3 ขั้นของการแก้ปัญหาความยากจน http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2006q4/2006october27p2.htmโดย เสรี พงศ์พิศ
www.phongphit.com สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน มติชนรายวัน วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10457
ขั้นที่ 1 "รอด" (survive)
รอดจากความทุกข์ยากอันเนื่องมาจากปัญหาสารพัด โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจเป็นวงจรอุบาทว์ที่หาทางออกไม่ได้ โดยเฉพาะหนี้สินซึ่งไม่ใช่หนี้สินธรรมดา แต่เป็นหนี้เน่า หนี้ที่หาทางแก้ไขไม่ได้ นอกจากจะขายทุกอย่างแล้วไปตายเอาดาบหน้า พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง อย่างที่เกิดขึ้นในชนบทไทยวันนี้
"รอด" เป็นฐานคิดที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่วันนี้ที่เน้นกันที่ "รวย" คำสัญญาที่ใครๆ ให้กับชาวบ้านมานานหลายสิบปี เอาตั้งแต่สองพันห้าร้อยสี่ ที่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมก็ได้ เมื่อรัฐไปยุ่งกับชีวิตชาวบ้านด้วยการพัฒนาสมัยใหม่ ผู้คนต้องทำงานแบบที่รัฐบอก กรอกหูอยู่ทุกวันว่า "งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข" ถ้ามีเงินชีวิตก็จะดีขึ้นเพราะ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ"
ชีวิตผู้คนส่วนใหญ่วันนี้อยู่ในสภาพเรือแตก เหมือนสำเภาที่กำลังจะไปยัง "สุวรรณภูมิ" ใน "พระมหาชนก" คน 700 คนในนั้นได้แต่อ้อนวอนเทวดา สุดท้ายตายหมด มีแต่พระมหาชนกที่รอดมาได้ เพราะพระองค์ทรงหาทางช่วยตัวเอง แล้วว่ายน้ำไปเรื่อยๆ แม้ไม่เห็นฝั่งก็ยังว่ายต่อไปด้วย "ความเพียงอันบริสุทธิ์" ซึ่งก่อให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ นั่นคือการรอดพ้นจากการจมน้ำตาย
สิบปีเศษมาแล้ว ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข้มเฉลิมร่วมกับพระภิกษุจำนวนหนึ่งออกเดินธรรมยาตราในป่ารอยต่อห้าจังหวัด เริ่มจากสนามชัยเขต ฉะเชิงเทรา วันหนึ่งหลงทาง ตกเย็นไปโผล่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ถามใครก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นบ้าอะไร เพราะเมากันทั้งบ้าน
นายเลี่ยม บุตรจันทา ผู้นำคนหนึ่งของหมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่า "นาอีสาน" เล่าว่าชาวบ้านส่วนใหญ่มาจากอีสานห้าหกปีก่อนหน้านั้น มาด้วยความหวังว่าจะพบชีวิตที่ดีกว่าเดิม โดยได้ขายไร่ขายนาเพื่อใช้หนี้ใช้สินกันคนละเป็นแสน อพยพมาอยู่ที่ใหม่นี้ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าชีวิตต้องดีขึ้น เพราะดินก็ดี น้ำก็ดี ที่ก็กว้างขวาง
แต่เพราะคิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม จึงเป็นหนี้และจนเหมือนเดิม แตกต่างจากเดิมก็เพียงแต่ไม่ได้ปลูกมันสำปะหลัง แต่ปลูกข้าวโพด รอให้มันแก่แล้วหักไปขาย เอาเงินไปซื้อทุกอย่างซึ่งก็ไม่พอกินพอใช้ จนเกิดวงจรอุบาทว์ เป็นหนี้คนละเป็นแสนเหมือนเดิม กินเหล้า เล่นการพนัน ประชดชีวิตบัดซบกับความจนซ้ำซาก
วันหนึ่งผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม ให้ครูไปเชิญผู้นำชุมชนบ้านนาอีสานไปร่วมสัมมนาที่บ้านนายเลี่ยมเล่าว่า เขาไปโดยไม่รีรอ คิดแต่เพียงว่าจะไปกินเหล้ากับครูนอกบ้าน เพราะกินที่บ้านไม่สะดวก เมากลับบ้านทีไร เมียแกมักจะให้นอนที่กระได ไม่ให้เข้าบ้านเข้ามุ้ง
แต่ไปสัมมนาจริงๆ กลับไม่ได้กินเหล้าได้ "วิชา" กลับมา วันนี้นายเลี่ยมและชาวบ้านนาอีสานมักเรียกผู้ใหญ่วิบูลย์ว่า "พระฤๅษี" เพราะเป็นผู้ประสาทวิชาให้ วิชาแรกที่ได้รับจากพระอาจารย์คือ การทำบัญชีรายจ่ายครัวเรือนหรือที่แปรมาเป็น "จดแล้วไม่จน" วันนี้
นายเลี่ยมกลับไปด้วยความมั่นใจว่าได้เครื่องมือแก้จน ลงมือจดบันทึกรายจ่ายอย่างเดียวขอให้ภรรยาและลูกทำเช่นเดียวกัน นายเลี่ยมพบว่า อะไรที่เลวๆ เป็นรายจ่ายของตนเองหมดไม่ว่าเหล้า หวย ตีไก่ การพนันและอบายมุข ส่วนภรรยาก็ซื้อทุกอย่างเพื่อกินเพื่อใช้ไม่ปลูกไม่เลี้ยงไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ดินก็มี น้ำก็มี เวลาก็มี แต่ไม่ทำ ลูกก็ขอเงินไปโรงเรียนทุกวัน
ทำบัญชีรายจ่ายได้สิบวัน ครอบครัวนายเลี่ยมใช้เงินไปสี่พันกว่าบาทโดยที่รายได้ไม่มีแม้แต่บาทเดียว นายเลี่ยมจึงเข้าใจว่า ทำไมตนเองจึงเป็นหนี้ ทำไมจึงจน ทำไมชีวิตจึงหาทางออกไม่เจอสรุปเรื่องยาวให้สั้นเข้า นายเลี่ยมกับครอบครัวตัดสินใจปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต จัดระเบียบชีวิตของตนเองใหม่ ไม่ให้ใครมาจัดให้ ไม่ปล่อยไปตามบุญตามกรรมอีกต่อไป เขาลุกขึ้นมา "ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก" ทำ "สวนออนซอน" ที่ใครไปดูต้องรู้สึก "ออนซอน" ไปด้วยทำไปไม่นานก็พบว่ามีกินมีใช้ มีเงินเหลือเก็บ และเริ่มใช้หนี้ซึ่งเคยเน่าก่อนหน้านั้น ชีวิตเริ่มเปลี่ยนเพราะ "วิชา" ของพระฤๅษี วิชาที่สร้างปัญญา ปัญญาที่แก้ปัญหาความยากจนวันนี้บ้านนาอีสานไม่ได้ "เมาทั้งบ้าน" อีกต่อไป กลายเป็น "พัฒนาทั้งบ้าน" เป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่ผู้คน "รอด" ได้รอดจากการจมปลักอยู่กับกองทุกข์ กองหนี้สิน ชีวิตที่เหมือนขยะที่ล่องลอยไปตามน้ำอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
พวกเขาลุกขึ้นมาจัดการชีวิตของตนเองใหม่ ไม่มีระบบและระเบียบแบบที่ทำให้รอดไม่ใช่มุ่งให้รวย ระเบียบชีวิตใหม่มาจาก "ข้างใน" หรือ "ระเบิดจากข้างใน" อย่างที่ในหลวงทรงสอน มาจาก "การเรียนรู้" ซึ่งถ้าเรียนรู้จริงก็จะมีการเปลี่ยนแปลงจากภายในไม่ใช่ยัดเยียดให้จากภายนอก
มาจาก "ชุมชน" ที่ร่วมกันจัดการชีวิต จัดการเศรษฐกิจ จัดการหนี้สิน จัดการดิน น้ำ ป่า ข้าวปลาอาหาร การออม การผลิต การบริโภค การลงทุน สุขภาพ สิ่งแวดล้อม
ขั้นที่ 2 "พอเพียง" (sufficient)
ปัญหาของชาวบ้านวันนี้ไม่ใช่ไม่มีเงิน เพราะความจริงเงินไม่ได้ขาด หาได้เสมอ หนี้สินถึงได้มากมาย ปัญหาใหญ่ของชาวบ้านวันนี้คือ ไม่รู้จะไปทางไหนมากกว่า ใครก็ตามที่รู้และมั่นใจในทางที่จะไป ก็ไปถึงจุดหมายได้ อย่างบ้านนาอีสานและอีกมากมายหลายหมู่บ้านวันนี้ที่ "รอด" ได้ เพราะเลิกฝันที่จะ"รวย" ขอแต่ให้อยู่อย่างพอเพียงก็พอ
ในสังคมวันนี้เราหาตัวอย่างหรือมาตรฐานของความพอเพียงไม่ค่อยได้ เพราะเป็นสังคมทุนนิยม สังคมบ้าบริโภคที่กระตุ้นให้คนบริโภคเกินพอดีตลอดเวลา เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ เราจึงต้องกลับ "คืนสู่รากเหง้า" (back to the roots) เพื่อจะได้ค้นหา "ตัวแบบ" ของความพอเพียงและหาทางสืบทอดอย่างเหมาะสม
การคืนสู่รากเหง้า ไม่ใช่กลับไปหาอดีตเพื่ออยู่กับอดีต แต่เชื่อมอดีตกับปัจจุบันเพื่อสานอนาคต
ขั้นที่ 3 "ยั่งยืน" (sustainable)
ปัญหาต่างๆ แก้ไขได้แต่ไม่ค่อยยั่งยืน เพราะมักเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เหมือนกวาดขยะไว้ไต้พรม ไปกู้หนี้มาใช้หนี้ เอากองนี้ไปกลบกองโน้นเวียนไปเวียนมาเป็นวงจรอุบาทว์น้ำที่วนไปวนมาที่เดิมจึงเป็นน้ำเน่า
การทำมาหากินจึงล้มลุกคลุกคลาน กำไรหนึ่งปี ขาดทุนสามปี ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ผล เพราะมักจะแห่ทำตามๆ กัน คนสองคนทำแล้วรวย ทั้งหมู่บ้านทั้งตำบลก็ทำตามเป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนไม่รู้จะทำอะไรในชุมชน มีบางคนออกไปทำงานในเมืองในกรุงเทพฯ ต่างถิ่นต่างที่แล้วรวย คนอื่นก็ออกไปเผชิญชะตากรรมบ้าง เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่มีใครรู้ หมู่บ้านหลายแห่งจึงแทบจะร้างเหลือแต่คนแก่กับเด็ก
ยั่งยืนหมายถึงอยู่ได้อย่างมั่นคง มีหลักประกันว่าจะไม่ล้มลุกคลุกคลาน หรือกลับไปอยู่ในสถานการณ์เดิมๆ อีกซึ่งต้องมั่นคงในทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน เครือข่าย ไปจนถึงสังคมใหญ่โดยรวม
ยั่งยืนหมายถึงการมีระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งตนเองของชุมชนและเครือข่าย สามารถจัดการการกินการอยู่ได้อย่างพอเพียง จัดการทรัพยากร ทุนในท้องถิ่น จัดการการผลิตการบริโภคตอบสนองปัญหา และความต้องการของท้องถิ่นได้ เมื่ออยู่รอดได้อย่างมั่นคงแล้วคิดจะค้าขายก็ไม่เสี่ยง เพราะมีฐานเศรษฐกิจที่ดี มีหลักประกัน มีระบบสวัสดิการและความมั่นคงให้ตนเองแล้ว
ยั่งยืนหมายถึงการมีระบบและโครงสร้างที่มีหลักประกันสิทธิเท่าเทียมกันของผู้คน เท่าเทียมกันทางกฎหมาย เท่าเทียมกันทางโอกาส การเข้าถึงทรัพยากร การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารความรู้ การเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาตนเอง
ยั่งยืนหมายถึงการมีระบบโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจที่มั่นคง สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในยุคโลกาภิวัตน์โลกแห่งการแข่งขันที่รุนแรง โลกที่กระแสหลักคือทุนนิยม โลกที่ประเทศต่างๆ ถูกผลักเข้าสู่ระบบเสรีทางการค้า ถูกบังคับให้เปิดประชุมสู่การแข่งขันที่อ้างว่าเสรี แต่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งประเทศเข้มแข็งทางเศรษฐกิจทั้งหลาย ล้วนได้เปรียบประเทศเล็กๆ ที่กำลังพัฒนา
พอเพียงคืออยู่พอดี กินพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่โลภมากไม่เบียดเบียนคนอื่นไม่เบียดเบียนธรรมชาติ มีคุณธรรมนำการทำมาหากินและการอยู่ร่วมกันมี "ความสุขตามอัตภาพ"
ปัญหาสังคมวันนี้ คือมีความต้องการมากเกินความจำเป็น แต่ทรัพยากรมีจำกัด บางคนจึงมีมากเกินไป บางคนมีน้อยเกินไป ที่เลวร้ายคือคนที่มีมากเกินไปเป็นคนส่วนน้อย คนที่มีน้อยเกินไปเป็นคนส่วนมากจึงเกิดปัญหาความขัดแย้งในสังคม
พอเพียงจึงไม่ใช่เรื่องของปัจเจก หรือเรื่องของครอบครัวหรือแม้กระทั่งชุมชนอย่างเดียวพอเพียงเป็นเรื่องของการจัดระเบียบสังคม ให้มีระบบและโครงสร้างที่พอเพียง มีคุณธรรม ยุติธรรมกับทุกคน ไม่ปล่อยให้คนบางคนบางกลุ่มเอาเปรียบคนอื่น ร่ำรวยอยู่บนความทุกข์ยากของคนอื่น
พอเพียงคือการสืบทอดระบบคุณค่าดั้งเดิมที่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษได้สร้างสมและถ่ายทอดสืบทอดมาให้เราลูกหลานวันนี้ ระบบโครงสร้างสังคมวันนี้ อันมีกฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญไม่ค่อยคำนึงถึงระเบียบชีวิตดั้งเดิม ระบบคุณค่าต่างๆ ในวิถีชุมชนไม่ได้ลงไป "ค้นหา" และนำมาประยุกต์ให้เป็นรากฐานมั่นคงของสังคมวันนี้
กฎหมายต่างๆ ที่ออกมาก็มาจากข้าราชการ นักการเมือง เข็นออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการแผนงานของตนเองเป็นหลัก ลอกมาจากฝรั่งต่างชาติบ้าง นึกคิดเอาเองบ้าง ไม่ได้มาจากการ "ค้นหา" ในความเป็นจริงของสังคมในระบบคุณค่าระเบียบชีวิต สิ่งดีๆ ในวิถีของชุมชน
แม้ว่ารัฐสภาจะไม่สนใจหรือไม่ทำ หรือทำไม่ได้ แต่ระดับท้องถิ่นอย่าง อบต.เทศบาล อบจ.ก็น่าจะทำได้ หมายถึงการออกข้อบัญญัติ หรือกฎระเบียบการบริหารจัดการท้องถิ่นบนฐานความรู้ภูมิปัญญา ระบบคุณค่าและวิถีดั้งเดิมของชุมชนโดยไม่จำเป็นต้องกลับไปหาอดีตเพื่ออยู่แบบโบราณ แต่เพื่อสืบทอดคุณค่าให้เหมาะสมกับยุคสมัย
ดูแต่การจัดการน้ำอย่างระบบเหมือนฝายในภาคเหนือ นักวิชาการฝรั่งอ้างอิงเป็นตัวอย่างของมรดกภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ของคนเหนือ ที่รู้จักจัดการน้ำอย่างยุติธรรม คนอยู่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำได้น้ำใช้อย่างพอเพียง ไม่ทะเลาะกันเพราะแบ่งปันน้ำ ไม่ลงตัว ในเมื่อทุกคนอยู่ร่วมกันร่วม "ผี" เดียวกัน ร่วม "ที่" เดียวกัน ย่อมเป็นพี่เป็นน้องกัน ย่อมแบ่งปันกันอย่างพี่อย่างน้อยได้
ความพอเพียงจึงรวมถึงระบบการจัดการทุนท้องถิ่น ทุนทรัพยากร ทุนความรู้และปัญญาทุนทางสังคม โดยเฉพาะทุนที่สามนี้ที่ทำให้ชุมชนอยู่ร่วมกันได้เพราะมีความไว้ใจกันมี "ผี" มี "ขวัญ" เป็นเครื่องร้อยรัด ให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ "ผี" อันหมายถึงระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆ ทุนทางสังคมจึงแสดงออกทาง "น้ำใจ" อันเปรียบเหมือนน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความจริง 3 ขั้นที่กล่าวมานี้ไม่ได้แยกจากกันเหมือนขั้นบันได แต่เป็นเหมือนสามเหลี่ยมที่มีสามมุม ทั้งสามมุมสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวเพราะถ้าไม่มีมุมหนึ่งก็ไม่เป็นสามเหลี่ยมทำนองเดียวกัน "รอด-พอเพียง-ยั่งยืน" เป็นสามมุมของความเป็นจริงเดียว ซึ่งแต่ละคนในสังคมไทยวันนี้กำลังเผชิญ และกำลังร่วมกันหาทางพัฒนาให้เกิด
ปัจจัยสำคัญของการพัฒนา "สามมุม" ของสามเหลี่ยมอันเป็น "ฐานชีวิต" หรือ "ปิระมิดชีวิต" (Pyramid of Life) มีอยู่สองประการสำคัญ คือ การเรียนรู้และการจัดการการเรียนรู้ทำให้เกิดความรู้และปัญญา การจัดการทำให้เกิดระบบ
เงินและอำนาจเป็นปัจจัยรองเอามานำหน้าเมื่อไรจะทำให้การพัฒนาเหลือแต่ความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา หรือลดค่าลงมาเหลือแค่ "กิน-กาม-เกียรติ" เท่านั้น
เพราะขาดการเรียนรู้และการจัดการ ดิน น้ำ ป่า จึงได้หมดไป เงินที่เคยมีก็หมดไปเหลือแต่หนี้สิน วันนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับการพัฒนายั่งยืนนอกจากการเรียนรู้ คนที่เข้าใจประเด็นนี้มีอยู่สองประเภท
ประเภทที่หนึ่ง รู้ดี มีอำนาจและมีเงิน รู้ว่าการเรียนรู้ทำให้เกิดปัญญา และการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ก็จะให้ความสำคัญกับการศึกษาไม่มากนัก ละเลยการเรียนรู้ของผู้คน เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ "ประชานิยม" คือเอาใจชาวบ้านเพื่อตนเองจะได้รับความนิยม คนเหล่านี้ปากก็บอกว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประชาชนสำคัญสูงสุด แต่การกระทำกลับไปครอบงำด้วยระบบอุปถัมภ์ที่แยบยลจนชาวบ้านไม่อาจหลุดพ้นเป็นอิสระได้
ประเภทที่สอง รู้ดีแต่ไม่มีอำนาจไม่มีเงิน ทำด้วยใจ ในขอบเขตที่เล็กๆ กับคนกลุ่มเล็กๆ ชุมชนและเครือข่ายในขอบเขตจำกัด คนกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการอำนาจและเงิน ต้องการเพียงความเข้าใจและการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ ต้องการระบบโครงสร้างที่เอื้อต่อการทำงานเพื่อการเรียนรู้และการจัดการตนเองของคนยากคนจน
คนประเภทที่สองต้องการเพียงเท่านี้ จากรัฐบาลนี้