ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 01:59
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  **ก้าวใหม่สู่โลกแห่งความจริง โทษจำคุกทางการเมือง และประหารชีวิตทางการเมือง** 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
**ก้าวใหม่สู่โลกแห่งความจริง โทษจำคุกทางการเมือง และประหารชีวิตทางการเมือง**  (อ่าน 4624 ครั้ง)
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« เมื่อ: 04-10-2006, 15:57 »

การปฏิรูปทางการเมืองจำเป็นต้องมองข้อจำกัดต่างๆให้ชัดเจน แก้ไขปัญหาด้วยความระมัดระวังที่จะเดินหน้าสู่การป้องกันปัญหาและจะไม่สร้างปัญหาใหม่ที่มากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตามโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกแห่งภูมิปัญญาของมนุษยชาติอย่างแท้จริง ดังนั้นการตัดสินใจสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นสิทธิพิเศษของเหล่าผู้นำทางสังคมครับ โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย ทุกสิ่งทุกอย่างหนีไม่พ้นการคาดการ์ณอนาคตและการ จัดการเพื่อป้องกันและควบคุมปัญหา


สำหรับหัวข้อกระทู้นี้ผมขอเสนอให้ปรับปรุงแนวคิดในการลงโทษทางการเมืองให้ชัดเจนและมีน้ำหนักจากโทษเบาที่สุดปจนถึงหนักที่สุด เพื่อสามารถบังคับใช้ได้อย่าง

เที่ยงธรรมและยุติธรรมในทุกกรณีแก่ประชากรไทยทุกคน ทุกสถานภาพทางการเมืองอย่างไร้ช่องว่างรอยโหว่ใดๆที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำผิดโดยไม่ต้องรับโทษครับ ทั้งนี้และทั้งนั้นมี

ประเด็นที่เสนอเพิ่ม
คือการเพิ่มโทษนั่นเองครับและมีกรอบที่กฎหมายนั้นไม่สร้างข้อจำกัดในกระบวนการยุติธรรมด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่น อำนาจตัดสินพิพากษาจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในการใช้

ดุลยพินิจ ทั้งให้คุณให้โทษโดยไม่ถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายหรือปัจจัยใดๆที่เกิดขึ้นมาก่อนด้วยการใช้หลักการที่ไม่ครบถ้วนของนิติศาสตร์ดังยุคที่ผ่านมาครับ ดังนั้น หลักสัมฤทธิผลในการนำ

ผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้
และในบางกรณีต้องไม่มีอายุความ จึงจำเป็นต้องนำขึ้นมาพิจารณาทบทวนใหม่ หรืออาจถึงขั้นต้องพิจารณาคดีใหม่เพื่อปรับปรุงบรรทัดฐานที่ผิดพลาดไปหรือไม่เหมาะ

สมในอดีตก็เป็นได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก กฎหมายที่ใช้หลักการกระบวนทัศน์ในบริบทเดิมย่อมล้าสมัย ไม่เหมาะจะใช้กับบริบทในยุคเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในยุค

ปัจจุบันครับ ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมยังสามารถเป็นที่พึ่งพิงของสังคมในความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม
ดังนั้นประเด็นที่นำเสนอคือการเดินหน้าปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม ให้มีสมดุล

ในทุกด้านและสามารถบังคับใช้ได้ในทุกกรณีที่สำคัญและกระทบต่อบรรทัดฐานทางสังคมของสังคมไทยในยุคปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ครับ

                                                                                         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2006, 16:36 โดย Q » บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 04-10-2006, 16:25 »



สนับสนุนให้ปรับปรุงให้นำไปสู่ **ก้าวใหม่สู่โลกแห่งความจริง โทษจำคุกทางการเมือง และประหารชีวิตทางการเมือง**

โดยเฉพาะกับเหล่านักการเมืองและผู้มีบทบาทในทางการเมืองทุกฝ่ายครับ โดยไม่มีข้อจำกัดของอายุความ หรือความผิดพลาดอย่างชัดแจ้งในอดีตโดยไม่นำมาแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง หรือความความไม่เหมาะต่อการผดุงความยุติธรรมโดยอำนาจตัดสินพิพากษาของตุลาการในปัจจุบันและต่อเนื่องถึงอนาคตที่คาดการ์ณได้ ซึ่งในบางกรณีอาจเกิดจากข้อจำกัดในอดีตและจะส่งผลต่อเนื่องให้ปัจจุบันต้องทำผิดพลาดหรือเกิดความจำกัดทำอะไรต่อไปไม่ได้ ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างมากมายเช่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยในยุคปัจจุบันนี้

เหตุผลสำคัญก็คือการแก้ไขให้สามารถแยกแยะคนทำผิดต่อสังคมออกมาจากหมู่คนได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
                                                                                                                           
บันทึกการเข้า

ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #2 เมื่อ: 04-10-2006, 16:42 »

แค่คิดก็ผิดแล้ว
บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 04-10-2006, 16:57 »

ขออ้างอิงเนื้อเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองและยทลงโทษนักการเมือง ตามลิงค์ครับ ทั้งนี้เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์


http://forum.serithai.net/index.php?topic=8340.msg116938#msg116938
                                                                                                       

เพื่อให้สะดวกในการอ่านในกระทู้ ได้ยกข้อความเดียวกันมาไว้ที่นี้ด้วยแล้ว


ผมขออ้างอิงหลักนิติธรรมดังนี้

1.กฎหมายย่อมคุ้มครองผู้สุจริต
2.กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
3.ปล่อยคนผิดสิบคนดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์หนึ่งคน

ดังนั้นลองพิจารณาย้อนกลับ

1.กฎหมายย่อมลงโทษผู้ทุจริตเพื่อคุ้มครองผู้สุจริต
2.เมื่อพิจารณาจากกรรมแล้ว แน่ชัดในเจตนาดีหรือร้าย ย่อมตัดสินยก หรือลงโทษได้ โดยดุลยพินิจของศาลด้วยความเที่ยงธรรม
3.ปล่อยคนร้ายรอดพ้นโทษไปหนึ่งคนย่อมเป็นผลร้ายต่อผู้บริษุทธิ์มากกว่าสิบคน


วิเคราะห์และเสนอแนะเพิ่มเติม

ในทางการเมือง ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องระยะยาว ต้องดูกันนานจึงแน่ใจ ดังนั้นกรรมในทางการเมืองจึงมีระยะเวลาต่อเนื่องกรมเดียวกันย้อนหลังไปนานด้วยเจตนาของบุคคลในส่วนรับผิดชอบต่างๆ  เมื่อพิจารณาเป็นกรรมและวาระเดียวกันแล้วจึงไม่นับเป็นการย้อนหลังที่จะนำเรื่องขึ้นมาพิจารณาโทษ

การลงโทษและขนาดของโทษ

นอกจากตัวบทของกฎหมายและอำนาจตามกฎหมายแล้ว ต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายและหลักยุติธรรมเป็นสำคัญ ดังนั้นขนาดของโทษจึงต้องคำนึงถึงบริบทของสังคมขณะที่พิจารณาคดีและตัดสินด้วย ยิ่งเป็นคดีทางการเมืองย่อมมีผลทั้งดีและร้ายในวงกว้าง หากปรากฎว่าเกิดข้อจำกัดใดๆก็ตามในกระบวนการยุติธรรมที่อธิบายไม่ได้ทั้งในด้านที่จำเป็นต้องตัดสินให้คุณหรือให้โทษก็ตาม ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงและสามารถให้มีน้ำหนักในคำวินิจฉัยได้ มากกว่าตัวบทกฎหมายครับ

เมื่อเป็นดังเหตุและผลที่ยกขึ้นมาแล้วนั้น
ผมจึงมีความเห็นว่าการตัดสินคดียุบพรรคการเมืองมิใช่เรื่องย้อนหลังแต่ประการใด อีกทั้งการปรับปรุงแก้ไขโทษตามกฎหมายให้เหมาะสมก่อนการมีคำพิพากษาออกมานั้นเป็นเรื่องที่กระทำได้ และสามารถใช้ในการลงโทษได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจขององค์คณะผู้พิพากษาคดีนั้นๆว่าจะลงโทษในสถานใด
บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 04-10-2006, 17:00 »

แค่คิดก็ผิดแล้ว

ข้อความแค่คิดก็ผิด เหมาะกับนักแถและคนชอบแถอย่างยิ่งครับ
บันทึกการเข้า

PJSOFT
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 154


« ตอบ #5 เมื่อ: 04-10-2006, 19:37 »

เขาเชื่อว่า "คิด" มัน "ผิด"

เขาก็เลยไม่คิดไงครับ....
บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 03-05-2007, 08:42 »



ขออนุญาตขุดกระทู้เก่าครับ คิดถึง และเห็นว่าใกล้ถึงวันสำคัญของหลายๆคน

ชาติบ้านเมืองและระบบยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะต้องคงอยู่ต่อไปครับ...

                                                                                                 
บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 03-05-2007, 09:05 »


มีอีกหนึ่งกระทู้ที่จะต้องอ้างอิงและรำลึกถึงครับ   

http://forum.serithai.net/index.php?topic=8390.msg116746#msg116746
บันทึกการเข้า

Scorpio6
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,210


Man on Mission *เสี่ยวฯ>สันติภาพ*


« ตอบ #8 เมื่อ: 03-05-2007, 09:13 »

เห็นด้วยกับคุณ Q ครับ เราควรช่วยกันสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการรเมืองใหม่สำหรับเมืองไทยครับ
ทำอย่างไรจะสร้างระบบความยุติธรรมทางการเมือง และทางสังคมให้เกิดขึ้นอย่างที่คุณว่าได้..........
ผมเองกำลังศึกษาเรื่อง Governnance Innovationเพื่อปรับประยุกต์ใช้กับการเมืองไทยในอนาคต
เผื่อจะหาทางออก หรือแก้ปัญหานำไปสู่การปฏิรูปได้ชัดเจน  ถูกต้อง รวดเร็ว มีประจักษ์พยานทั้งบุคคล เอกสาร
 (รวมถึงการใช้ระบบITใหม่ๆเข้ามาใช้)ในกรณีมีการทำผิดทางการเมืองครับโดยเฉพาะการลงโทษคนผิด คุ้มครองคนไม่ผิด
และ ผมเห็นด้วยที่ รธน.มีบทบัญญัติ กรณีที่นักการเมือง หรือรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ทำผิดแล้วไม่กำหนดอายุความ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2007, 09:24 โดย Scorpio6 » บันทึกการเข้า



คิดจะล้มระบอบทักษิณ ต้องอ่านใจเนวินและเพื่อน
บล็อกเสี่ยวไทบ้าน*แวะเยี่ยมRepublican Collage ของคุณสุธา ชันแสง*
http://www.oknation.net/blog/thaibaan/2008/03/26/entry-1
"ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและในฐานะอย่างไร จงตรองหาว่า จะมีทางใช้ชีวิต
ให้เป็นประโยชน์ในทางใดบ้าง เมื่อตั้งใจคิดถึงมันแล้วก็จะพบเสมอ
ไม่ว่าอยู่ที่ใด เมื่อพบทางแล้วจงลงมือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์"
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #9 เมื่อ: 03-05-2007, 10:03 »

นวรรตกรรมและพัฒนาการทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมพันธมารนี่ประกอบไปด้วย

หนึ่ง การใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา เช่น การปิดถนน ปิดห้าง ล้อมตึก ฯลฯ เป็นต้น

สอง ไม่สามารถแยกแยะข้อกล่าวหากับข้อเท็จจริงได้เลย เช่น การเชื่อว่าทักษิณจ้างคนบ้าไปทุบพระพรหม ทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว การยกเกาะให้เขมร ฯลฯ เป็นต้น

สาม คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นเสียงปชช. แต่ไม่สนใจผลการเลือกตั้งที่คนส่วนใหญ่มีมติ โดยกล่าวหาว่าเสียงส่วนใหญ่ดังกล่าวโง่ ทุจริต และไร้จริยธรรม

สี่ เมื่อผู้มีอำนาจบริหารประเทศไปแบบที่ขัดใจวพวกตัวเอง ก็หาเรื่องกล่าวโทษและบีบให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจเถื่อนๆจัดการและดำเนินการไปในทางที่คนพวกนี้ต้องการ เช่น ต้องการให้ยึดทรัพย์คุณทักษิณ ต้องการให้ปิดไอทีวี ต้องการให้ยึดสัมปทานAIS ต้องการให้เช็คบิลบุคคลรอบข้างอำนาจเก่าทุกคน เป็นต้น

และห้า ท้ายสุดแล้วเมื่อประเทศชาติchipหาย คนพวกนี้ก็โยนบาปให้กับอำนาจเก่า




เลวไหมครับ!?!
บันทึกการเข้า
Scorpio6
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,210


Man on Mission *เสี่ยวฯ>สันติภาพ*


« ตอบ #10 เมื่อ: 03-05-2007, 10:21 »

นวรรตกรรมและพัฒนาการทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมพันธมารนี่ประกอบไปด้วย

หนึ่ง การใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา เช่น การปิดถนน ปิดห้าง ล้อมตึก ฯลฯ เป็นต้น

สอง ไม่สามารถแยกแยะข้อกล่าวหากับข้อเท็จจริงได้เลย เช่น การเชื่อว่าทักษิณจ้างคนบ้าไปทุบพระพรหม ทำบุญประเทศที่วัดพระแก้ว การยกเกาะให้เขมร ฯลฯ เป็นต้น

สาม คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นเสียงปชช. แต่ไม่สนใจผลการเลือกตั้งที่คนส่วนใหญ่มีมติ โดยกล่าวหาว่าเสียงส่วนใหญ่ดังกล่าวโง่ ทุจริต และไร้จริยธรรม

สี่ เมื่อผู้มีอำนาจบริหารประเทศไปแบบที่ขัดใจวพวกตัวเอง ก็หาเรื่องกล่าวโทษและบีบให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจเถื่อนๆจัดการและดำเนินการไปในทางที่คนพวกนี้ต้องการ เช่น ต้องการให้ยึดทรัพย์คุณทักษิณ ต้องการให้ปิดไอทีวี ต้องการให้ยึดสัมปทานAIS ต้องการให้เช็คบิลบุคคลรอบข้างอำนาจเก่าทุกคน เป็นต้น



ห้า ท้ายสุดแล้วเมื่อประเทศชาติchipหาย คนพวกนี้ก็โยนบาปให้กับอำนาจเก่า




เลวไหมครับ!?!


แล้วเราก็มาช่วยกันคิดนอกกรอบความคิดเดิมๆ(ดังที่คุณกล่าว)สิ คุณจ๊ะ...Anotherway is possible 


บันทึกการเข้า



คิดจะล้มระบอบทักษิณ ต้องอ่านใจเนวินและเพื่อน
บล็อกเสี่ยวไทบ้าน*แวะเยี่ยมRepublican Collage ของคุณสุธา ชันแสง*
http://www.oknation.net/blog/thaibaan/2008/03/26/entry-1
"ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและในฐานะอย่างไร จงตรองหาว่า จะมีทางใช้ชีวิต
ให้เป็นประโยชน์ในทางใดบ้าง เมื่อตั้งใจคิดถึงมันแล้วก็จะพบเสมอ
ไม่ว่าอยู่ที่ใด เมื่อพบทางแล้วจงลงมือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์"
Nai_puan
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 231


« ตอบ #11 เมื่อ: 03-05-2007, 11:50 »

ก่อนอื่น  พวกสมรู้ร่วมคิดก่อกบถยึดอำนาจ  ทำลายบ้านเมืองเสียหายยับเยิน

เป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า  ต่อสายตาประชาชนทั่วประเทศ


เอาพวกมันมาติดคุก หรือประหารชีวิตไปก่อนดีไหม?
บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 03-05-2007, 11:52 »

ตัวอย่างคำกล่าวของทักษิณ ตัวอย่างการตระบัดสัตย์และผิดสัญญาประชาคมที่ให้ไว้อย่างชัดเจน และคำกล่าวเพื่อปัดความรับผิดชอบต่อหน้าที่  

คำบรรยายพิเศษของ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

เรื่อง สถานการณ์ประเทศไทยกับการทุจริตคอร์รัปชั่น

ในการประชุมเชิงปฏิบัติการการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2544 เวลา 08.50 น.

 

-----------------------------------------------

                               

                                ผมขอพูดคุยกับท่านทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องของสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยวันนี้  ซึ่งผมขอพูดจากใจ จากประสบการณ์ จากความตั้งใจที่ได้ออกนโยบายว่าประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่นนั้นคืออะไร  ผมอยากจะฝากข้อคิดหลาย ๆ อย่างเพื่อกลุ่มจะได้ไปดู  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคณะกรรมการ ปปช. อยู่ที่นี่ด้วย  ท่านจะได้นำภาคของระบบการเมือง ภาคของระบบราชการ  ภาคของการทำงานร่วมกันของภาคประชาชน  ไปใช้ในการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

                                 สิ่งที่ผมได้เห็นปัญหาทั้งหมดคือผมจะมองแบบนักบริหาร  นักบริหารจะพยายามมองเรื่องประสิทธิภาพแต่มองว่าประสิทธิภาพในการตัดสินใจของประเทศมีปัญหา  เพราะเรื่องของคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่อยู่ในทุกระบบ  บางแห่งคอร์รัปชั่นจะกลายเป็นบรรทัดฐาน  ผมเคยสัมผัสมาผมรู้ว่ามันมากเกินกว่าที่เราจะควบคุม  เพราะฉะนั้นถามว่าเราจะทำอย่างไร  สิ่งที่เราพยายามทำวันนี้ผมยังเชื่อว่าเป็นปลายเหตุ  ต้นเหตุต้องถามก่อนว่าเราต้องถามชีวิตความเป็นจริงของสังคมไทยวันนี้  ด้วยค่านิยมอย่างนี้  ด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลกเป็นอย่างนี้  ถามว่า 1.ข้าราชการมีเงินเดือนพอใช้หรือไม่  2. พรรคการเมืองทุกวันนี้มีรายจ่ายหรือไม่  ถามว่ารายได้มาจากไหน ถามว่าบุคลากรทางการเมืองวันนี้มาจากไหน  และถามว่าเราต้องการบุคลากรทางการเมืองแบบไหน  ถึงจะมาบริหารและแก้ปัญหาของชาติได้นั่นคือคำถามที่ใหญ่มาก  แล้วเราถึงจะมาหาคำตอบว่าจะแก้อย่างไร  ถ้าเราหาคำตอบของคำถามใหญ่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ผมเชื่อว่าทุกอย่างเป็นปลายเหตุ  เราพยายามจะบอกกับสังคมว่า  เราจริงจังกับการแก้ปัญหาทุจริต  แต่ไม่ง่าย  เรามาอยู่กันตรงนี้ 

                ผมอยากให้เราพูดความจริง  ถ้าเราไม่พูดความจริงเราแก้ปัญหาไม่ได้  ถ้าเราขับเคลื่อนการแก้ปัญหาไม่ได้  การแก้ปัญหานั้นจะเป็นเพียงโดยผิวเผินเท่านั้น  แต่ถามว่าจริง ๆ แล้วแก้ได้หรือไม่  นั่นคือคำถามใหญ่  ๆ ถ้าบอกว่าพูดอย่างนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว  แก้ไม่ได้เพราะเนื่องจากว่าค่านิยมของคนไทยได้ไปลึกแล้ว  มากแล้ว   แก้ไม่ได้  ในระยะยาวต้องปลูกฝังกัน 10  - 20 - 30  ปี  ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้  อย่าไปคิดว่ารัฐบาลเหลืออีก 3 ปี  เรื่องทำงานกว่า 20 ปีจะพ้นอย่าเพิ่งทำเลย  ถ้าคิดแบบนี้ก็จบ  เรื่อง 20 ปีไม่ต้องทำ  ข้าราชการบอกว่าอีก 7 ปีผมเกษียณแล้วทำไปทำไม  ให้คนรุ่นหลังมาทำเถอะ  อย่างนี้ก็จบ ถ้าคณะกรรมการชุดต่าง ๆ บอกว่าเทอมผมจะหมดแล้วมันก็จบอีกเหมือนกัน 

                                ผมคิดว่าวันนี้เราต้องเอาปัญหาทั้งหมดมาดูแล้วเราต้องแบ่งกันว่า  เราจะแก้ปัญหาทั้ง 3 ระดับ คือระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว อย่างไรโดยเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้  แน่นอนครับเราหมดเทอมเราเกษียณไป  คนรุ่นหลังจะได้ต่อได้  แต่ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้เราจะแก้ปัญหาปลายเหตุต่อไป  เรากำลังสร้างปัญหาใหม่ตลอดเวลา  การแก้ปัญหาปลายเหตุไม่เคยแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ปัญหาใหม่จะเกิดขึ้น  ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อก่อนนี้ไม่เคยมีระบบซื้อขายตำแหน่ง  อย่างมากที่สุดคือไหว้วันเกิดผู้ใหญ่  ก็ได้แค่นี้  แต่ระยะประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานั้น   การซื้อขายตำแหน่งเข้ามามีบทบาทมาก  มากจนชนิดที่เรามองเป็นเรื่องธรรมดา    วันนี้พอรัฐบาลนี้เข้ามา  ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเรื่องของตำรวจ  ผมกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  เราเอาจริงเอาจังกับเรื่องไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง  แต่ว่าเมื่อการกระจายอำนาจเกิดขึ้น  ใช้เวลา  ไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาข้างล่างจะไม่ทำ  เพราะสิ่งที่ทำเหล่านั้น  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืน  แต่การติดตามการเฝ้าดูต่าง ๆ นั้นจะต้องเกิดขึ้น 

                                ถ้าข้าราชการเริ่มต้นด้วยการซื้อตำแหน่ง  ถามว่าเงินเดือนเท่านี้เอาที่ไหนมาซื้อ  แค่นี้ก็คือคำตอบ  ถามพรรคการเมือง ถามว่าวันนี้เงินอุดหนุน กกต. ที่ให้นี้เป็นสิ่งเริ่มต้นที่ถูกต้อง  เพราะเรากำลังเริ่ม ยอมรับความจริงว่าพรรคการเมืองต้องมีรายจ่าย  แต่ถามว่าเริ่มต้นตรงนี้ถูกต้องไหม  ถูกต้องมาก  และต้องมาปรับกันทั้งสองฝ่าย  พรรคการเมืองก็ต้องปรับระบบการใช้จ่าย  ให้ถูกต้องเหมาะสม  และขณะเดียวกันนั้นการอุดหนุนค่าใช้จ่ายพรรคการเมืองต้องให้พอดีกับที่ใช้จ่าย  เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหา   ส.ส.ประเทศกัมพูชามีเงินเดือน 130,000 กว่าบาท  กัมพูชาเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศไทยมาก  ส.ส.มีเงินเดือน ๆ ละ 130,000 กว่าบาท ส.ส.ประเทศไทยเงินเดือนเข้าใจว่า 60,000 กว่าบาท   เขาต้องไปงานวัดงานบุญ  นี่คือแบบประเพณีไทย  แล้วเราบอกว่าห้ามรับของกำนัลเกินกว่า 3,000 บาท  แต่เราไม่ได้บอกว่าห้ามให้ของกำนัลเกิน 3,000 บาท  แล้วปรากฏว่าถ้าให้น้อยกว่า 3,000 บาทก็มองว่าใจจืด ใจดำ ใจแคบ  ลองไปทำบุญยกช่อฟ้า 3,000 บาทได้ไหม  ไม่มีทางครับ  นี่คือความเป็นจริง

                                วันนี้ผมถึงบอกว่าถ้าจะคุยกันต้องพูดความเป็นจริง  แล้วเราบอกว่าเราจะแก้อะไร  จะแก้อย่างไร  ในระยะสั้น ยาว กลาง  รัฐบาลอยากแก้ไขมากครับ  บทบาทของรัฐบาลในการปราบปรามคอร์รัปชั่นก็คือทำในระดับหนึ่ง  แต่ระดับ ปปช. นั้นก็เป็นอีกระดับหนึ่ง   องค์กรอิสระจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อองค์กรอื่นที่เราอยู่ร่วมกันในสังคม  เมื่อมีปฏิสัมพันธ์ก็สามารถที่จะคิดร่วมกัน  วางแผนร่วมกัน  วางยุทธศาสตร์ร่วมกันและแก้ปัญหาร่วมกันได้   สถานการณ์ประเทศไทยวันนี้กับการคอร์รัปชั่น  เริ่มมองตั้งแต่ 1. ระบบการเมือง 2.ระบบราชการ  3.ระบบธุรกิจ  และ 3 ส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในสูญญากาศ  แต่อยู่ในระบบสังคมไทยซึ่งมีวัฒนธรรม  มีสังคม ประเพณี เป็นตัวห่อหุ้มอยู่  ถ้าเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้ผมเชื่อว่าเราจะพูดถึงปัญหาถูกหมด  ย้อนไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ  กระบวนการจัดซื้อจัดหาที่ผ่านมา  มีการออกแบบเสร็จเรียบร้อย  มีการกำหนดราคากลาง มีการเสนอราคา  เมื่อเสนอราคาเสร็จบอกว่าถ้าเกินราคากลางต้องไปใช้แบบที่สอง  รัฐบาลจะต้องใช้จ่ายประมาณ 50,000 กว่าล้านบาท  ผมเข้ามาถึงมาล้มการประกวดราคา  และผลสุดท้ายเหลือ 36,000,000 ,000 บาท  ลบไป 18,000,000,000 บาท  นี่คือระบบที่เราปล่อย  สังคมไทยกลายเป็นว่าใครพูดเก่งคนนั้นไปรอด  เราจะต้องดูพฤติกรรมความเป็นจริง

                                วันนี้เราจะต้องดูว่าระบบการเมืองเป็นอย่างไร  ระบบราชการเป็นอย่างไร  ระบบธุรกิจ ระบบภาคประชาชน ห่อหุ้มด้วยสังคม วัฒนธรรม  ถึงจะเห็นชัดและเข้าใจ  เมื่อเราเข้าใจแล้ว  เรามองบูรณาการเป็นแล้ว  เราจะสามารถแก้ปัญหาโดยเริ่มต้นในจุดที่ถูกต้อง  และต้องมาถามอีกว่า  ท่านต้องการบุคลากรทางการเมืองแบบไหนที่จะมาแก้ปัญหาของชาติ  ถ้าท่านบอกว่าบุคลากรการเมืองก็คือบุคลากรที่ต้องบริสุทธิ์ตั้งแต่ต้น  ต้องไม่เคยทำอะไรเลย  แล้วบุคลากรเหล่านี้ต้องมานั่งบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาให้ชาติโดยที่ไม่ต้องมีประสบการณ์เลย  แล้วชาติจะรอด  ตรงนั้นท่านต้องออกกฎหมายแบบหนึ่ง  แต่ถ่าท่านบอกว่าคนที่จะมาบริหารประเทศได้จะต้องมีประสบการณ์มีความสามารถอย่างนี้  เหมือนบริษัททั้งหลายเวลาที่เขาจะคัดประธานบริษัท  เขาคัดด้วยความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ กฎหมายต้องเป็นอีกแบบหนึ่งครับ  การเขียนกฎหมายจะต้องถามว่าบุคลากรทางการเมืองต้องการอย่างไร เราต้องการคนดี ไม่เก่งก็เอา ขอให้ดีอย่างเดียว  เพื่อแก้ปัญหาชาติ  ถ้าอย่างนั้นก็เป็นแบบหนึ่ง  ถ้าเราบอกว่าดีด้วย เก่งด้วยก็อีกแบบหนึ่ง  เก่งอย่างเดียวไม่ต้องดีก็อีกแบบหนึ่ง  เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะเขียนกฎหมายต้องมองภาพรวมให้ได้  มองบูรณาการให้เป็น  ถ้าคนเขียนกฎหมายมาถึงเขียนด้วยเทคนิคของกฎหมาย  แต่ไม่มีคนที่คิดในเชิงบูรณาการของระบบว่ากฎหมายนั้นจะกระทบอย่างไร  แล้วก็เขียนไป  มาถึงคนบังคับใช้ก็บังคับใช้กฎหมายตามนั้นตีความเคร่งครัด  คนที่มีความรู้กฎหมายชั้นยอด  คนที่เป็นคนดีเหลือเกิน  บางครั้งก็ให้ความเป็นธรรมไม่ได้  เพราะไม่มีความรอบรู้เพียงพอ  เพราะเมื่อไม่รอบรู้แล้วเราไม่เข้าใจระบบแล้วถามว่าวันนี้เราจะแก้ปัญหาอย่างไร 

                                ผมฝากเป็นข้อคิดไว้ว่าเราจะต้องมองหลาย ๆ ระบบ  ระบบราชการก็เช่นกันว่า  วันนี้ผมเป็นหัวหน้าส่วนราชการเงินเดือนผม 50,000 บาท  ผมต้องส่งลูกของผมไปเรียนเมืองนอก  ดอลล่าร์ละ 44 บาท  ลูกของผมใช้เงินปีละ 1,500,000 บาท  ถามจริง ๆ ว่าผมเอาเงินที่ไหนมาถ้าผมไม่มีของเก่าขายกิน  อยากให้อยู่บนโลกความเป็นจริง  แล้วแก้ปัญหาบนโลกของความเป็นจริง  วันนี้ระบบราชการไทยเราพัฒนามาจากระบบดั้งเดิม  ระบบเสนาบดี  ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ข้าราชการเป็นที่เคารพนับถือ  มีฐานะมีอำนาจมีตำแหน่ง  เพราะฉะนั้นอำนาจกับเงินที่ให้ไม่พอดีกัน  เมื่อไม่พอดีกันผลสุดท้ายแล้วค่านิยมที่ค้างเติ่งอยู่ข้างบน  กับผลตอบแทนที่เขาได้รับไม่พอกัน  แล้วเขาจะทำอย่างไร  เขาต้องหาเงินเพื่อรักษาหน้าตา  รักษาระดับ  รักษาเกียรติยศ  ผลสุดท้ายถ้าอยู่อย่างมีเกียรติยศ ได้รับโล่มาก ๆ    แต่เกษียณแล้วลูกหลานไม่ไปหาเลย  เพราะไม่มีเงินเลี้ยง  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง  เราต้องรื้อถึงระบบต้องมองค่านิยม  กระทรวงศึกษาธิการก็อยู่ที่นี่  ต้องไปเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ค่านิยม  เป็นงานระยะยาวที่ต้องทำ  ที่ผมพูดไม่ใช่เพราะว่าผมจะหาเรื่องขึ้นเงินเดือนข้าราชการวันพรุ่งนี้  ไม่ใช่ครับ  เราจะต้องพัฒนาเศรษฐกิจ  จะต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเรา 

                                สรุปแล้วข้าราชการต้องอดทนต่อไปอีกระยะหนึ่ง  เพื่อมาช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจ  นักธุรกิจต้องอดทน รัฐวิสาหกิจต้องอดทน  ช่วยกันแก้ไข  เมื่อสิ่งต่าง ๆ ดีแล้ว  เราจะหาความพอดี 

 พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ไม่มีผิดครับ  ถ้าเมื่อใดความกลมกลืนของสังคมไม่มี ก็ไม่เจอความพอดี  เป็นปัญหาในทุกที่ครับ  ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความไม่พอดีของสังคม  ค่านิยมความฝัน  “หน้า” เป็นเรื่องใหญ่  มันสูงมาก  พอสูงมากแล้วฐานะความเป็นอยู่ ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจไม่พอเพียง  ก็ดิ้นรนเพื่อรักษาไว้ซึ่ง “หน้า” บางคนตายเป็นตาย  ขอรักษาไว้ซึ่ง “หน้า” เพราะฉะนั้นระหว่างหน้ากับเกียรติยศไม่เหมือนกัน  หน้าคือสิ่งที่เขา Persive ในสังคม  แต่เกียรติยศไม่มีใครรู้   เพราะฉะนั้นบางครั้งคนไม่เข้าใจ  ไปคิดว่ามองจุดเดียวว่าจุดนี้ละแก้ปัญหาต้องอย่างนี้ ๆ  แต่ความจริงแล้วท่านต้องมองภาพรวม  การออกกฎหมายอย่างเดียวไม่พอ  การออกกฎหมายมาก ๆ เกิดอะไรขึ้น  เราป้องกันคนเลว 3 % แต่คนดี 97 % ทำงานไม่ได้    แล้ววันนี้เราต้องการประสิทธิภาพ ต้องการการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ  กฎหมายอาญาต้องมีคำว่า  “ เจตนา” กฎหมาย ปปช. กฎหมายเรื่องของทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นเป็นอาญาโดยธรรมชาติ  เมื่อเป็นอาญาโดยธรรมชาติ เจตนา จึงเป็นหัวใจสำคัญ เจตนาเพื่ออะไร  เพื่อนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่น   แต่บางครั้งเราต้องดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร 

                                ที่ผ่านมาผมขอเล่าให้ฟังว่าทำไมปัญหาความยากจนของประเทศไทยจึงแก้ไขยาก  ประเทศไทยไปที่ไหนก็เขียวหมด  น้ำเต็มไปหมดถึงแม้จะท่วมบางที่แล้งบางที่  ผมดูสภาพประเทศไทยแล้วไม่ควรจะมีคนจน  ผมเห็นประเทศอื่นที่เขาไม่จนกัน  ไม่เห็นมีอะไรเหนือกว่าประเทศไทย  สิงคโปร์เกาะเล็ก  ๆ วันนี้ไม่มีหนี้แม้แต่บาทเดียว  มีเงินเหลือมากมายไปลงทุนทั่วโลก  เป็นเพราะอะไรครับ 1.ประสิทธิภาพ 2.เรื่องคอร์รัปชั่นไม่มี 3. รัฐมนตรีของเขามีเงินเดือนแพงกว่าเงินเดือนรัฐมนตรีของสหรัฐอเมริกา เกาะนิดเดียวใช้มันสมองของคน  คนไทยมีมันสมองมากพอ  มีทรัพยากรธรรมชาติอีกต่างหาก  แต่ระบบที่เราวางไว้ทำไมถึงไม่หายจน    ได้รับเลือกตั้งมาก่อนอื่นต้องตอบแทนบุญคุณคนจ่ายเงินก่อน  ระหว่างตอบแทนบุญคุณไป  สื่อมวลชนก็เสนอเดี๋ยวจะล้มแล้ว  อีก 6 เดือนล้ม อีก 3 เดือนล้ม  แล้วเลือกตั้งงวดหน้าจะเอาเงินที่ไหน  ก็ต้องเก็บเงินก่อน  หาเงินก่อน  แล้วเมื่อไรจะถึงคิวคนจน  ก็จนตรอกครับ  ดัชนีค่าครองชีพขึ้น  เงินดอลล่าร์เข้าประเทศ  เศรษฐกิจเติบโต  คนจนไม่ถึงคิวสักที  ก็จนหนักเข้า  ๆ ตกตะกอนหนักเข้า   ที่ลอยอยู่ไม่กี่คน  นี่คือความเป็นจริง  แต่ตอนนี้ระบบการเมืองเข้มแข็งขึ้น  ก็จะช่วยได้ระดับหนึ่ง  ถ้าหากว่าการเมืองตัดสินใจทุกอย่าง  ถามว่ากี่เปอร์เซ็นต์  ใครให้มากกว่าแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงคิว  คิวคนจนไม่มี  แล้ววันนี้พอรัฐบาลนี้เข้ามาถึงประกาศแก้ปัญหาความยากจน  นโยบายเปลี่ยนจากเอาเงินไปสร้างวัตถุมาสร้างชีวิตมนุษย์  ถูกต่อต้านมากมาย  ถูกกล่าวหามากมาย มีสาเหตุจากสามส่วนครับ  ส่วนที่ 1.คือไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำสิ่งเหล่านี้แล้วได้อะไร  เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำอย่างนี้  เพราะทำอย่างนี้ทำอย่างเดิมมันเคยชิน  ต้องสร้างโน่นต้องสร้างนี่  ต้องมีอนุสาวรีย์ให้ตัวเอง  เสร็จแล้วปรากฏว่าชักเปอร์เซ็นต์ทั้งนั้น  แล้วเกิดอะไรขึ้น  คนจนไม่ถึงคิว  แต่พอมาวันนี้ทำอย่างนี้แล้วไม่เข้าใจ  เพราะฉะนั้นคนคัดค้านเพราะไม่เข้าใจ  เพราะเคยชินกับระบบเก่าเป็นส่วนใหญ่  ถ้าวันนี้เราไม่ทำอย่างนี้คนจนก็ไม่ถึงคิว 

                                ในที่สุดแล้วถามว่าวันนี้ทำไมนักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์แท้  ๆ  ที่ไม่เคยทำอะไรเลยถึงทำนายเศรษฐกิจของโลกผิดมาก  เพราะว่าในอดีตเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยภาครัฐเป็นส่วนใหญ่  การขับเคลื่อนด้วยภาครัฐแน่นอนครับนักเศรษฐศาสตร์จะเข้าใจและรู้หมดเลย  แต่ระยะหลังเศรษฐกิจขับเคลื่อนโดยภาคธุรกิจแท้จริง  แล้วภาคธุรกิจแท้จริงซึ่งประกอบด้วยภาคธุรกิจใหญ่มาก ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วความผันผวนของภาคธุรกิจสูงมาก เพราะฉะนั้นการขับเคลื่อนอย่างนี้นักเศรษฐศาสตร์ถึงทำนายยากขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเป็นเช่นนี้ความเข้าใจในปัญหาความยากจนจึงเข้าใจไม่ค่อยถูกนัก 

                                การมองปัญหาความยากจนจึงต้องมองถึงเรื่องของธรรมชาติ  คือรายจ่ายมากกว่ารายได้  ทำอย่างไรให้รายได้มากกว่ารายจ่าย  คือมองปัญหาความยากจนที่เรียบง่ายที่สุด  ถ้ามองถึงตรงนี้แล้วโครงการต่าง ๆ  งบประมาณต่าง ๆ ต้องกลับไปเพื่อนำพาไปสู่ระบบที่ทำให้คนจนลดรายจ่ายเพิ่มรายได้  เมื่อคนจนหายจนทุกอย่างก็จะขยับขึ้นมา  แล้วระบบคอร์รัปชั่นก็จะเบาบาง  แต่วันนี้ระบบคอร์รัปชั่นนั้นเบาบางไม่ได้เลย  เพราะเนื่องจากค่านิยม  เพราะเนื่องจากระบบที่ได้ปล่อยให้เสียมานาน  ยาเสพติดที่เต็มบ้านเต็มเมืองวันนี้   ผมบอกได้เลยว่าถ้าข้าราชการไม่คอร์รัปชั่น  การเมืองไม่คอร์รัปชั่น รับรองครับยาเสพติดเราเอาอยู่  เพียงแต่ว่าวันนี้เป่านกหวีดแล้วเราต้องเริ่มพร้อมกัน  ซึ่งไม่ง่าย  พูดง่ายแต่ทำยาก 

                                ที่ผมพูดมาก็ทำให้ท่านมึนและงงพอสมควรแล้ว  แต่ขอเล่าให้ฟังว่านี่คือพูดจากใจ  จากการที่ผมสร้างตัวจากไม่มีอะไรมา  และเห็นมาทุกมุมของโลก ทุกมุมของประเทศไทย  ระหว่างเลือกตั้ง  ตั้งพรรคมา 2 ปีกว่า  ไปเห็นไปผจญภัยมา  และโดนมากับตัวเองถึงรู้ทุกอย่าง   และอยากจะมาบอกกับพี่น้องทุกท่านที่อยู่ที่นี่ว่าวันนี้ทฤษฎีระบบเป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทั้งหมดแบบบูรณาการ  ทุกองค์กรทุกเซลล์ที่อยู่ในประเทศไทย  ไม่มีอะไรที่เป็นอิสระออกจากกัน  ต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันทั้งนั้น  ถ้าประเทศไทยเป็นร่างกาย  คือมนุษย์ชื่อประเทศไทยนั้น  ประเทศไทยมีหัวใจมีตับ ไต ปอด  ซึ่งต่างคนต่างอิสระแต่ต้องทำงานร่วมกัน  ปอดไม่เคยไปยุ่งกับหัวใจ  หัวใจก็ไม่เคยไปยุ่งกับปอด  แต่ต้องมีความเชื่อมโยง  แน่นอนการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงซึ่งกันและกันเพื่อให้สิ่งเหล่านี้เข้มแข็งแข็งแรง  และขณะเดียวกันนั้นก็ต้องมีเลือดมีอะไรที่เลี้ยงทั้งหมดของร่างกายเหมือนกันครับ  เพราะฉะนั้นประเทศไทยมีสังคม  มีค่านิยม มีวัฒนธรรมและมีองค์กรที่ทำหน้าที่  องค์กรก็คือรัฐบาลบ้าง องค์กรอิสระบ้าง ภาคธุรกิจบ้าง  ภาคประชาชนบ้าง  คือสิ่งที่ต้องอยู่ในระบบเดียวกัน  เพราะฉะนั้นต้องคิดร่วมกัน  เพราะสิ่งหนึ่งที่ออกมาจากสิ่งหนึ่งผิดพลาดก็จะทำให้อีกสิ่งหนึ่งผิดพลาดตามไปด้วย สิ่งนี้จะต้องคิดร่วมกันทำงานร่วมกัน  มองปัญหาร่วมกันอย่างบูรณาการ  ถึงจะแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้อย่างจริงจัง  และแน่นอนกฎหมายที่รุนแรงเป็นสิ่งที่ดี  ถามว่ารุนแรงแล้วจับไม่ได้  ไม่มีความหมายครับ  จนมีนักอาชญวิทยาคนหนึ่งพูดว่า Certainty Not  Severity นั่นคือทฤษฎีปรัชญาของการลงโทษ  คือขอให้ทำผิดเป็นโดนทั้งนั้น  โทษไม่ใหญ่มากก็ได้  แต่ว่าโทษใหญ่แล้วจับไม่ได้เลยไม่เคยจับใครเลยก็ไม่มีความหมาย  มากกว่าการที่ทำผิดเป็นโดนจับ 

                                เรื่องของการฮั้วประมูล  วันนี้มีมาก  อาชีพนักเลงคุมฮั้วประมูลเป็นอาชีพใหม่  นักธุรกิจมี 1,000 ล้านบาทยอมติดคุกเพื่อจะได้มี 1,200 ล้านบาท  มี 1,000 ล้านบาทไม่พอใช้  ผมไม่รู้ว่ากินอะไร  ต้องการ 1,200 ล้านบาท  เพราะฉะนั้นยอมไปฮั้ว  เหมือนกันทุกงานแทบจะบอกได้เลยว่ารายการนี้ฮั้วอย่างนี้   เพราะฉะนั้นรัฐมนตรีทั้งหลายเขารู้ว่าผมรู้หมด  พอเข้ามาแล้วเราก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่บางคนมีความสามารถสูง  ทำเลว ๆ อย่างนี้สามารถเอาความเลวไปฝากเขาเป็นคนอื่นทำได้  นี่คือความสามารถพิเศษในช่วงนี้  ซึ่งผมไม่ต้องบอกว่าสังคมต้องหยุดการมอง  เมื่อก่อนนี้สังคมมองภาพนิ่ง  ถ่ายทีละช็อต  โกงกันทั้งชีวิตผลสุดท้ายรวย  ปรบมือให้ครับ  นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่  เพราะว่าคุณรวยหรือว่าเพราะว่าคุณเป็นใหญ่  เมื่อใดสังคมไทยไม่เคารพคนที่สถานะ  โดยไม่มีปูมหลังของสถานะ  ตรงนี้จะช่วยได้มาก  แล้วเมื่อไรสังคมบอกว่าขอให้เป็นใหญ่ผมต้องซูฮก  เพราะฉะนั้นคนจะต้องดิ้นทุกอย่างเพื่อเป็นใหญ่  เลวแค่ไหนก็จะทำ  เพราะเป็นใหญ่แล้วลืมหมดทั้งภาพ  นี่คือสิ่งที่เราพยายามจะบอกว่าทำอย่างไรถึงจะปรับค่านิยม 

                                ท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ผู้ที่ปรับค่านิยมก็ทำไป  ผู้ที่จะสร้างค่านิยมระยะยาวขอให้ทำไป  แต่ขณะเดียวกันท่านที่อยู่ในวงการเมืองก็ต้องคิดกันว่าจะปรับปรุงการเมืองในโลกความเป็นจริงอย่างไร  โดยความเป็นจริงที่ต้องมีการปรับตัว  ไม่ใช่ความเป็นจริงที่ต้องให้คนยอมรับสถานะภาพตัวเองอย่างนั้น  เขาเรียกว่า Self Center เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องเป็นความเป็นจริงที่ให้ทุกคนยอมรับโดยที่ระบบอยู่ด้วยกัน  เกื้อกูลกัน  ถ้าต่างคนต่างไปเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางรับรองว่าเป็นไปไม่ได้   ถ้าต่างคนต่างไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง  มองคนอื่นเอาใจเขาใส่ใจเราอยู่เรื่อย ๆ มันก็จะเริ่มปรับได้  ระบบการเมืองต้องเปลี่ยน  ระบบการเมืองนั้นจะต้องไม่เป็นระบบที่ใช้เงิน  เราพูดกันมานานแต่ว่าต้องใช้เวลา  คราวที่แล้วพิสูจน์ได้ชัดว่าในที่สุดประชาชนก็เลือกนโยบาย  เพราะฉะนั้นเมื่อเลือกนโยบาย  พรรคการเมืองต้องเป็นพรรคแห่งความคิด  พรรคที่ใช้สมอง  ไม่ใช่ใช้ปาก  เมื่อก่อนนั้นใช้ปากและใช้เงินสำเร็จ  ตอนนี้เริ่มใช้สมอง  กลับเป็นเรื่องดี  ใช้เงินก็น้อยลง  และในอนาคตข้างหน้าเมื่อมีระบบการใช้เงินน้อยลงอีก  ประชาชนเริ่มมองเห็นความแตกต่างของพรรคการเมืองที่ใช้สมอง  มีการอุดหนุนด้วยระบบของการอุดหนุน กกต. ต่อไปเมื่อลดช่องว่างมาถึงทำให้ชนกันพอดี  ระบบราชการก็เช่นกัน  วันนี้เรามาช่วยกันพัฒนาเศรษฐกิจให้ดี    แก้ปัญหาให้ดี  และอดทน  เมื่อเศรษฐกิจดี ประเทศดี  เงินเดือนเพิ่มขึ้น  ตอนนี้ฐานะของท่านอยู่ตรงนี้  เงินเดือนแค่นี้  ช่องว่างใหญ่มาก  ต่อไปค่านิยมเปลี่ยนไป  ท่านก็ลดตรงนี้ลดเพดานลงมา  เศรษฐกิจดีขึ้นเงินเดือนไต่ขึ้นไปก็จะขึ้นมาแล้วเจอกัน  ภาคประชาชนภาคธุรกิจ  ท่านเลขา กลต.อยู่ที่นี่  ผมบอกได้เลยว่าธุรกิจคอร์รัปชั่นในภาคบริษัทเอกชนนั้นก็มี  บริษัทมหาชนทั้งหลายที่เรียกว่า Other People Money (นำเงินของคนอื่นมา) ทั้งหลายก็ต้องมีระบบของการตรวจสอบบัญชีที่ดี  เพื่อให้คนเหล่านั้นซึ่งก็เคยชินในอดีต  คือทำธุรกิจและดำเนินทุกอย่าง  มีบัญชี 2 เล่มตั้งแต่เริ่มต้น  เอาเงินในบริษัทไปใช้ส่วนตัว  ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วเจ้าของบริษัทจะใช้เงินบริษัทได้ 3 ทางเท่านั้นเอง  1.คือเงินเดือนที่ถูกต้อง  ที่คณะกรรมการบริหารอนุมัติให้ใช้ 2. เงินปันผล 3.เอาหุ้นตัวเองไปขายเป็นเงิน  นอกนั้นเอาเงินบริษัทไปใช้ไม่ได้  นอกจากใช้ในกิจการของบริษัท  ใช้ส่วนตัวไม่ได้  แต่ปรากฏว่าเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจคราวที่แล้ว  บริษัทใหญ่ ๆ มีปัญหามาก  ไม่ใช่เพราะเรื่องเดียว   เป็นเรื่องการใช้เงินผิดประเภท  ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องวางระบบเพื่อให้การใช้เงินผิดประเภทนั้นน้อยลงไป  เพราะเป็นบริษัทมหาชน  ถ้าเป็นบริษัทส่วนตัวคุณจะใช้อย่างไรก็เรื่องของคุณ  แต่ถ้าเมื่อเป็นบริษัทมหาชนแสดงว่าคุณเอาเงินของชาวบ้านเขามาด้วย  เพราะฉะนั้นต้องแก้ทั้งระบบ 

                                วันนี้เราอยู่ด้วยกันแล้วเราพร้อมจะแก้ทั้งระบบ  ผมเชื่อว่าคงจะดีขึ้นมาก  แต่สำคัญอย่างเดียวอย่าทำอะไรที่สุดโต่ง  อย่าไปทำอะไรที่คิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลาง  ต้องคิดว่าองค์กรทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องนี้เราอยู่ในระบบเดียวกัน  ระบบประเทศไทย  เพราะฉะนั้นอย่าแยกว่านี่คือราชการ  นี่คือประชาชน  นี่คือเอกชนไม่เกี่ยวกัน  เราคือส่วนหนึ่งของประเทศไทย  คำว่าประเทศไทยนั้นรวมทุกอย่าง  เพราะฉะนั้นวิธีคิด  คิดให้ไกลตัวที่สุดคือคิดคำว่าประเทศไทย  แม้แต่ประเทศไทยเองยังหนีไม่พ้นกับสิ่งแวดล้อมภายนอก  ค่านิยมที่เข้ามาจากภายนอก  สิ่งที่สังคมต้องเรียนรู้  สังคมที่ไม่ได้จัดระเบียบ  ซึ่งวันนี้การจัดระเบียบสังคมได้เริ่มขึ้น   เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้  เราไม่ได้อยู่ประเทศเดียวในโลก  แล้วเราก็ไม่ได้เป็นองค์กรเดียวในประเทศไทย 

                                ผมต้องการกระตุ้นให้ทุกคนคิดว่า  เราต้องคิดร่วมกัน  มองปัญหาร่วมกัน  คือมององค์รวมของประเทศ  แล้วเรามาดูว่าเมื่อคิดร่วมกัน  วางยุทธศาสตร์ร่วมกันแล้วแบ่งงานกันทำ  ว่าหน้าที่ใคร ๆ จะเอาไปทำอะไรตามหน้าที่ตัวเอง  แต่ว่าการคิดนั้นคิดอย่างมีบูรณาการ  มองยุทธศาสตร์ด้วยกันแล้วเดินหน้าด้วยกัน  ทั้งหมดนำไปสู่การลดช่องว่าง  ตามที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ว่าฐานะมุมมองของสังคมต่อข้าราชการอยู่ตรงนี้  แต่รายได้อย่างนี้เราจะลดช่องว่างอย่างไร  คือต้องลดสองทางครับ   ลดทางเดียวไม่ได้  เอาเงินเดือนไปยันเลยไม่ได้  ต้องลดสองทางครับ  เมื่อลดสองทางไปเจอกันเมื่อไรตรงนั้นก็นิ่ง  เจอกันเมื่อไรก็นิ่ง  พรรคการเมือง  ระบบราชการ  ระบบภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาชน  ซึ่งภาคประชาชนคือความเข้าใจความคาดหวัง  การเข้าใจค่านิยมของสังคมที่คิดว่าการจะให้เกียรติเคารพให้เกียรติคนชื่นชมคนแบบไหน  ก็จะนำไปสู่จุดนั้น

                                ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ตั้งใจมาช่วยกันวันนี้  ในส่วนของรัฐบาลจะทำเต็มที่  และจะพยายามทำให้ดีที่สุด  พร้อมที่จะรับข้อเสนอแนะ  พร้อมที่จะร่วมมือทุก ๆ ฝ่ายที่คิดว่ารัฐบาลจะมีส่วนช่วยได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งงาน ปปช.  ซึ่งเมื่อก่อนนี้เป็นของรัฐบาล  แต่วันนี้เป็นองค์กรอิสระ  รัฐบาลก็พร้อมจะให้ความร่วมมือเพื่อให้งานของท่านบรรลุเป้าหมายอย่างเต็มที่  โดยที่เราถือว่าเราทำงานทั้งหมดเพื่อให้ชาติเราดีขึ้น  ขอขอบคุณครับ 

 

                                                                --------------------------------------

 

                                                                                                ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่  สำนักโฆษก

                                                                                                วิมลมาส  รัตนมณี / ถอดเทป / พิมพ์

                                                                                                ดวงฤดี  รัตนโอฬาร / ตรวจ

 
............................


http://72.14.235.104/search?q=cache:CC2OX-njvXEJ:www.thaiengineering.com/webboard/question.asp%3FQID%3D8537+%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93,%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99&hl=en&ct=clnk&cd=31&gl=th


ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วย"หุ้นส่วนเพื่ออนาคต" ย้ำต้องแก้ คอร์รัปชัน เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วย"หุ้นส่วนเพื่ออนาคต" ย้ำต้องแก้ คอร์รัปชัน เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม


ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วย"หุ้นส่วนเพื่ออนาคต"

ย้ำต้องแก้คอร์รัปชัน ให้


*ต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยการพัฒนาแผนการดำเนินงานภายในประเทศที่ชัดเจนในการจัดการกับเรื่องนี้ภายในปี 2547


*ส่งเสริมความโปร่งใสโดยดำเนินการตามแผนงานมาตรฐานความโปร่งใสทั้งตามหลักการทั่วไปและหลักการเฉพาะรายสาขาภายใต้ยุทธศาสตร์ว่าด้วยความโปร่งใสภายในปี 2548




หมายเหตุ - เป็นคำแถลงปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเพื่ออนาคต ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้ร่วมแถลงกับบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค หลังเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม

--------------------------------------------------------------------------

 
 
 พิมพ์   แจ้งลบ   ส่งหาเพื่อน   เมื่อ 22 ต.ค. 46 เวลา 23:52 โดยคุณ  ต่อตระกูล ยมนาค
 

คำตอบที่ 1
แล้วเค้าจะทำได้อย่างที่พูดไว้หรือป่าว ฤาว่าจะเป็นแค่ลมปาก ค่ะ อจ.
 
     เมื่อ 25 ต.ค. 46 เวลา 14:57:39 โดยคุณ  คนไทยๆ

................

นร.แจงความผิดแม้ว 14 ข้อ ให้ฉายาแสบ “ซาตานในคราบนักบุญ”  http://db.onec.go.th/thaied_news/index1.php?id=27582

--------------------------------------------------------------------------------
   

ขาสั้นทนไม่ไหว “กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย” ออกแถลงการณ์ “ไม่สามารถมอบความไว้วางใจให้ชายชื่อทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยได้อีกต่อไป” แจงเหตุหมดความชอบธรรม 14 ข้อ สะท้านทรวง ให้ฉายา “ซาตานในคราบนักบุญ” ชี้ปัญหาของประเทศเกิดจากนายกฯ เพียงคนเดียว แค่ลาออกทุกอย่างก็จบ ปฏิเสธเข้าร่วมชุมนุม รอประเมินสถานการณ์หลัง 26 ก.พ.หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะล่ารายชื่อ นร.มัธยมทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เพื่อแสดงความรู้สึก

เมี่อวันที่ 21 ก.พ.ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกันแถลงข่าวแสดงจุดยืนเกี่ยวกับการบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำโดยนายยศ ตันสกุล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ในฐานะประธานผู้ก่อตั้งกลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย นายศิวาวุธ สิทธิเวช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา รองประธานกลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย และนายภัทรนันท์ ลิ้มอุดมพร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา โฆษกกลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย

นายยศ กล่าวว่า การออกมาแถลงการณ์ครั้งนี้ทำในนามส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับสถาบันการศึกษา เนื่องจากกลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนนักเรียนจากสถานศึกษาประมาณ 30 สถาบัน ในฐานะปัจเจกบุคคล ต้องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หมดความสง่างามไม่สมควรที่จะบริหารประเทศต่อไป

นายศิวาวุธ กล่าวว่า กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นตรงกันว่า ไม่อาจไว้วางใจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป โดยมีเหตุดังนี้ 1.นโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทย ทำให้ประชาชนต้องพึ่งพารัฐมากเกินไป แทนที่จะยืนอยู่บนขาของตนเอง และนโยบายประชานิยมควรต่อยอดนำไปสู่รูปแบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม 2.การปฏิรูปการศึกษาล่าช้า ไม่มีความคืบหน้า มีเพียงความคงที่และถอยหลังเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพียงแค่มีการปรับหลักสูตรแต่เนื้อหายังไม่ทำให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์ หรือเปลี่ยนแปลงจากวิธีการเรียนแบบท่องจำในอดีต แม้แต่การเปลี่ยนแปลงระบบเอนทรานซ์ไปสู่ระบบแอดมิชชันก็นำไปสู่ข้อโต้เถียงจนมีการะแสข่าวว่านายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ จะปรับไปสู่ระบบการเอนทรานซ์อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ่อยครั้ง

“ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดความมัวหมองในระบบเอนทรานซ์ แม้จะมีการสรุปผลว่าข้อสอบเอนทรานซ์ไม่รั่ว แต่ก็เกิดความมัวหมองขึ้นกับระบบทีไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่สำคัญเกิดขึ้นในขณะที่ท่านเป็นรัฐบาลและเกิดขึ้นในปีที่บุตรสาวของท่านสอบเอนทรานซ์ด้วย” นายศิวาวุธ กล่าว

นายศิวาวุธ กล่าวต่อไปอีกว่า 3.ไม่เป็นแบบอย่างที่แข็งแกร่งในการส่งเสริมประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม สะท้อนจากคำพูดของนายกฯที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย โดยมีการจำกัดเวทีในการแสดงความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล 4.ไม่ให้เกียรติกับระบบรัฐสภา ไม่เชื่อถือในกระบวนการตรวจสอบจากองค์กรอิสระ และพยายามส่งคนของตนเข้าไปครอบครององค์กรอิสระทั้งหลาย นอกจากนี้ เมื่อรัฐสภาตั้งกระทู้ถามในที่ประชุม พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยไปร่วมตอบกระทู้ในสภาแม้แต่ครั้งเดียว ถือเป็นความไม่รับผิดชอบต่อระบบรัฐสภา 5.ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องความประหยัด มัธยัสถ์ และสร้างค่านิยมที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับสังคม เห็นได้จากการส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ใช้จ่ายมากขึ้น หรือเมื่อว่างเว้นจากการทำงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มักจะพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ แทนที่จะเที่ยวอยู่ภายในประเทศไทย นอกจากนี้นายกฯยังพยายามผลักดันให้มีบ่อนการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดจนการนำหวยใต้ดินเข้ามาสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งไม่ใช่ค่านิยมที่ดี

6.ไม่มีภาพของผู้นำทางศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรม จากกรณีการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้นายสุวรรณ วลัยเสถียร ทนายความออกมาแถลงข่าว โดยระบุว่าไม่ได้รับมอบหมายให้มาตอบเรื่องงจริยธรรม แสดงให้เห็นว่านายกฯ ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญทางจริยธรรม ซึ่งประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีผู้นำที่เป็นคนดีและคนเก่งด้วย 7.เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก จนไม่สนใจฟังเสียงของผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งที่การเป็นผู้นำประเทศจำเป็นจะต้องรับฟังความเห็นที่หลากหลายเพื่อนำไปแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกควร แต่ที่ผ่านมาเมื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มักจะตอบโต้ด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม 8.เป็นผู้นำเผด็จการ อำนาจนิยม นิยมใช้อำนาจและความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น การแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นายกฯออกมาพูดว่า โจรกระจอก เป็นต้น 9.มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ของชาติและประชาชน 10.ความจนไม่หมดไป แต่ช่องว่างระหว่างชนชั้นกลับสูงขึ้น 11.เป็นเผด็จการทางรัฐสภา ด้วยการครองเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จ ส่งผลต่อการพิจารณา กฎหมายต่างๆ และทำให้ฝ่ายค้านไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้

“การที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากเกือบ 400 เสียง ทำให้ระบบการตรวจสอบเป็นง่อย ไม่สามารถเปิดสภาได้ จนทำให้มีวันนี้ที่ฝ่ายค้านต้องไปขอเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. รัฐบาลเพื่อเปิดรัฐสภาตามระบบซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะนายกฯ พูดอยู่เสมอว่าขอให้เล่นตามกติกา ดังนั้น จึงควรให้ระบบรัฐสภาได้ทำงาน” นายศิวาวุธ กล่าว

นายศิวาวุธ กล่าวอีกว่า 12.ไม่รักษาสัญญาที่จะเป็น Strong Prime Minister ที่จะเดินหน้าปราบปรามทุจริต คอร์รัปชัน โดยไม่จำเป็นต้องมีใบเสร็จ แต่ที่ผ่านมานายกฯใช้วิธีการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อลดกระแส เห้นได้จากกรณีซีทีเอ็กซ์ มีการปรับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แต่เป็นเพียงปรับเปลี่ยนตำแหน่งมิใช่ปรับออก รัฐบาลชุดนี้จึงเหมือนรัฐบาลเก้าอี้ดนตรี ที่ผลัดกันมาชื่นชมตำแหน่งเท่านั้น 13.การที่รัฐบาลอ้างตัวว่ามาจาก 19 ล้านเสียงตามระบอบประชาธิปไตยโดยไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน เช่น การแก้ปัญหากรณีตากใบ หรือการฆ่าตัดตอน เพื่อปราบปรามยาเสพติด จนสหประชาชาติรายงานสถาการณ์สิทธิมนุษยชนไทยว่าอยู่ในสภาวะน่าหวาดระแวง

“นายกฯ อ้างว่าหากลาออกจากตำแหน่งจะเป็นการทรยศต่อประชาชน กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอเรียกร้องให้ท่านเลิกทรยศต่อประชาชน ด้วยการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมานายกฯได้ทรยศต่อประชาชนไปแล้ว โดยรวมเอา ส.ส.จากพรรคต่างๆ เข้ามาไว้ในพรรคตน เพื่อทำให้การโค่นอำนาจนายกฯ ออกจากตำแหน่งทำได้ยาก ที่สำคัญนายกฯไม่มีสิทธิที่จะให้สิ่งหนึ่งกับคนไทยแล้วเอาสิ่งหนึ่งไปจากคนไทย นั่นคือ เมื่อนายกฯให้เงินกับคนไทย ก็ไม่ได้หมายความว่านายกฯจะเอาเสรีภาพไปจากคนไทยได้ เพราะประชาชนควรได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพ ที่พวกเขาควรได้รับ” นายศิวาวุธ กล่าว

นายศิวาวุธ กล่าวต่อว่า 14.สร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยแบบชี้นำ โดยยึดเอาสภาไปอยู่ในกำมือของตน เพื่อให้ออกกฎหมายให้เป็นไปตามที่ต้องการ เช่น การแก้กฎหมายให้ต่างชาติ เข้าถือครองหุ้นเพียง 2 วันก่อนที่จะเทขายหุ้นให้เทมาเส็ก เป็นต้น

“ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงไม่อาจมอบความไว้วางใจให้กับชายที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ เพราะหากสังคมใดยังยืนอยู่บนความแร้นแค้นก็ไม่สามารถที่จะมีความผาสุกได้ พวกเราขอมอบฉายาให้กับทักษิณ ชินวัตรว่า ซาตานในคราบนักบุญ และขอเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง เพราะปัญหาขณะนี้เกิดจากตัวท่านเพียงคนเดียว หากท่านลาออกปัญหาทุกอย่างก็จะจบลง”

นายศิวาวุธ กล่าวด้วยว่า ได้ติดตามข่าวสารจากทั้งผู้ที่ไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรี เช่น รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และผู้ที่สนับสนุนนายกฯ โดยฟังรายการนายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชนด้วย เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ไม่ใช่การฟังความเห็นด้านเดียวอย่างแน่นอน

กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 26 ก.พ. ด้วยว่า ไม่ขอเข้าร่วมการชุมนุม เนื่องจากต้องเรียนหนังสือและตรงกับวันสอบแอดมิชชั่น แต่หากนักเรียนคนใดจะเข้าร่วมการชุมนุมก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล และเรียกร้องให้การชุมนุมในวันดังกล่าวเป็นไปอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และไม่นองเลือด นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้นักเรียนร่วมกันออกมาแสดงความคิดเห็น และแสดงจุดยืนทางการเมือง เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวและในอนาคตทุกคนก็จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นเยาวชนควรจะออกมาแสดงความคิดเห็นบ้าง

สำหรับความเคลื่อนไหวต่อไป กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย จะขอรอดูสถานการณ์ภายหลังวันที่ 26 ก.พ.ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงกลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตยจะออกมาล่ารายชื่อนักเรียนเพื่อทำเป็นจดหมายเปิดผนึกส่งถึงนายกฯ แม้ว่าจะไม่มีผลทางกฎหมายแต่ก็ถือเป็นการแสดงออกทางความรู้สึก อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 26 ก.พ. กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตยจะหารือร่วมกันเพื่อจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนแสดงคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว รวมถึงจะมีการเปิดเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่กิจกรรมของกลุ่มนักเรียนฯ อย่างกว้างขวางต่อไป และยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนฯไม่มีเบื้องหลังอย่างแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ น.ส.ธิษะณา ชุณะหวัณ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรุ่งอรุณ บุตรสาวนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ว.ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในฐานะกลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตยด้วย โดย น.ส.ธิษะณา กล่าวว่า การออกมาร่วมกับกลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับนายไกรศักดิ์ เป็นการเคลื่อนไหวของตนเอง เนื่องจากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรจะบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป แม้แต่นาทีเดียว ซึ่งตนไม่ได้เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เกลียดการบริหารงานของนายกฯ ทักษิณที่ไม่มีความชอบธรรม

ทั้งนี้ ระหว่างที่กลุ่มนักเรียนฯ แถลงข่าวนั้น ได้มีอาจารย์จากโรงเรียนมัธยมต่างๆ 4 คน ได้มายืนสังเกตการณ์และดูรายชื่อสื่อมวลชนที่มาร่วมแถลงข่าวอยู่บริเวณหน้าห้องแถลงข่าวด้วยท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์หรือยอมรับว่าเป็นอาจารย์แต่อย่างใด


...........

http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,1584101,00.html

The junta also accuses you and your government of corruption.
The allegations are baseless. I asked very detailed questions about projects that went to the Cabinet for approval, and I shot down many of them. In all the previous 17 coups, corruption was one of the excuses. But some juntas ended up being more corrupt. At any rate, corruption will not go away in Thailand—it's in the system.

ไทม์ - คณะรัฐประหารยังกล่าวหาว่าคุณและรัฐบาลของคุณโกงชาติด้วย http://www.fridaycollege.org/index.php?file=forum&obj=forum.view(cat_id=news-n01,id=509)&PHPSESSID=8ae6d9...
       
       ทักษิณ - ข้อกล่าวหาทั้งหมดไม่มีหลักฐาน ผมขอให้มีการสืบสวนโครงการต่างๆ ที่เคยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีโดยละเอียด ในการปฏิวัติที่ผ่านมาทั้ง 17 ครั้ง คอร์รัปชันคือข้อกล่าวหาอย่างหนึ่งที่ถูกอ้างถึงโดยตลอด แต่คณะทหารบางคณะกลับสิ้นสุดลงด้วยการคอร์รัปชันยิ่งกว่าอีก ไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม การคอร์รัปชันจะไม่มีทางหมดไปจากประเทศไทยเพราะมันอยู่ในระบบ






--------------------------------------------------------------------------------
   
แหล่งที่มา ผู้จัดการรายวัน   ฉบับที่ [หน้าที่ ] ประจำวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549


บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 03-05-2007, 12:00 »


http://forum.serithai.net/index.php?topic=12668.msg173271#msg173271

เอาบทความมาแปะครับ



คอร์รัปชั่นจะไม่มีวันหายไปจากประเทศไทย มันอยู่ในเลือดเนื้อของสังคมไทยเอง
โดย กัญจนา สปินเล่อร์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง  มติชนรายวัน  วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10565

ถ้อยคำของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตามหัวเรื่องบทความที่กล่าวต่อผู้คนในโลกผ่านนิตยสาร Time ฉบับล่าสุดเป็นคำกล่าวยอมรับผิด? หรือเป็นเพียงการบอกกล่าวข้อเท็จจริงเท่านั้น?

ในบรรดาถ้อยคำที่อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ปกป้องตนเองผ่านสื่อต่างประเทศในระยะสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมไทยควรต้องใส่ใจกับถ้อยคำข้างต้นนี้เป็นพิเศษ

แม้เราจะถือว่า การที่อดีตนายกรัฐมนตรีนำเรื่องไม่งามของชาติมาบอกเล่าต่อสาธารณชนในโลก จะเป็นการยอมทำให้บ้านเมืองเสียหาย เพียงเพื่อปกป้องตนเองอันเป็นเรื่องน่าอัปยศ แต่เราก็ควรคำนึงถึงสารที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งคือ

"ประเทศไทยบริหารปกครองกันไม่ได้ ถ้าไม่คดโกงฉ้อฉล"


เพื่อไม่ให้ใครลืม เรื่องนี้คือ ประเด็นหลักที่ทำให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และทุกวันนี้ก็เป็นปัญหาท้าทายใหญ่หลวง สำหรับประชาชนคนไทย 64 ล้านคน

ถ้ายอมรับว่าถ้อยคำของคุณทักษิณถูกต้องเป็นจริง ก็เท่ากับยอมรับการพ่ายแพ้ที่จะก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวง ต่อประเทศชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รัก

ถ้ายอมรับว่าถ้อยคำของคุณทักษิณถูกต้องเป็นจริง ก็เท่ากับว่าเราทอดทิ้งระบบนิติรัฐ และครรลองแห่งกฎหมาย อันเป็นลักษณะสำคัญของสังคมอารยะ

ถ้ายอมรับว่าถ้อยคำของคุณทักษิณถูกต้องเป็นจริงก็หมายความว่า เรายอมอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของป่า คือ ยอมให้ผู้มีอำนาจปกครองโดยไร้การทัดทานท้าทายใดๆ

หรือนี่คือประเทศไทยที่เราปรารถนาจะส่งมอบเป็นมรดกให้ลูกหลานไทยในอนาคต?

ผู้เขียนรู้จักคนคนหนึ่งที่จะดื้อดึงคัดค้านไม่ยอมจำนนต่อคุณทักษิณ

คนคนนี้ยอมสละชีวิตหลังเกษียณอายุราชการที่สุขสันโดษด้วยศีลด้วยธรรมกลับมารับใช้ชาติเป็นครั้งสุดท้าย

คนคนนี้ไม่ยอมเชื่อว่าจะขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวงให้พ้นไปจากแผ่นดินไทยไม่ได้

ถ้าดูเผินๆ อาจรู้สึกว่า แนวทางการปฏิบัติของคนคนนี้ เป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้จริง เพราะงานของเขามีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการคือ

ต้องปฏิรูปการเมืองให้สำเร็จ นำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จัดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และมีเสร็จก่อนสิ้นปีนี้

ฟื้นคืนความรักสามัคคีในชาติ รักษาบาดแผลปริแตกทางสังคมที่เกิดจากความแตกแยกทางการเมืองที่คุณทักษิณสร้างขึ้น สถาปนาความยุติธรรมและความสมานฉันท์ระหว่างผู้คนพุทธและมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจเพื่อลดช่องว่างทางรายได้อันมหาศาลระหว่างคนในเมืองกับคนในชนบท

สถาปนาระบอบนิติรัฐด้วยการขจัดมะเร็งร้ายแห่งการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกาะกินทุกภาคส่วนในสังคมไทยให้สิ้นไป เพื่อช่วยให้เกิดความยุติธรรมที่เสนอหน้ากันสำหรับทุกคนในสังคมไทย

เป้าหมายแต่ละข้อก็ยากเข็ญอยู่แล้ว แต่คนคนนี้เข้าใจดีว่าเป้าหมายทั้ง 4 ข้อล้วนเกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน เขายังเข้าใจด้วยว่าข้อ 4 คือ การสถาปนาระบบนิติรัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดซึ่งจะทำให้ภารกิจอื่นๆ เกิดขึ้นได้จริง หากพลเมืองของเราไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างเสมอหน้ากัน เป้าหมายอื่นๆ ก็เป็นอันหมดความหมาย

แต่เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ถ้าเราเขียนรัฐธรรมนูญที่เลิศวิจิตรมาได้ ถ้าเรารับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้จริง ถ้าเราถอนรากการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เผาไหม้สังคมไทยตั้งแต่คุณทักษิณครองอำนาจจนสำเร็จ ถ้าเราปฏิรูประบบการบริหารงานยุติธรรม และกิจการตำรวจจนเป็นผล ทั้งหมดนี้จะร่วมกันสรรค์สร้าง ระบบนิติรัฐขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ?

น่าเสียดายที่คำตอบคือ "ไม่ใช่ และไม่ได้ เพราะทั้งหมดนี้ยังไม่พอ" รัฐบาลไม่สามารถบัญชาให้เกิดระบบนิติรัฐขึ้นมาได้ โดยไม่ได้รับความเห็นพ้อง และร่วมจิตร่วมใจจากพลเมืองส่วนใหญ่ในประเทศ เราทุกคนต้องตัดสินใจ เราทุกคนต้องปฏิเสธการฉ้อราษฎร์บังหลวง

เรามีเวลา 8 เดือนที่จะตัดสินใจเลือก และไม่มีทางลัดใดๆ ด้วย ก็เช่นเดียวกับที่สันติภาพที่แท้จริง ไม่อาจก่อกำเนิดขึ้นได้ด้วยการใช้วิธีการรุนแรง ระบบนิติรัฐก็ไม่อาจสถาปนาขึ้นมาได้โดยไม่ใส่ใจกับกฎหมาย

แม้ผู้คนจำนวนมากจะอยากเห็นการสอบสวนคดีทุจริตฉ้อฉลสรุปความ ตั้งข้อหาและตัดสินคดีอย่างเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ แต่ทุกสิ่งต้องดำเนินไปตามครรลองของกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่า รัฐบาลนี้ก็ดำเนินรอยตามรัฐบาลทักษิณนั่นเอง

สุภาพบุรุษนายทหารคนนี้ของเราเข้าใจเรื่องนี้ดี แม้แต่เขาเองก็มีความอดทนจำกัด ในระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ทุกอย่างก้าวไปช้ามาก ทั้งหมดนี้น่าจะเร่งร้อนเร็วขึ้นในเวลาข้างหน้า

คลื่นแห่งการปฏิรูปที่ให้น้ำหนักกับการสร้างความเข้มแข็งต่อระบบนิติรัฐน่าจะปรากฏขึ้นเร็วๆ นี้ น่าจะมีรายการเสนอทางเลือก ต่อสาธารณชนครั้งใหญ่ให้เราทุกคนมีโอกาสตัดสินใจในฐานะประชาชาติเดียวกัน

และศาลของเราคงชี้ชัดให้คนทั้งชาติให้รู้เห็นกันว่า ที่แล้วมาคุณทักษิณได้พูดความจริงหรือความเท็จ

หน้า 6

บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 04-05-2007, 03:40 »


ผมมีทัศนคติโดยสุจริตว่า

การตัดสินพิพากษาตามตัวบทกฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมในการผดุงความยุติธรรม

เสริมสร้างความเจริญ ทันยุคทันสมัยแก่สังคม ก็ไม่ต่างจากเครื่องจักรโบราณที่คนพากันหลงเคารพกราบไหว้ และเป็นการทรยศต่อคำสัตย์ปฏิญาณต่างๆของบุคคลผู้นั้นด้วย

                                                                                                                                                                                                       
บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 04-05-2007, 03:46 »

เห็นด้วยกับคุณ Q ครับ เราควรช่วยกันสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการรเมืองใหม่สำหรับเมืองไทยครับ
ทำอย่างไรจะสร้างระบบความยุติธรรมทางการเมือง และทางสังคมให้เกิดขึ้นอย่างที่คุณว่าได้..........
ผมเองกำลังศึกษาเรื่อง Governnance Innovationเพื่อปรับประยุกต์ใช้กับการเมืองไทยในอนาคต
เผื่อจะหาทางออก หรือแก้ปัญหานำไปสู่การปฏิรูปได้ชัดเจน  ถูกต้อง รวดเร็ว มีประจักษ์พยานทั้งบุคคล เอกสาร
 (รวมถึงการใช้ระบบITใหม่ๆเข้ามาใช้)ในกรณีมีการทำผิดทางการเมืองครับโดยเฉพาะการลงโทษคนผิด คุ้มครองคนไม่ผิด
และ ผมเห็นด้วยที่ รธน.มีบทบัญญัติ กรณีที่นักการเมือง หรือรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ทำผิดแล้วไม่กำหนดอายุความ



ขอบคุณครับ

ผมมีความเชื่อว่าประเทศไทยเราต้องการคน กล้าคิด กล้าทำ ทันยุคสมัย ไม่นิ่งเฉยดูดายอย่างคุณอีกเป็นจำนวนมากครับ

ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาคนหมู่มากที่ต้องจมอยู่ในปัญหา วงจรอุบาว์ โง่ จน เจ็บ  ให้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ด้วยตนเอง

                                                                                                                                                        
บันทึกการเข้า

login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #16 เมื่อ: 04-05-2007, 08:38 »

การไม่กำหนดอายุความเป็นผลดีในแง่ที่สามารถจับตัวคนผิดมาลงโทษตอนไหนก็ได้
รอจนผู้มีอำนาจเสื่อมอำนาจแล้วมาติดคุกตอนแก่ก็เป็นบทลงโทษที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
แต่ข้อเสียก็มีครับ การที่เวลาผ่านไป ทำให้หลักฐาน พยาน หายไปตามกาลเวลาด้วย
หากจับตัวมาดำเนินคดีทั้งที่หลักฐานอ่อนเกินไป กลับจะกลายเป็นการซักฟอกให้พ้นผิด
และเมื่อคำนึงถึงนิสัยคนไทยหากไม่มีไฟมาลนก้นซักหน่อย ใช้คำว่าตอนไหนก็ได้
ก็จะกลายเป็นเหลาะแหละจนเสียงาน

โทษอีกอย่างหนึ่งที่อยากให้เพิ่มเข้าไปคือ
ยึดทรัพย์บุคคลที่ได้รับผลประโยชน์จากการประพฤติมิชอบ
เพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย และป้องกันการถ่ายโอนทรัพย์สิน

แนวคิดเรื่องนี้น่าสนใจ แต่ต้องระมัดระวังในการบัญญัติและการบังคับใช้ครับ
บันทึกการเข้า
เซอร์เวย์
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 168



« ตอบ #17 เมื่อ: 04-05-2007, 14:02 »

อยากได้กฎหมายของจีนในหัวข้อ ความผิดของการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเจ้าหน้าที่รัฐ  ปีๆนึงจีนยิงเป้าข้าราชการเยอะที่สุดในโลก
บันทึกการเข้า

หัวใจถูกแทงกี่ขั้ว ตามตัวถูกฟันกี่แผล
ปู่ไทยตายไปกี่คนแน่ ไทยจึงได้แผ่มาถึงแหลมทอง
กระดูกไทยกระเด็นไปกี่ท่อน เชิงตะกอนเผาไปกี่หน
คอขาดกันไปกี่คน ไทยทุกคนจึงได้ไทยครอบครอง
เสียเลือดกันไปเท่าไหร่ เสียใจกันไปกี่ครั้ง
น้ำตาของไทยไหลหลั่ง ทุกๆครั้งที่ถูกเฉือนขวานทอง
เข่นฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง
ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง
วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจั***
ไทยฆ่าไทยให้ชาติอื่นครอง
วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจั***
วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจั***
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 06-06-2007, 08:09 »



เปิดคำวินิจฉัยส่วนตัว3ตุลาการรัฐธรรมนูญ

5 มิถุนายน พ.ศ. 2550 19:37:00
 
ศาลปค.เปิดคำวินิจฉัยส่วนตัว3ตุลาการรัฐธรรมนูญ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลรัฐธรรมนูญว่า ในช่วงบ่ายตุลาการรัฐธรรมนูญ นัดตัวแทนพรรคการเมืองทั้ง 5 พรรค ประกอบด้วย พรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า มารับคำวินิจฉัยส่วนตน ของตุลาการฯ ทั้ง 9 ในคดียุบพรรค ทั้งนี้มีเพียงตัวแทนจากพรรคไทยรักไทย นำโดยนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความผู้รับมอบอำนาจ มารับคำวินิจฉัยส่วนตนเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนนั้น สำนักงานเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า ในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ จะให้เฉพาะคู่ความเท่านั้น ส่วนการเผยแพร่ จะต้องรอให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเสียก่อน หรือไม่เช่นนั้นจะต้องขออนุญาตจากตุลาการเป็นการส่วนตัวเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่มาจากสายศาลปกครองสูงสุดนั้น เว็บไซต์ของศาลปกครองสูงสุด www.admincourt.go.th <http://www.admincourt.go.th/> ได้ตีพิมพ์คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการฯทั้ง 3 คน ประกอบด้วย นายอักขราทร จุฬารัตน นายจรัญ หัตถกรรม และนายวิชัย ชื่นชมพูนุท ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นตุลาการเสียงข้างมาก ที่เห็นควรให้ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ และให้ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย อีกทั้งเป็นเสียงข้างมากที่ระบุว่าคำสั่งคปค.ฉบับที่ 27 ข้อ 3 ที่ให้ตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ของกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกสั่งยุบพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเหตุผลของนายอักขราทร ที่เห็นว่าประกาศคปค.ฉบับที่ 27 สามารถมีผลบังคับใช้กับกรรมการบริหารพรรคที่ถูกสั่งยุบพรรคทั้ง 4 ระบุว่า จากการวินิจฉัยข้อเท็จจริงทั้งหมดเห็นควรว่ายุบพรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย และยังควรพิจารณาคำแก้ต่างว่าประกาศคปค.ไม่มีผลย้อนหลัง โดยพิจารณาว่า หลักของกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังเกิดจากคำกล่าวที่ว่า ตั้งแต่สุภาษิตลาติน Nullum crimen sine lege ไม่มีการกระทำความผิดหากไม่มีกฎหมายกำหนดและ Nulla poena sine lege บุคคลจะไม่ต้องรับโทษหากไม่มีกฎหมายกำหนดไว้หลักกฎหมายดังกล่าวมิใช่เป็นหลักกฎหมายที่เป็นหลักเด็ดขาดแต่อย่างใด แม้จะมีขึ้นเพื่อให้มีการป้องกันสิทธิเสรีภาพต่อเอกชน แต่ในระยะเวลาต่อมา จนถึงปัจจุบันแนวคิดในทางกฎหมายเห็นว่า สังคมต้องมีการพัฒนาและกฎหมายที่ได้ตราขึ้นใหม่ ย่อมเป็นที่เข้าใจและยอมรับว่าเป็นกฎหมายที่ต้องดีกว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เดิม เป็นธรรมต่อสังคม และเหมาะสมกว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ดังนั้น จึงควรให้กฎหมายที่ได้ตราขึ้นใหม่มีผลใช้บังคับได้ทันที

นายอักขราทร ยังระบุอีกว่า การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งย่อมไม่ใช่โทษในทางอาญาอย่างแน่นอน หากแต่เป็นเพียงมาตรการทางกฎหมายที่เกิดจากผลของกฎหมาย ที่ให้อำนาจในการยุบพรรคการเมือง ที่กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 66 เพื่อมิให้กรรมการบริหารพรรคดังกล่าวไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้มีโอกาสกระทำความเสียหายขึ้นอีกชั่วระยะ เวลาหนึ่งอันเป็นมาตรการที่เหมาะสมแก่การคุ้มครองประโยชน์ของความสงบสุข เพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้

ด้านนายวิชัย ให้เหตุผลว่า ประกาศคปค.ฉบับที่ 27 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบเป็นเวลา 5 ปี นับ แต่มีคำสั่งยุบพรรคนั้นไม่เปิดโอกาสให้แปลความเป็นอย่างอื่น จึงต้องสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมาย ส่วนที่อ้างว่าการใช้กฎหมายให้มีผลย้อนหลังขัดกับหลักกฎหมายอาญาทั่วไปหรือขัดต่อประเพณีการปกครอง ข้ออ้างดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้นบังคับแก่กรณีใดให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว ปี 2549 มาตรา 36 บัญญัติไว้โดยแจ้งชัดว่าประกาศคปค.ทุกฉบับชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่ามีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณี ประกาศคปค.โดยชัดแจ้งจึงไม่มีเหตุจะต้องนำประเพณีการปกครองมาใช้บังคับแทนอีก

นายวิชัย ระบุอีกว่า เมื่อประกาศคปค.ฉบับที่ 27 ข้อ 3 เป็นกฎหมายชอบด้วยรัฐธรรมนูญและบัญญัติให้มีผลใช้กับการกระทำใดๆที่นำไปสู่การยุบพรรคการเมืองย้อนหลังได้ ทั้งนี้สภาพการบังคับการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ใช่โทษในทางคดีอาญา ซึ่งจะนำกฎหมายทั่วไปในความผิดอาญามาบังคับใช้ไม่ได้ คณะตุลาการฯจึงต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคตามกฎหมาย

ด้านนายจรัญ ระบุว่า การลงโทษทางอาญามีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการตอบแทนต่อการกระทำผิดเรื่องการแก้แค้น ทดแทน และเป็นการป้องกันสังคมได้แก่ การปราบปรามซึ่งเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยทั่วไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าสังคมไม่ยอมให้มีการกระทำผิดเช่นนั้นเกิดขึ้น และเป็นการป้องกันมิให้ผู้นั้นกระทำผิดได้อีกตลอดไป หรือเป็นการชั่วคราว และเป็นการดัดนิสัยให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป ดังนั้น มาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ระบุการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดจึงมีการกำหนดไว้เช่น การประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และยึดทรัพย์ เป็นต้น

ส่วนการจำกัดสิทธิเสรีภาพในทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้มิได้มีเจตนาเหมือนกับการลงโทษทางอาญา แต่มีเจตนาเพื่อเป็นการปกป้องและคุ้มครองในระบอบประชาธิปไตย ตามมาตรา 63 ที่ให้บรรลุผลโดยกำหนดมาตราการบังคับทางกฎหมายด้วยการจำกัดสิทธิทางการเมืองที่สำคัญ ดังนั้นจะเป็นได้จากบทบัญญัติในมาตรา 69 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่พรรคการเมืองที่ต้องยุบไป เพราะไม่ดำเนินการตามมาตรา 35 หรือ 62 หรือการกระทำตามมาตรา 66 ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ต้องยุบไปจะขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ตามาตรา 8 อีกไม่ได้ ภายในกำหนด 5 ปี ซึ่งมิใช่เป็นการลงโทษอาญาแก่บุคคล และมิใช่เป็นการปฎิบัติต่อบุคคลเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญา

ดังนั้นจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าการจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง เป็นการปฎิบัติต่อบุคคลเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญา หลักในเรื่องกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังทางอาญา จึงไม่อาจจะนำมาใช้บังคับกับกรณีนี้ได้ ในคำวินิจฉัยของนายจรัญ ยังได้มีการเปรียบเทียบการตัดสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองในระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยได้มีการยกข้อกฎหมายมาประกอบและชี้ให้เห็นในหลายประเด็น โดยเฉพาะมาตราฐานในการจำกัดสิทธิทางการเมืองของ ส.ส.ที่ถือเป็นนักการเมืองระดับชาติ ถือว่าเป็นการระทำผิดรุนแรงกว่าสมาชิกสภาพท้องถิ่น ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นมาตราฐานในการจำกัดสิทธิทางการเมือง ส.ส.จะต้องมีมาตราฐานสูงกว่าสมาชิกองค์กรปกครองท้องถิ่น เพราะหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค จะเป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ อีกทั้งการจำกัดสิทธิ์และเสรีภาพทางการเมือง ไม่ใช่โทษทางอาญา จึงมีเหตุผลและความจำเป็นในการบังคับใช้กับหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญปี 40 ประกอบกับมาตรา 66 และมาตรา 27 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง
 
 
บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-06-2007, 15:13 »





หากมีกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่ทันกาล ทันเกม นักการเมือง ข้าราชการและนายทุน และสามารถบังคับใช้ มีการลงโทษที่เหมาะสม

จะสามารถป้องกันการคอร์รัปชันและความยากจนของประเทศและประชาชนทั่วไปได้..ทั้งนี้เพราะจะไม่ใครกระตือรือร้นในการทำงาน กากโกงได้

เพราะการโกงทั้ง่ายกว่าและเร้าใจกว่าในความคิดของพวกเขาและคนส่วนใหญ่ที่ยังก้าวไม่ถึง ความพอเพียง
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: