสิทธิเสรีภาพ แต่ตัวเองละเมิดสิทธิ์ประชาชนที่อื่นไปทั่วโลก แล้วประเทศพวกนี้แหละ ทะลึ่งมาวิจารณ์ประชาธิปไตยของเรา

การปกครองโดยอาศัยเสียงข้างมาก คนโง่จะเสียเปรียบคนฉลาด แม้คนโง่จะมีมากกว่า  ตัวอย่างก็เห็นๆ รากหญ้าควายๆ ถูกหลอกจนใกล้จะวิบัติ ยังชูป้ายเรียกพรรคโจรเหยงๆ มันโง่ขนาดนั้น ปกครองตัวเองไหวหรือ

เกษตรกร เลือกผู้แทน แต่คนที่มาสมัครให้เลือก ไม่ได้เป็นเกษตรกร ไม่ได้อยู่สายเกษตรกร เป็นนายทุนในพื้นที่ เพราะเราใช้พื้นที่แบ่งเขตเลือกตั้ง ทำให้ไม่ได้ผู้แทนของปวงชน แต่กลับได้ตัวแทนของนายทุนในพื้นที่เข้ามาปกครองประเทศ ต้องแก้ไข

อำนาจก็เสมือนอาวุธ เอาอำนาจไปใส่ในมือคนโง่ ก็เหมือนเอาปืนบรรจุกระสุนจริงไปให้เด็กเล่น ผลคือความฉิบหายอย่างแน่แท้

ถ้ายังคิดไม่ออกว่า จะปฎิรูปการปกครองกันอย่างไร

ก็อย่าพึ่งรีบร้อนปกครองตนเองเลย อำนาจการปกครองนั้น ชิงมาอย่างไร คืนไปยังต้นกำเนิดก่อน จะดีไหมคะ
บันทึกการเข้า
นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #6 เมื่อ: 06-10-2006, 21:31 »

 

เพิ่งสอบเสร็จค่ะ ยังมึนตอบยาวๆเรื่องประชาธิปไตยด้วยไม่ไหวค่ะ
เจอข้อสอบข้อแรกถามว่า
เหตุใดระบอบทักษิณจึงล่มสลาย??
ข้อเดียว เขียนตอบไปซะสามสิบแผ่น
เอิ๊กๆ ข้ออื่นไม่ต้องทำแย้ววว...หมดเวลา ..
สุดท้าย เปลี่ยนใจเปลี่ยนคำตอบใหม่..กลัวคุงคูอ่านแล้วมึน
ตอบใหม่ประโยคเดียวว่า
เพราะระบอบทักษิณไม่สามารถปกครองให้ประเทศชาติร่มเย็นเป็นสุขได้

ประชาธิปไตย คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
(ท่องมาตั้งกะยังเป็นเด็กประถมค่ะ)
บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 06-10-2006, 21:34 »

โอ้ว คุณพรรณชมพู จองตอบหมดแล้วครับ จบข่าว 
บันทึกการเข้า

THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #8 เมื่อ: 06-10-2006, 21:38 »

ขออ้างท่านพุทธทาสครับ

ประชาธิปไตยคือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
ไม่ใช่เสียงของคนส่วนใหญ่ครับ

บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
kj 2nd
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74


« ตอบ #9 เมื่อ: 06-10-2006, 22:46 »

ประชาธิปไตย  คือการปกครองที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด  (ถ้าปัจจัยอื่นๆคงที่ เช่น ผู้นำคนเดียวกัน ประเทศเดียวกัน ทรัพยากรเหมือนกัน)

แต่ใกล้เคียงกับกฎของธรรมชาติมากที่สุด  (ใครแข็งแรงกว่า อยู่รอด)


ประชาธิปไตยแบบของไทย  มันก็พัฒนาตามแบบของมันแหละ   จะมีเลือกตั้ง(ซื้อเสียง) ยุบสภา(ป่าช้าแตก) ยึดอำนาจ(...)    หมุนเวียนกันไป   

ไทยไม่ต้องเอาอย่างหลายๆประเทศ เพราะสังคมไม่เหมือนกัน แนวคิด ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมก็แตกต่างกัน
แต่ไทยควรพัฒนา และเพิ่มความรู้ให้กับคนไทย  ปรับแนวทางของประชาธิปไตย  ให้เข้ากับสังคมบ้านเรา  จะดีกว่า

บันทึกการเข้า

@ # $ %
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #10 เมื่อ: 06-10-2006, 23:08 »



เพิ่งสอบเสร็จค่ะ ยังมึนตอบยาวๆเรื่องประชาธิปไตยด้วยไม่ไหวค่ะ
เจอข้อสอบข้อแรกถามว่า
เหตุใดระบอบทักษิณจึงล่มสลาย??
ข้อเดียว เขียนตอบไปซะสามสิบแผ่น
เอิ๊กๆ ข้ออื่นไม่ต้องทำแย้ววว...หมดเวลา ..
สุดท้าย เปลี่ยนใจเปลี่ยนคำตอบใหม่..กลัวคุงคูอ่านแล้วมึน
ตอบใหม่ประโยคเดียวว่า
เพราะระบอบทักษิณไม่สามารถปกครองให้ประเทศชาติร่มเย็นเป็นสุขได้

ประชาธิปไตย คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
(ท่องมาตั้งกะยังเป็นเด็กประถมค่ะ)


ขออวยพรให้น้องนู๋เจ๋งสอบได้เอช้วนค่ะ เย้ 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2006, 23:12 โดย aiwen^mei » บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
พี่แคนแฟนคลับ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37


« ตอบ #11 เมื่อ: 06-10-2006, 23:28 »

ตามที่ คุณพรรณชมพู ตอบหมดเลยครับ 
บันทึกการเข้า

"คนจะยืนหยัดอยู่ยืนยง ไม่หลงมัวเมาเป็นอื่น เอาใหม่เมื่อล้ม สลบแล้วฟื้น กลับมายืนได้เอง คุณธรรมปักอยู่ในใจ ไม่ใช่แค่เป็นคนเก่ง ทำสิ่งที่รู้ เพื่อคนทั้งหลาย ไม่ทำลายเสียเอง จึงอยู่นาน"
เจ็ดสิงหา
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 26


« ตอบ #12 เมื่อ: 07-10-2006, 05:49 »

พระธรรมปิฎก ปอ.ปยุตโต ท่านได้สรุปคำนี้ไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้ค่ะ

"เสียงส่วนใหญ่บอกความต้องการได้ แต่บอกความถูกต้องไม่ได้"

ประชาธิปไตยนั้น หากมองอย่างเถนตรง เขาบอกให้เคารพเสียงส่วนใหญ่ ก็แบบที่ทักษิณทำไงคะ "ใครเลือกเรา เราดูแลก่อน" นั่นคือคำตอบของเสียงข้างมากค่ะ  คนห้าคนรวมกัน มีข้าวพอกินสามคน ทั้งหมดไบ่งกัน เรียกร้องประชาธิปไตยให้ลงคะแนนเสียง สามคนที่รวมกันได้ ได้กินทั้งหมด อีกสองคนอด

เกมส์ทางโทรทัศน์ เซอไวร์เวอร์ เคยพิสูจน์สัจธรรมการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ในสภวะยากลำบาก และต้องพึ่งพากัน  ผลปรากฎว่า คนชั่วมักจะรวมหัวกัน และผู้ชนะในที่สุด ไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่มักจะเป็นคนที่พยายามหลบไม่เข้าพวกใคร ปล่อยให้มันฆ่ากันให้หมดก่อน ประมาณนั้น

ประชาธิปไตยนั้น เป็นปรัชญาที่พยายามหาคำจำกัดความกันมาโดยตลอดที่ใช้ระบอบนี้มา แต่ไม่ว่าคำจำกัดความของมันจะเป็นอย่างไร คนเถนตรงหรือไม่ได้เถนตรง แต่ชั่วช้าตลบแตลง ก็จะอ้างคำแปลของประชาธิปไตยที่มีคนแปลไว้ เอามาใช้บิดเบือนเพื่อประโยชน์ของตนเอง เช่น เสียงข้างมากไม่ฟังเสียงข้างน้อยเลย ก็ข้ามีเสียงข้างมากแล้วนี่ ทำไมต้องฟังเสียงข้างน้อย ผลคือความแตกแยกในสังคม

ประชาธิปไตยนั้นไม่มีรูปแบบที่แน่นอน อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ประเทศที่อ้างๆกันว่าเป็นประชาธิปไตย ยังปกครองไม่เหมือนกัน มีแนวคิดไม่เหมือนกัน  ฝรั่งเศสเป็นประชาธิปไตยมาก่อนใครๆเขาในสามประเทศที่ว่ามา แต่ก็มีเฉพาะบนบ้านเมืองของตัวเอง นอกบ้านเที่ยวไล่ปล้นประเทศอื่นๆเขา จนมาแพ้ญวนยับที่เดียนเบียนฟู จึงเลิกราวางมือไปพักหนึ่ง  อังกฤษก็ว่าเป็นแม่แบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา  ก็ไอ้รัฐสภาชั่วของอังกฤษนี่แหละ ที่ส่งทหารมาไล่ยึดดินแดนในเอเซีย ปล้าฆ่าไปเพื่อความร่ำรวยของประเทศ อเมริกาเองก็ใช่ย่อย ทำเปนประกาศบูชาสิทธิเสรีภาพ แต่ตัวเองละเมิดสิทธิ์ประชาชนที่อื่นไปทั่วโลก แล้วประเทศพวกนี้แหละ ทะลึ่งมาวิจารณ์ประชาธิปไตยของเรา

การปกครองโดยอาศัยเสียงข้างมาก คนโง่จะเสียเปรียบคนฉลาด แม้คนโง่จะมีมากกว่า  ตัวอย่างก็เห็นๆ รากหญ้าควายๆ ถูกหลอกจนใกล้จะวิบัติ ยังชูป้ายเรียกพรรคโจรเหยงๆ มันโง่ขนาดนั้น ปกครองตัวเองไหวหรือ

เกษตรกร เลือกผู้แทน แต่คนที่มาสมัครให้เลือก ไม่ได้เป็นเกษตรกร ไม่ได้อยู่สายเกษตรกร เป็นนายทุนในพื้นที่ เพราะเราใช้พื้นที่แบ่งเขตเลือกตั้ง ทำให้ไม่ได้ผู้แทนของปวงชน แต่กลับได้ตัวแทนของนายทุนในพื้นที่เข้ามาปกครองประเทศ ต้องแก้ไข

อำนาจก็เสมือนอาวุธ เอาอำนาจไปใส่ในมือคนโง่ ก็เหมือนเอาปืนบรรจุกระสุนจริงไปให้เด็กเล่น ผลคือความฉิบหายอย่างแน่แท้

ถ้ายังคิดไม่ออกว่า จะปฎิรูปการปกครองกันอย่างไร

ก็อย่าพึ่งรีบร้อนปกครองตนเองเลย อำนาจการปกครองนั้น ชิงมาอย่างไร คืนไปยังต้นกำเนิดก่อน จะดีไหมคะ

เรียนคุณพรรณชมพูและสมาชิกเสรีไทยที่รักทุกท่าน

ผมขอเสนอแนะดังนี้ ในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้พวกคุณที่มีความเห็นตรงกัน
ควรไปเสนอว่าต่อไปนี้คนโง่นั้นไม่ต้องเลือกตั้งแล้ว ให้คนชาญฉลาดอย่างพวกคุณได้จัดการ
กันเอง เพราะให้สิทธิให้อำนาจไปก็เหมือนเอากระสุนปืนจริงไปให้เด็กเล่น ผลคือความฉิบหายอย่างแน่แท้

ในเมื่อประชาธิปไตยมันไม่มีรูปแบบที่แน่นอนอย่างที่คุณว่า ก็เอาให้มันชัดเจนไปเลยว่าประชาธิปไตย
แบบไทย ๆ มันเป็นอย่างไร กำหนดให้แน่นอน ประกาศให้ชัดเจน เช่นคนที่จะไปเลือกตั้งได้ต้องผ่านการทดสอบไอคิวก่อน
รายได้ขั้นต่ำไม่ถึงปีละห้าแสนไม่มีสิทธิ มีประวัติย้อนหลังห้าชั่วโคตรว่าบรรพบุรุษเคยรับเงินซื้อเสียง อย่างนี้ถูกตัดสิทธิ

และข้อความต่อไปนี้ "ความเท่าเทียมกัน" "สิทธิที่มนุษย์ทุกคนพึงกระทำได้ "สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน"
"การมีส่วนร่วม" ข้อความเหล่านี้อย่าให้มีในรัฐธรรมนูญเด็ดขาด เพราะเมื่อมีขึ้นมาแล้วพวกขี้ครอกทั้งหลาย
ก็จะไปตีความว่าตัวเองก็มีสิทธิในข้อความนั้น ๆ เหมือนกับคนไทยทุก ๆคน

หรืออาจจะมีได้ แต่ต้องผ่านการคัดเลือกเป็นคน ๆ ไป ว่าคนไหนถึงจะมีสิทธิในความเท่าเทียม ในสิทธิที่มนุษย์พึงกระทำได้
ในสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในสิทธิการมีส่วนร่วม ใครที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ให้ถือว่าสถานภาพเป็นผู้อยู่อาศัยในผืนแผ่นดิน
ไม่ใช่เจ้าของแผ่นดิน จะมีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ มิได้

ผมว่าถ้ามันชัดเจนและตรงไปตรงมาแบบนี้ มันก็คงไม่วุ่นวายอย่างที่พวกคุณเห็น  "รากหญ้าควายๆ ถูกหลอกจนใกล้จะวิบัติ"
อย่างที่ว่าก็จะไม่เกิด

รีบพากันไปเลยครับก่อนที่เขาจะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ไม่อย่างนั้นรัฐธรรมนูญก็จะออกมาในรูปแบบเดิม ๆ ประเภทกระจายอำนาจอย่างทั่วถึง
ให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน ฯลฯ ผมล่ะเบื่อไอ้ประโยคประเภทนี้จริง ๆ

**** อย่ามาว่าผมประชดนะครับ ผมเห็นด้วยกับพวกคุณจริง ๆ โดยเฉพาะความคิดของคุณพรรณชมพู ถูกใจผมสุด ๆ  และประโยค
"รากหญ้าควายๆ ถูกหลอกจนใกล้จะวิบัติ" แหม้ มันถูกใจผมจริงจริ้ง *****

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2006, 06:05 โดย เจ็ดสิงหา » บันทึกการเข้า
morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #13 เมื่อ: 07-10-2006, 06:50 »

ประชาธิปไตย...เป็นคำสั้น ๆ ที่บอกว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทั้งปวง

ส่วนระบบที่ทำให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั้น มีหลายวิธี ....

ประชาธิปไตยของผม คือ ประชาชนรู้เท่าทันตัวแทนของตัวเอง และเป็นฝ่ายชี้นำตัวแทนของตัวเอง ไม่ใช่ตัวแทนหรือผู้แทนเป็นฝ่ายชี้นำประชาชน

เมือตัวแทนของประชาชน ทำเพื่อประชาชน นั่นหมายถึีงอำนาจอธิปไตยได้เป็นของประชาชน..ถ้าตัวแทนของประชาชนหลอกประชาชนเข้าไปทำประโยชน์ให้ตนเอง..เมื่อนั้น ระบบที่ว่า ก็เรียกได้ไม่เต็มปากว่าประชาธิปไตย
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 07-10-2006, 08:11 »

ถึงบอกว่า เอาคำจำกัดความทั้งหมดไปฝาก "ประชาไท" เค้าบ้างซีครับ

เผื่อ ด็อกเตอร์ทั้งหลาย จะได้หายโง่ซะที

ทั้ง ๆ ที่พวกเราบอกว่า...ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่เรา็้เข้าใจว่าอะไรทำให้มันเกิด..และจะร่วมเดินไปทางใหน

เมื่อเกิดแล้ว ก็ทำไมไม่เข้าไปช่วยกันสร้างหลักการประชาธิปไตย ให้มันทำงานได้อย่างที่ทุกคนใฝ่ฝัน
บันทึกการเข้า

snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #15 เมื่อ: 07-10-2006, 08:57 »

รบกวนท่านผู้บรรลุธรรมสูงส่งทั้งหลาย
ตอบหน่อยว่า ผู้ที่มักดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นว่าโง่
ต่อไปจะต้องชดใช้กรรมโดยเกิดมาเป็นผู้มีปัญญาน้อยซะเองไหม

ต้องขออภัย จขกท. ที่มาตั้งคำถามแทนการตอบ
มิบังอาจตอบคำถามตามหัวข้อกระทู้
ด้วยวุฒิภาวะ และ EQ ไม่สูงพอ

เพราะลองสรุปความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในเวบบอร์ดนี้
จากการตอบกระทู้ต่างๆ แล้วได้ออกมาว่า

นักวิชาการหรือใครที่ออกมาเคลื่อนไหว
ต่อต้านรัฐประหารตอนนี้ก็เพราะว่าอยากดัง
นักการเมืองก็หาดีไม่ได้ทั้งนั้น
ประชาธิปไตยคงมีไม่ได้ เพราะมีแต่คนไม่ดี
เดี๋ยวคนโง่ จน เห็นแก่ผลประโยชน์
จะเลือกคนไม่ดี มาโกงกินชาติ
ต้องให้อัศวินขี่รถถังปกครองไปตลอดกาล
ถึงจะสุขใจ

ระบบ ระบอบ อะไรไม่ต้องมี
รอให้คนดีผุดขึ้นมากู้ชาติทุก 15 ปีก็พอ

ซึ่งที่สรุปมานี้คงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
เพราะถ้าจริงก็ไม่รู้จะร่างรัฐธรรมนูญให้เสียเวลาไปทำไมกัน
ควรไปเสนอรัฐบาลหอยให้เลิกทำซะดีกว่า
       
เคยอ่านผ่านตากระทู้ไหนจำไม่ได้แล้ว
ที่เสนอให้ลองแบ่งประเทศเป็นสองส่วน
แล้วปกครองคนละอย่างเปรียบเทียบกัน
ฟังดูน่ากลัว แต่บางทีอาจน่าลองทำดูให้รู้ผลไป
หากปรองดองสมานฉันท์ไม่ได้
ใครชอบการปกครองแบบไหนก็เลือกอยู่เอาตามใจ
ไม่ต้องเถียงกันให้เมื่อย ทะเลาะกันให้เหนื่อย
น่าเบื่อ เสียเวลา และพลังงาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2006, 19:01 โดย snowflake » บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 07-10-2006, 09:02 »

ลองถามพวกที่กำลังโวยวายดูสิ ถ้าได้เข้าไปเป็นคนร่างรัฐธรรมนูญจะไปมั๊ย
บันทึกการเข้า

p
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,264


« ตอบ #17 เมื่อ: 07-10-2006, 10:27 »

ขออ้างท่านพุทธทาสครับ
ประชาธิปไตยคือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
ไม่ใช่เสียงของคนส่วนใหญ่ครับ

ยอมรับครับที่บอกว่า "ไม่ใช่เสียงของคนส่วนใหญ่"
แต่ยอมรับไม่ได้ที่บอกว่า "คือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่"
เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะเป็นพวกมากลากไปก็ได้ครับ
ถ้าเป็น"พวกมากลากไป" ที่มีคุณธรรมและจริยธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าเป็น"พวกมากลากไป" ที่ไม่มีคุณธรรมและจริยธรรมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ


Smile

บันทึกการเข้า

ถ้ามัวคิดแต่จะโกงและเอาเปรียบคนอื่น จะสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้อย่างไร
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #18 เมื่อ: 07-10-2006, 10:45 »

ขออ้างท่านพุทธทาสครับ
ประชาธิปไตยคือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
ไม่ใช่เสียงของคนส่วนใหญ่ครับ

ยอมรับครับที่บอกว่า "ไม่ใช่เสียงของคนส่วนใหญ่"
แต่ยอมรับไม่ได้ที่บอกว่า "คือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่"
เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะเป็นพวกมากลากไปก็ได้ครับ
ถ้าเป็น"พวกมากลากไป" ที่มีคุณธรรมและจริยธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าเป็น"พวกมากลากไป" ที่ไม่มีคุณธรรมและจริยธรรมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ




 





Smile Smile

  รวมความคิดเห็นของทั้งสองท่านแล้ว  โดนใจเจ้าของ
กระทู้มากค่ะ  บ่งบอกว่า -- ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ
ต้องก่อตัวมาจากรากฐานของศีลธรรมค่ะ

Smile
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
glock19
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 355


« ตอบ #19 เมื่อ: 07-10-2006, 14:44 »

          รากหญ้าควายๆ 
 
   เป็นคำที่ระคายหู
 
    แต่มันคือความจริง
บันทึกการเข้า
NoNaMe...[รากฝอย]
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 44



« ตอบ #20 เมื่อ: 07-10-2006, 15:07 »

ถ้ายังมีคน..โง่ๆแบบผมอาศัยอยู่...

โง่ๆที่แบบที่คิดว่า...ประชาธิปไตย...คือเสรีภาพไร้ขีดจำกัด..

-กระทืบเด็ก..สตรี..และคนชรา...ได้โดยเสรี

-ด่าใครก็ได้...(จริงป่าวไม่รู้ด่าเอามันไว้ก่อน)...โดยเสรี..ไร้ขีดสุด

-เสรีจน..ไม่ต้องอยู่ในกรอบประเพณีใดๆ...(ผูัใหญ่ผู้เด็กไม่สนใจ...ไม่ต้องเคารพ...ตูพูดตูทำอย่างมีเหตุผลของตู)




สรุป.....ประชาธิปไตยเป็นระบบที่ห่วยที่สุด...

กฎหมาย..=ขีดของศีลธรรม...ทำผิดศีลแบบเกินขีด...=ผิดกฎหมาย...(แต่ในอินเตอร์เนตดูเหมือนจะไม่ใช่..สูตรแบบนั้น)

ถ้าคนจำนวนมาก...ยังมีจิตใจและความรู้สึก....ที่ห่วยแตก..(ทั้งต่อตัวเองและคนอื่นๆ Surprised)


สรุป(มั่วเอง)อีกที....ขอให้ช่วยส่งเสริมความรู้..พัฒนาคนบำรุงศาสนา......ให้คนเข้าถึง...กว่าที่ผ่านมา..ก็จะดีไม่น้อย

ปล...ผมเพ้อเจ้อไปเรื่อย...ถ้าไม่เข้าใจขออภัยด้วยนะครับ.. 
บันทึกการเข้า

-ขอให้....ความสุขกายสบายใจ........เกิดแก่คนทำดีคิดดีทุกคน..ครับ

-ใครคิดร้ายต่อบ้านเมือง..และในหลวง..ขอให้ตายอย่างทรมาน
morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #21 เมื่อ: 07-10-2006, 15:58 »

คงมีหลายคนสับสนกับคำว่าประชาธิปไตย และพยายามเอาไปตีความเรื่อยเปื่อย

กับคำว่าประชาธิปไตย กับ ศีลธรรม มันเป็นคนละเรื่องกัน..คำว่าศีลธรรมเป็นสิ่งที่ควรมีในตัวทุกคน ส่วนประชาธิปไตยบางครั้งอาจขัดกันกับศีลธรรมก็ได้ เช่นการลงประชามติให้มีคาสิโนได้ในประเทศไทย(ถ้าเกิดมี) การนำเงินจากสรรพสามิต หรือสลากกินแบ่งรัฐบาลมาบริหารประเทศ..หรือการตัดสินโทษประหารชีวิตในขบวนการศาลยุติธรรม...

การอยู่ร่วมกันมีระบบ และ กฏเกณฑ์ เราจึงมีกฏหมาย เราจึงมีระบบการปกครอง...ส่วนที่กฏหมาย และ ระบบการปกครองมันดูเหมือนแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็เพราะคนไม่มีศีลธรรม


ปล. คำว่ารากหญ้าควาย ๆ เป็นความจริงหรือเปล่าก็แล้วแต่ใครจะคิด แต่การพูดออกมาไม่ใช่เรื่องดี ..น่าจะเข้าใจ
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #22 เมื่อ: 07-10-2006, 16:48 »

คงมีหลายคนสับสนกับคำว่าประชาธิปไตย และพยายามเอาไปตีความเรื่อยเปื่อย

กับคำว่าประชาธิปไตย กับ ศีลธรรม มันเป็นคนละเรื่องกัน..คำว่าศีลธรรมเป็นสิ่งที่ควรมีในตัวทุกคน ส่วนประชาธิปไตยบางครั้งอาจขัดกันกับศีลธรรมก็ได้ เช่นการลงประชามติให้มีคาสิโนได้ในประเทศไทย(ถ้าเกิดมี) การนำเงินจากสรรพสามิต หรือสลากกินแบ่งรัฐบาลมาบริหารประเทศ..หรือการตัดสินโทษประหารชีวิตในขบวนการศาลยุติธรรม...

การอยู่ร่วมกันมีระบบ และ กฏเกณฑ์ เราจึงมีกฏหมาย เราจึงมีระบบการปกครอง...ส่วนที่กฏหมาย และ ระบบการปกครองมันดูเหมือนแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็เพราะคนไม่มีศีลธรรม


ปล. คำว่ารากหญ้าควาย ๆ เป็นความจริงหรือเปล่าก็แล้วแต่ใครจะคิด แต่การพูดออกมาไม่ใช่เรื่องดี ..น่าจะเข้าใจ






      ดังนั้น จะเห็นได้ว่า พระธรรมปิฎกให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างสังคมประชาธิปไตย และสามารถได้รับประโยชน์จากสังคมประชาธิปไตย แล้วก็ช่วยให้ประชาธิปไตยดำเนินไปด้วยดี สู่จุดหมายของระบอบประชาธิปไตยด้วยอาศัยการศึกษานั่นเอง



          ในหลักการที่เป็น อธิปไตย ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ ๓ ประการด้วยกัน ๒๔ นั่นก็คือ

          ๑. อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คือ ถือเอาตนเอง ฐานะ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของตนเป็นใหญ่ กระทำการด้วยการปรารภตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นประมาณ ในฝ่ายกุศล ได้แก่ เว้นชั่ว ทำดี ด้วยเคารพตน

          ๒. โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ คือ ถือความนิยมของชาวโลกเป็นใหญ่ หวั่นไหวไปตามเสียงนินทาและสรรเสริญ กระทำด้วยปรารถนาจะเอาใจผู้นั้น หาความนิยม หรือหวั่นกลัวเสียงกล่าวว่าเป็นประมาณ ในฝ่ายกุศลได้แก่ เว้นชั่ว ทำดีด้วยเคารพเสียงหมู่ชน

          ๓. ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ถือหลักการความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผลเป็นใหญ่ กระทำด้วยปรารภสิ่งที่ได้ศึกษา ตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และความเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวาง แจ้งชัด และพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญา มองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงามเป็นประมาณ อย่างสามัญได้แก่ ทำการด้วยความเคารพ หลักการ กฎ ระเบียบ กติกา เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าต้องการรับผิดชอบต่อรัฐประชาธิปไตย หรือหลักข้อ ๓ คือ ธรรมาธิปไตย


         โดยเฉพาะอย่างในการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น พระธรรมปิฎกมองเห็นว่า การปกครองนั้น หากเป็นไปเพื่ออยากได้ผลประโยชน์ อยากใหญ่ อยากโต อยากมีอำนาจ อยากได้อะไรๆ ต้องเป็นไปตามความยึดถือของตน ซึ่งจะตรงกันข้ามกับจริยธรรม ถ้าถูกตัณหา มานะ หรือ ทิฏฐิครอบงำ แน่นอนว่า จริยธรรมเดินไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทางแก้ไขเรื่องนี้ก็คือ จะต้องมีการพัฒนาความอยากให้มันดี และอยากทำให้มันดีนี้ให้เข้มข้น แรงกล้า ให้เป็นไปอย่างมุ่งมั่นที่สุด ให้ฝังลึกลงไปประจำอยู่ในจิตใจให้ได้   


      เมื่อคนในสังคมประชาธิปไตย มีความใฝ่ดี อยากให้มันดี ปรารถนาความสุขแก่ ประชาชน และแก่บ้านเมืองแล้ว ความปรารถนานี้ก็จะแผ่ลึกซึ้งและครอบคลุมทั่วไป ซึ่งพระธรรมปิฎกพูดด้วยคำสั้นๆ ว่า ความอยากให้ธรรมเกิดมีขึ้น หรือความใฝ่ธรรม กล่าวคือ อยากให้ธรรม ความดี ความงาม ความจริง ความถูกต้อง เกิดมีขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และตรงจุดหมาย เพราะการที่มนุษย์มีการปกครอง มีการงานบ้านเมืองต่างๆ นี้ ก็เพื่อให้ เกิดมี "ธรรม" ขึ้นในสังคมมนุษย์ หรือเพื่อดำรง "ธรรม" ให้คงอยู่     



    คำว่า "ธรรม" ในที่นี้ พระธรรมปิฎกให้นิยามไว้ว่า หมายถึง ความจริง ความ ถูกต้อง ความดีงาม ประโยชน์สุขที่แท้จริง รวมทั้งหลักการที่จะให้เกิดความดีงาม ความ ถูกต้องเหล่านี้๒๕ การที่เราจัดตั้งวางหลักต่างๆ เช่น หลักการทางรัฐศาสตร์ หลักการทาง นิติศาสตร์ หลักการทางเศรษฐศาสตร์ หรือหลักการเองใดๆ ก็ตาม ก็เพื่อให้มีเกณฑ์ มี มาตรฐานในการที่จะดำเนินงาน เพื่อสร้างสรรค์ทำให้เกิดความดี ความงาม ความถูกต้อง และประโยชน์สุขที่แท้นั้น          เมื่อต้องการความดีงามและประโยชน์สุขแก่บ้านเมือง ก็ต้องยึดถือหลักการเหล่านี้ ซึ่งเรียกด้วยคำที่สั้นที่สุดคำเดียวว่า "ธรรม" เพราะฉะนั้น นักการเมืองจะต้องมีจริยธรรมสำคัญขั้นต่อไป ต่อจากความอยากที่ถูกต้อง หรือความใฝ่ปรารถนาที่เรียกว่า ฉันทะ ก็คือ การที่จะต้องยึดถือธรรมเป็นใหญ่ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ธรรมาธิปไตย ถ้าคนเรา ไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ คือไม่ถือหลักการ ไม่เอาความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม ประโยชน์สุขที่แท้เป็นมาตราฐาน เป็นใหญ่หรือเป็นที่ยึดถือ ก็จะเอนเอียงหรือเขวออกไป กลายเป็นยึดถือเอาตัวคนเป็นใหญ่ เอาผลประโยชน์เป็นใหญ่ หรือเอาคะแนนนิยมเป็นใหญ่ เป็นต้น

          เมื่อถือเอาตัวตน ผลประโยชน์ของตน ความยิ่งใหญ่ อำนาจของตน เป็นต้นเป็นใหญ่ เรียกว่า อัตตาธิปไตย แต่ถ้าถือเอาความนิยม การเอาอกเอาใจกัน ความชอบใจ ความพึงพอใจ ของคนจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์เรียกว่า โลกาธิปไตย

          พระธรรมปิฎกอธิบายหลักการของธรรมาธิปไตยเพิ่มเติมว่า ผู้เป็นนักปกครอง เป็นนักการเมือง เป็นนักบริหาร ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญว่า ตอนนี้จะออกสู่ภาคปฏิบัติ ต้อง ตั้งหลักก่อน การที่จะตั้งหลักก็คือ จะต้องยึดถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ถือหลักการ กฎกติกา กฎหมาย ถือความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผล ประโยชน์สุขที่แท้เป็นใหญ่ เป็นเกณฑ์ และเป็นมาตราฐาน ๒๖ เมื่อถือธรรมเป็นใหญ่ ก็เห็นแก่ธรรม เห็นแก่ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม และยึดถือตามหลักการ กฎกติกา รวมทั้งกฎหมายก็จะไม่เอนเอียงไปข้างไหน ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่เห็นแก่พรรคพวก ไม่เห็นแก่คะแนนนิยม เป็นต้น และจะมีความชัดเจนในการทำงาน ซึ่งโดยที่สุดแล้ว ธรรมาธิปไตยเท่านั้นจะเป็นแกนจริยธรรมของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ

          สำหรับท่าทีต่อระบอบประชาธิปไตยที่ใช้เป็นรูปแบบในการปกครองประเทศไทยนั้น พระธรรมปิฎกได้ชี้แนวทางว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องมีความชัดเจนในหลักการของ พระพุทธศาสนา ถ้าเป็นพุทธศาสนิกจะต้องถือธรรมเป็นใหญ่ พระพุทธเจ้าเองก็ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ ไม่มีอะไรใหญ่กว่าธรรม คนที่ถือธรรมเป็นใหญ่ คือเป็นธรรมาธิปไตยนั้น มีลักษณะสำคัญคือ

          ๑. เป็นคนมีหลักการไม่เลื่อนลอยไหลไปตามกระแส ถือเอาความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม ความเป็นไปตามเหตุผล และกฎเกณฑ์เป็นเกณฑ์ตัดสิน
          ๒. ใช้ปัญญาและพัฒนาปัญญาอยู่เสมอ เพื่อให้รู้เท่าทันข้อมูลความเป็นไปตามความเป็นจริง และเพื่อให้รู้เข้าใจ เข้าถึงหลักการความจริง ความถูกต้องดีงามและเหตุผลในเรื่อง นั้นๆ เพื่อให้สามารถรักษาหลักการความจริง ความถูกต้องไว้ได้
          ๓. มีความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ สุจริตใจ ในการใช้ปัญญาพิจารณาตัดสินใจ ไม่เอนเอียง ไปด้วยอคติ
          ๔. รักธรรม รักความจริง ความถูกต้องดีงาม ทำอะไรก็มุ่งจะให้ถึงธรรมและเป็นไปตามธรรม มุ่งให้ได้ความจริง มุ่งให้เกิดความถูกต้องดีงาม จนข้ามพ้นความยึดถือในตัวตนไปได้ ให้ธรรมเป็นใหญ่เหนือแม้แต่เกียรติและศักดิ์ศรีของคน และเพราะรักธรรม มุ่งให้เกิดความเป็นธรรมนั้น จึงเป็นคนที่พูดด้วยง่าย รับฟังข้อมูลและเหตุผล ไม่ดื้อรั้นในทิฏฐิ
          ใน ๔ ข้อนี้ ข้อสุดท้ายเป็นตัวตัดสินความเป็นธรรมาธิปไตยแค่ในแง่ปฏิบัติ จะขาด ๓ ข้อแรกไม่ได้ ต้องมีไว้ครบทั้งหมด๒๗ ซึ่งควรนำมาประยุกต์ให้เข้ากับรูปแบบในการปกครองของประเทศไทย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2006, 16:50 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
glock19
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 355


« ตอบ #23 เมื่อ: 07-10-2006, 17:22 »

คลายเครียดครับ


* 1xe7.jpg (80.81 KB, 369x822 - ดู 199 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
glock19
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 355


« ตอบ #24 เมื่อ: 07-10-2006, 17:26 »

คลายเครียด


* 2uk0.jpg (70.55 KB, 369x634 - ดู 205 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
glock19
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 355


« ตอบ #25 เมื่อ: 07-10-2006, 17:29 »

คลายเครียด


* 3yq8.jpg (78.95 KB, 369x636 - ดู 199 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
glock19
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 355


« ตอบ #26 เมื่อ: 07-10-2006, 17:31 »

คลายเครียด


* 4999id1.jpg (78.49 KB, 369x651 - ดู 193 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #27 เมื่อ: 07-10-2006, 19:04 »

อ้างถึง
ผมขอเสนอแนะดังนี้ ในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้พวกคุณที่มีความเห็นตรงกัน
ควรไปเสนอว่าต่อไปนี้คนโง่นั้นไม่ต้องเลือกตั้งแล้ว ให้คนชาญฉลาดอย่างพวกคุณได้จัดการ
กันเอง เพราะให้สิทธิให้อำนาจไปก็เหมือนเอากระสุนปืนจริงไปให้เด็กเล่น ผลคือความฉิบหายอย่างแน่แท้

สวัสดีค่ะคุณเจ็ดสิงหา  ปัญหาที่เราวิเคราะห์กันนี้ ก็เสมือนปิดประตูห้องคุยกันค่ะ ไม่ต้องสมานฉันออมมือรักษษน้ำใจคนโง่กันล่ะ เพราะหากมีปัญญามาเล่นเนตแล้วเข้ามาอ่านเวบบอร์ดเสรีไทย ก็นับว่ามีปัญญากันถ้วนทั่วค่ะ

เราคงจะยอมรับกันทุกคนว่า ในประเทศของเรานั้น มีทั้งคนโง่และฉลาด เช่นเดียวกับคนรวยและจน และอัตราว่านหรือแผนภูมิปริมาณนั้น ก็ย่อมเป็นรูปปิรามิดหัวตั้งโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นั่นคือ คนฉลาดมีน้อยกว่าคนโง่ และคนจนมีน้อยกว่าคนรวย

แต่ในระบอบประชาธิปไตย คนโง่ซึ่งมีจำนวนมากกว่า จะเป็นคนเลือกสมาชิกสภาเสียงข้างมากเข้ามา แล้วคนโง่จะเลือกอะไร ก็เลือกแบบโง่ๆ บ้างก็ถูกหลอก บ้างก็ขายเสียง บ้างก็ถูกข่มขู่ และเราก็ได้รัฐบาลมาหนึ่งรัฐบาล และรัฐบาลที่มาโดยสภาพนี้ ส่วนใหญ่เท่าที่ประวัติศาสตร์ไทยจารึก รัฐบาลชั่วทั้งนั้น

นักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งก็คือโจรที่ปล้นประชาชน เอารักเอาเปรียบ พ่อค้าคนกลาง นายทุน อดีตข้าราชการ คนที่มีโอกาศในสังคมสูงกว่า ก็ควบคุมเสียงประชาชนและแทรกตัวเข้ามาในสภา เพื่อโกงกิน เพิ่มอำนาจ และประเทศก็เป็นอย่างที่เห็นๆกันอยู่  75 ปีแล้ว ตั้งแต่ไปปล้นอำนาจนี้มาโดยมิชอบ

แก้ไขรัฐธรรมนูญกี่หน ก็กลับเข้ารอยเดิมอีก เพราะเราหน้ามืดตามัว พอพูดถึงประชาธิปไตย ก็อ้างเสียงข้างมาก อ้างการเลือกตั้ง ตีตารางแบ่งประเทศ เขตใครเขตมัน จะเอาพวงใหญ่พวงเล็ก วันแมนวันโหวต หรือบล็อกโหวต หนีไม่พ้น หมุนวนกันอยู่แค่นี้

แล้วมันจะแก้อะไรได้คะ

ไม่ต้องหฤโหดทำร้ายจิตใจกันถึงขนาด คนโง่ไม่ให้เลือก หรือต้องวัดไอคิวกันหรอกค่ะ  เอาง่ายๆ  วันแมนวันโหวต จะเลือกบุคคลหรือพรรคก็เลือกเอาอย่างหนึ่ง บัตรเลือกตั้งไม่มีตัวเลข ไม่มีจุดลูกเต๋า เพราะเราไม่ได้เล่นไฮโลว์ เขียนภาษาไทยของพ่อขุนราม พรรคชื่ออะไร ช่องไหนกาเลือกบุคคล ช่องไหนกาเลือกปาร์ตี้ลิสต์ ไม่ให้ลงชื่อบุคคล ลำดับรายชื่อ ให้สุ่มพิมพ์สลับกัน เหมือนข้อสอบรามคำแหง ใบนี้พรรคนี้มาก่อน ใบนั้นพรรคนั้นมาก่อน ทั้งประเทศบัตรเหมือนกันหมด เขตไหนพรรคไหนไม่ลง ช่างหัวมัน กาผิดบัตรเสียไป

ไม่มีปัญญาอ่านบัตรเลือกตั้งรู้เรื่อง หรือต้องการสละสิทธิ์ ให้เขียนด่าแม่คนคิดแบบบัตรเลือกตั้งลงไปได้ แล้วบัตรก็เสียเอง

ก่อนจะลงคะแนน ต้องไปลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ก่อน ไม่ลงทะเบียน ไม่มีสิทธิ์ไปเลือกตั้ง ใครไม่ไปเลือกตั้ง ถือว่าไม่สนับสนุนการปกครอง ทำบัตรประชาชน จดทะเบียนสมรส ลูกเข้าโรงเรียน ขึ้นอำเภอ ยื่นคำร้อง เสียตังค่าธรรมเนียมราคาหนึ่ง คนไปเลือกตั้งฟรีหมด

เพิ่มโทษการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ประหารชีวิตก็น่าจะดี หรือจะจ่ายรางวัลนำจับ ใครชี้เบาะแสนำจับคนซื้อเสียงได้ ปรับคนทำผิดแบ่งรางวัลให้คนนำจับ หลักฐานสาวถึงผู้สมัคร ประบผู้สมัครอีกสักสิบเท่าของเงินค่าสมัคร จ่ายให้คนนำจับ  สนุกสนานกันไป

ดีไหมคะ
บันทึกการเข้า
Eisenhower
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 20


« ตอบ #28 เมื่อ: 08-10-2006, 03:00 »

อ้างถึง
ผมขอเสนอแนะดังนี้ ในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้พวกคุณที่มีความเห็นตรงกัน
ควรไปเสนอว่าต่อไปนี้คนโง่นั้นไม่ต้องเลือกตั้งแล้ว ให้คนชาญฉลาดอย่างพวกคุณได้จัดการ
กันเอง เพราะให้สิทธิให้อำนาจไปก็เหมือนเอากระสุนปืนจริงไปให้เด็กเล่น ผลคือความฉิบหายอย่างแน่แท้

สวัสดีค่ะคุณเจ็ดสิงหา  ปัญหาที่เราวิเคราะห์กันนี้ ก็เสมือนปิดประตูห้องคุยกันค่ะ ไม่ต้องสมานฉันออมมือรักษษน้ำใจคนโง่กันล่ะ เพราะหากมีปัญญามาเล่นเนตแล้วเข้ามาอ่านเวบบอร์ดเสรีไทย ก็นับว่ามีปัญญากันถ้วนทั่วค่ะ

เราคงจะยอมรับกันทุกคนว่า ในประเทศของเรานั้น มีทั้งคนโง่และฉลาด เช่นเดียวกับคนรวยและจน และอัตราว่านหรือแผนภูมิปริมาณนั้น ก็ย่อมเป็นรูปปิรามิดหัวตั้งโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นั่นคือ คนฉลาดมีน้อยกว่าคนโง่ และคนจนมีน้อยกว่าคนรวย

แต่ในระบอบประชาธิปไตย คนโง่ซึ่งมีจำนวนมากกว่า จะเป็นคนเลือกสมาชิกสภาเสียงข้างมากเข้ามา แล้วคนโง่จะเลือกอะไร ก็เลือกแบบโง่ๆ บ้างก็ถูกหลอก บ้างก็ขายเสียง บ้างก็ถูกข่มขู่ และเราก็ได้รัฐบาลมาหนึ่งรัฐบาล และรัฐบาลที่มาโดยสภาพนี้ ส่วนใหญ่เท่าที่ประวัติศาสตร์ไทยจารึก รัฐบาลชั่วทั้งนั้น

นักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งก็คือโจรที่ปล้นประชาชน เอารักเอาเปรียบ พ่อค้าคนกลาง นายทุน อดีตข้าราชการ คนที่มีโอกาศในสังคมสูงกว่า ก็ควบคุมเสียงประชาชนและแทรกตัวเข้ามาในสภา เพื่อโกงกิน เพิ่มอำนาจ และประเทศก็เป็นอย่างที่เห็นๆกันอยู่  75 ปีแล้ว ตั้งแต่ไปปล้นอำนาจนี้มาโดยมิชอบ

แก้ไขรัฐธรรมนูญกี่หน ก็กลับเข้ารอยเดิมอีก เพราะเราหน้ามืดตามัว พอพูดถึงประชาธิปไตย ก็อ้างเสียงข้างมาก อ้างการเลือกตั้ง ตีตารางแบ่งประเทศ เขตใครเขตมัน จะเอาพวงใหญ่พวงเล็ก วันแมนวันโหวต หรือบล็อกโหวต หนีไม่พ้น หมุนวนกันอยู่แค่นี้

แล้วมันจะแก้อะไรได้คะ

ไม่ต้องหฤโหดทำร้ายจิตใจกันถึงขนาด คนโง่ไม่ให้เลือก หรือต้องวัดไอคิวกันหรอกค่ะ  เอาง่ายๆ  วันแมนวันโหวต จะเลือกบุคคลหรือพรรคก็เลือกเอาอย่างหนึ่ง บัตรเลือกตั้งไม่มีตัวเลข ไม่มีจุดลูกเต๋า เพราะเราไม่ได้เล่นไฮโลว์ เขียนภาษาไทยของพ่อขุนราม พรรคชื่ออะไร ช่องไหนกาเลือกบุคคล ช่องไหนกาเลือกปาร์ตี้ลิสต์ ไม่ให้ลงชื่อบุคคล ลำดับรายชื่อ ให้สุ่มพิมพ์สลับกัน เหมือนข้อสอบรามคำแหง ใบนี้พรรคนี้มาก่อน ใบนั้นพรรคนั้นมาก่อน ทั้งประเทศบัตรเหมือนกันหมด เขตไหนพรรคไหนไม่ลง ช่างหัวมัน กาผิดบัตรเสียไป

ไม่มีปัญญาอ่านบัตรเลือกตั้งรู้เรื่อง หรือต้องการสละสิทธิ์ ให้เขียนด่าแม่คนคิดแบบบัตรเลือกตั้งลงไปได้ แล้วบัตรก็เสียเอง

ก่อนจะลงคะแนน ต้องไปลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ก่อน ไม่ลงทะเบียน ไม่มีสิทธิ์ไปเลือกตั้ง ใครไม่ไปเลือกตั้ง ถือว่าไม่สนับสนุนการปกครอง ทำบัตรประชาชน จดทะเบียนสมรส ลูกเข้าโรงเรียน ขึ้นอำเภอ ยื่นคำร้อง เสียตังค่าธรรมเนียมราคาหนึ่ง คนไปเลือกตั้งฟรีหมด

เพิ่มโทษการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ประหารชีวิตก็น่าจะดี หรือจะจ่ายรางวัลนำจับ ใครชี้เบาะแสนำจับคนซื้อเสียงได้ ปรับคนทำผิดแบ่งรางวัลให้คนนำจับ หลักฐานสาวถึงผู้สมัคร ประบผู้สมัครอีกสักสิบเท่าของเงินค่าสมัคร จ่ายให้คนนำจับ  สนุกสนานกันไป

ดีไหมคะ
เป็นวิธีที่น่าสนใจ น่าเอาไปประยุกต์ใช้นะครับ  ถ้าคนคิดแบบบัตร ไม่กล้าใส่ชื่อลงไป ผมยอมอาสาเอาชื่อผมไปใส่ให้เลย 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2006, 03:03 โดย Eisenhower » บันทึกการเข้า
tron
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 38


« ตอบ #29 เมื่อ: 08-10-2006, 07:50 »

ประชาธิปไตย
พื้นฐานคือเสียงทุกเสียงเท่าเทียมกัน
แต่มนุษย์นั้น ชอบเอาเปียบกัน เป็นสันดาน
คนโง่ อ่อนแอก็ถูกเอาเปรียบอยู่เรื่อยๆ
คนฉลาด มักยึดอำนาจใช้อนาธิปไตยมาเป็นเป็นข้ออ้าง ว่า ข้าคือประชาธิปไตย

โดยอ้างข้างๆคูๆว่า ไอ้คนเก่าที่มีคนเลือกมามันโกงมันไม่ดี
กำลังจะเกิดวิบัติม๊อบชนม๊อบ สร้างสถาณการณ์ ปล่อยข่าวลือ

แต่จริงแท้แล้ว ตนเองก็โจร ไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยว่ามีเงินเท่าไหร่ก่อนเข้ามาบริหารประเทศ
ไร้สำนึกต่อแผ่นดินบ้านเกิดอ้างว่ามันไม่ดี ข้าดีกว่าเอ็ง ข้ามีอำนาจ ขอปล้นเสียงคนทั้งประเทศ
เพื่อพวกพ้องที่อดอยากปากแห้งมานานก็เป็นพอ ธรรมภิบาลบอกแต่ปาก ไม่เคยเปิดเผยทรัพย์สิน
ให้สาธารณะรับรู้ รอจนวันตายน่ะแหละถึงจะมีลูกเมีย มาฟ้องแบ่งซากนับพันล้าน
ที่โกงบ้านโกงเมืองเอาไว้เป็นคดีใหญ่โต
บันทึกการเข้า
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #30 เมื่อ: 08-10-2006, 08:05 »

ความคิดเห็นของคุณ พรรณชมพู น่าสนใจ หลายอย่างค่ะ
แต่บางครั้ง ไม่น่ารับฟัง เพราะมาพร้อมกับคำร้ายๆ ที่
พออ่านปุ๊บ กระทบใจ จนไม่อยากเปิดให้กับ ความคิดเห็นดีๆ ที่มาด้วย
ลองอ่าน ป.ล. ของคุณ mono (#21) นะคะ (ไม่ silly เลยสักนิด)

 
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
stromman
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 526



« ตอบ #31 เมื่อ: 08-10-2006, 09:56 »

ประชาธิปไตยไทย มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรมเป็นพระประมุข เหตุไฉนจึงต้องเดินตามอย่างฝรั่ง ทำไมไม่สร้างประชาธิปไตยไทยในรูปแบบของราชประชาสมาศัย ให้ประชาชนมีการศึกษา มีส่วนร่วมให้การใช้สิทธิของปวงชนชาวไทย มิใช่เข้าใจเพียง หย่อนบัตรเลือกตั้ง ไม่งั้นจะไปเรียนทำไมวิชารัฐศาสตร์ มีทั้งตรี โท เอก ถ้ามีแค่หย่อนบัตรแล้วจบ มาช่วยกันเปิดหูเปิดตาประชาชนกันดีกว่า
บันทึกการเข้า
วิหค อัสนี
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 946



« ตอบ #32 เมื่อ: 08-10-2006, 11:03 »


อันนี้ผมห่วงอยู่มากๆ ว่า กระแสมันจะตีกลับมากเกินไปจนเลยเถิดไปทาง Elitism แล้วนะครับ

ผมเห็นว่าสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ประชาธิปไตย-เสรีนิยม มีให้กับคนในหลายๆ สังคมคือ มันเป็นระบบที่บอกว่าทุกคนควรได้รับความเคารพใน "ความเป็นมนุษย์" โดยเท่าเทียมกัน และไม่ว่าจะไร้การศึกษา ต่ำต้อยติดดิน ไปจนถึงสูงเทียมฟ้าแค่ไหน แต่พวกเขาก็คือ "ประชาชน" ที่มี 1 เสียงเหมือนกันหมด ไม่ควรมีใครมีอำนาจในการเอาเกณฑ์ทางศีลธรรม การศึกษา ฐานะ หรือชั้นวรรณะใดๆ มาเป็นข้ออ้างในการบังคับยัดเยียดความคิด การตัดสินใจ และความเชื่อของตนไปบนหัวคนอื่น - โดยตรง เว้นแต่กฏทางศีลธรรมพื้นฐานบางอย่างที่เป็นสากลและยอมรับกันได้ตามธรรมชาติของมนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มน้อยยัดเยียดให้คนส่วนใหญ่ (คณาธิปไตย/elitism/เผด็จการทหาร) หรือเสียงส่วนใหญ่ยัดเยียดให้เสียงส่วนน้อย (เผด็จการเสียงข้างมาก/พวกมากลากไป) ก็ตาม

แต่ถ้าจะให้เป็น "ประชาธิปไตย" ที่แท้จริง จำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบและถ่วงดุล การแยกอำนาจอธิปไตยเป็นฝ่ายต่างๆ การคานอำนาจกันระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน มีกลไกที่จำกัดไม่ให้เกิดการครอบงำหรือล้างสมอง "ประชาชน" ได้เป็นอันขาด ซึ่งก็ต้องประกอบด้วย การให้การศึกษาและความรู้กับประชาชน ทำให้พวกเขาเข้าใจโดยทั่วถึงกันว่าพวกเขามีขอบเขตในการใช้ "อำนาจ" ที่ไม่ไปล้ำเส้นผู้อื่นมากแค่ไหน โดยเฉพาะในยุคนี้ ประเด็นมันคงซับซ้อนมากขึ้นกว่าการเป็น "พลเมืองดี" ที่ไม่ไปปล้นฆ่าข่มขืนใครเท่านั้น

การเมืองภาคประชาชนกระตุ้นให้เกิดขึ้นมายาก แต่ทำลายได้ง่ายมาก หากผู้ขึ้นมาถืออำนาจรัฐมีความเชื่อไปในทางอำนาจนิยม แล้วพยายามบ่อนทำลาย discredit ภาคประชาชน ดังเช่นที่ระบอบทักษิณทำ (ไม่ต้องห่วง ยุค ปชป. หรืออื่นๆ ก็เคยทำเหมือนกัน แต่ ทรท. ดันเล่นเกมเชิงรุกในด้านนี้ด้วย เหมือนกะจะไล่ปิดฟ้าครอบงำแผ่นดินกันให้ถึงที่สุดเลยทีเดียว)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2006, 11:07 โดย QuaOs » บันทึกการเข้า

_______ดังนี้แล
__เปลวไฟจักลุกโชน
___หามีวันดับลงได้
_ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า
ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #33 เมื่อ: 08-10-2006, 13:42 »

ความคิดเห็นของคุณ พรรณชมพู น่าสนใจ หลายอย่างค่ะ
แต่บางครั้ง ไม่น่ารับฟัง เพราะมาพร้อมกับคำร้ายๆ ที่
พออ่านปุ๊บ กระทบใจ จนไม่อยากเปิดให้กับ ความคิดเห็นดีๆ ที่มาด้วย
ลองอ่าน ป.ล. ของคุณ mono (#21) นะคะ (ไม่ silly เลยสักนิด)

 

หวานเป็นลม ขมเป็นยา ค่ะ
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 08-10-2006, 13:52 »

เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ

"ภราดรภาพ" ตัวหลังสุด คนไทยไม่ค่อยคิดถึงครับ

เสรีภาพ ก็ไม่คิดถึงเรื่องขอบเขต

มันถึงต้องมานั่งบ่น...เหมือนหมีกินผึ้ง

คนจำพวกนี้ พร้อมจะด่า "กฎอัยการศึก"

แต่พอใจกับ พรก.ฉุกเฉิน...( คงรับได้มั๊ง )

ไม่บ้าก็เมาหรือไม่ก็สองมาตรฐาน


ที่สำคัญ ทำไมไม่มาช่วยกันหาทางออกให้สังคม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2006, 08:48 โดย CanCan » บันทึกการเข้า

aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #35 เมื่อ: 08-10-2006, 14:24 »

เป็นคำที่คนในขบวนการ "คนหัวเหลี่ยม" หลงละเมอเพ้อพกอยู่ทุกวี่ทุกวัน 
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
Tam-mic-ra
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 603


« ตอบ #36 เมื่อ: 09-10-2006, 00:34 »

ประชาธิปไตย    คือ 5 พันทมิตรเพื่อประชาธิปไตย   
ผู้ที่หยุดเคลื่อนไหวแล้ว 

หลังจากสุดท้ายพอใจเมื่อได้  ......ประชาธิปไตย
บันทึกการเข้า
glock19
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 355


« ตอบ #37 เมื่อ: 09-10-2006, 08:31 »

ประชาธิปไตย  คือระบบอบการปกครองที่ดี  ถ้า คนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น เป็นผู้มีการศึกษา
 
     แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น ยังด้อยการศึกษา  และโง่  ประชาธิปไตยจะทำให้ประเทศนั้น
    ล้าหลัง           
                  อุปมาอุปไมย  ให้เห็นชัดๆ     ที่บ้านผมเลี้ยงหมาหลายตัว  ถึงหน้าร้อนผมจะเรียกสัตวแพทย์มาฉีดวัคซีน
   กันโรคพิษสุนัขบ้า   กันหนอนพยาธิหัวใจ    กันลำไส้อักเสบ        แต่ถ้าผม ให้ประชาธิปไตยแก่เหล่าสุนัขของผมว่า       ให้เลือกเอาว่า จะฉีด หรือไม่ฉีด       รับรองครับ ว่า ทุกตัว เลือก  ไม่ฉีด      ถ้าเป็นงั้นจริง ก็  ตายยกครอก ซีครับ          แต่บังเอิญผมทราบความจริงข้อนี้ ว่า หมาผมยังโง่ และไร้การศึกษา   ผมเลย บังคับ เลือก แทนมัน ว่า     ต้องฉีด วัคซีนทุกตัว       พวกมันถึงอยู่รอด   ปลอดภัยมีความสุข จนทุกวันนี้  แม้จะไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
 
          เ อ้าเอาไปอีกตัวอย่างนึงเดี๋ยวจะหาว่า   เอาหมามาเปรียบกับคน       เอาตัวอย่าง  คน ล่ะกัน
         
       ถ้าให้สิทธิ    พวก  " ขี้ครอก "      ว่าจะเลือก  เสพ หรือ ไม่เสพ "ยาบ้า"  ได้    ถ้าให้สิทธิ มันยังงี้ รับรอง  คนติดยาบ้า เต็มบ้านเต็มเมืองเลยครับ       ทางการถึงต้อง   ไม่ให้มันเลือกไงครับ    ใครเสพจับติดคุก
      (  ไหนว่าเมืองไทยประชาธิปไตยไง    แน่จริงลอง ให้สิทธิมันเลือกซี ว่า จะเสพ หรือ ไม่เสพก็ได้)
บันทึกการเข้า
Solidus
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,381



« ตอบ #38 เมื่อ: 09-10-2006, 12:57 »

         
       ถ้าให้สิทธิ    พวก  " ขี้ครอก "      ว่าจะเลือก  เสพ หรือ ไม่เสพ "ยาบ้า"  ได้    ถ้าให้สิทธิ มันยังงี้ รับรอง  คนติดยาบ้า เต็มบ้านเต็มเมืองเลยครับ       ทางการถึงต้อง   ไม่ให้มันเลือกไงครับ    ใครเสพจับติดคุก
      (  ไหนว่าเมืองไทยประชาธิปไตยไง    แน่จริงลอง ให้สิทธิมันเลือกซี ว่า จะเสพ หรือ ไม่เสพก็ได้)[/size]
บางประเทศให้สิทธิในการเสพยาเพราะถือว่าชีวิตของคุณ แต่ห้ามทำความเดือดร้อนให้คนอื่น
บันทึกการเข้า
Killer
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,576


ช๊อบบ ชอบบ...ปฏิวัติ ปลื้ม ค่ะ


« ตอบ #39 เมื่อ: 09-10-2006, 13:06 »

มันคงต้องอธิบายด้วย พันธุวิศวกรรม ความรู้ผมไม่ถึงหรอก

ขนาดคนจบรัฐศาสตร์ เกียรตินิยม มันยังออกมา ตะโกนเย้วๆ เชียร์การรัฐประหาร กันหน้าสลอน
บันทึกการเข้า
isa
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 151



« ตอบ #40 เมื่อ: 09-10-2006, 13:49 »



ลองมองย้อนไปที่จุดกำเนิดประชาธิปไตย คือที่เอเธนส์ กรีกก่อนเลยครับ

ถึงบอกว่าพลเมืองทุกคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง แต่จริงๆแล้วหมายถึงพลเมืองที่เป็น Citizen
หรือที่เรียกว่าพวกเพลเบี้ยนเท่านั้นนะครับ (ไม่ใช่เพลย์บอยนะคร้าบ)

ทำไมถึงต้องเป็นเพลเบี้ยน ซึ่งเป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นคนกรีกแท้
ก็เพราะในสิทธิ์ที่ได้มา ก็มีหน้าที่ที่หนักหนาพอๆกัน นั่นคือ คุณต้องเสียภาษี คุณต้องเป็นทหาร
ต่อสู้ปกป้องบ้านเมือง ดังนั้นไม่ว่าการตัดสินใจอะไรที่คุณทำไป คุณต้องรับผิดชอบการตัดสินใจนั้น
เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อคุณเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการต้องเสียภาษีเพิ่ม ทำงานให้รัฐเพิ่ม หรือการไปทอดร่าง
เป็นศพอยู่ในสนามรบ เพราะเลือกผู้นำผิด  ดังนั้น สิทธิในการออกเสียงจึงไม่ใช่สิ่งที่ให้กันได้ง่ายๆ ไม่ให้กับคนไม่รู้เรื่องรู้ราว
ไม่ให้กับทาส ไม่ให้กับคนต่างถิ่น ที่ "กรูแค่ออกเสียง หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น กรูไม่รู้ไม่ชี้ด้วย ใครให้เงินมา กรูก็เลือกคนนั้น"


และนี่แหละคือที่มาของทฤษฎีสองนคราของบ้านเรา คนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาล เพราะหากได้รัฐบาลเลวๆมา
คนที่จะโดนผลกระทบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการโดนภาษีเพิ่ม ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่ม ตกงาน ลูกหลานไม่ได้เรียน
ก็คือคนเมือง และคนที่จะต้องไปเสียภาษาตามล้างตามเช็ดหนี้ที่นักการเมืองชั่วๆทำไว้ก็คือคนเมืองอีกน่ะแหละ
ขณะที่คนต่างจังหวัด ภาษีกรูก็ไม่ต้องจ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่มกรูก็ไม่ต้องเสียเพราะทั้งชาติกรูเข้าแต่ตลาดสด ไม่เคยเข้า
ดิสเคานท์สโตร์ ไม่เคยต้องมารับผิดชอบภาระของชาติอย่างคนเมือง (เลิกอ้างว่าปลูกข้าวให้คนเมืองกินซะทีเถอะ
อ้างมาตั้งแต่ยุคตุลาแล้ว) คนเมืองนี่แหละคือเพลเบี้ยนในยุคปัจจุบัน หรือจะตั้งกฎว่าใครไม่เสียภาษี หรือไม่เป็นทหาร
ไม่ต้องสะเออะเลือกตั้งดู

อีกอย่างที่ควรจะทำก็คือ แก้ความเข้าใจผิดๆของคนต่างจังหวัด ที่ดูแต่ละครน้ำเน่า ที่ว่าคนเมืองนั้นมันสุขสบายนักหนา
วันๆเดินไปเดินมาก็ได้เงินเดือน ได้แฟนสวยๆ ขับรถโก้ๆ หรูๆ และพวกสมาชิกคอมฯเก่าก็เลิกหลอกตัวเองซะทีว่าชีวิตคนเมือง
มันสบายกว่าชีวิตคนบ้านนอ ก ไม่ว่าอยู่จุดไหนมันก็เหนื่อยเหมือนกันน่ะแหละ แค่เหนื่อยคนละอย่างเท่านั้น
และคนชั้นกลางน่ะแหละเป็นคนที่แบกประเทศอยู่ ไม่ใช่กระดูกสันหลังของชาติ ที่ปัจจุบันขี้เกียจจนจ้างทำงานในนาทุกอย่างแล้ว
(แล้วมันจะขายข้าวคุ้มทุนได้ไงฟะ) เพราะพวกคอมฯสายเหมาคิดแบบนี้แหละ ถึงได้เกิดทุ่งสังหารให้เขมรล้าหลังอยู่แบบนี้
แล้วไอ้พวกเขมรบุรีรัมย์ยังทะลึ่งไปรับไอเดียนี้มาอีก ไล่มันไปอยู่กับโคตรเหง้ามันซะดีมั้ย

ความจริงอยากให้เลิกการเลือกสภาผู้แทน แต่ให้เลือกสภาผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาเลยดีกว่า คนเมืองเลือกผู้แทนเข้าไปเพื่อบริหารประเทศ
เพื่อให้คนเก่งพัฒนาประเทศ แต่คนบ้านนอกเลือกผู้แทนเข้ามาเป็นตัวแทนผลประโยชน์ให้ตัวเอง ให้เรียกร้องทรัพยากรไปให้ชุมชนตัวเอง
แค่ความคิดนี้ก็ผิดแล้ว ความคิดแบบนี้ พรรคการเมืองจะไม่มีทางเป็นสถาบันได้ และผู้ทรงคุณวุฒิก็ยากจะเบียดนักเลือกตั้งเข้ามาได้

แนวคิดเรื่องสส.บัญชีรายชื่อจริงๆก็เป็นแนวคิดที่ดี แต่ถูกเอาไปใช้ผิดประเภท แทนที่จะใช้เพื่อดึงตัวผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ใช่นักเลือกตั้งเข้ามา
กลับกลายเป็นที่แทรกตัวของสส.เน่าๆที่เป้นนายทุนพรรค

ความคิดมั่วไปหน่อย ขออภัย


 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: