รัฐประหาร ทางออกเดียวในการจัดการกับระบอบทักษิณ จริงหรือ ?ขณะนี้สังคมไทยกำลังมาถึงจุดเชื่อมต่อและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญอีก
ครั้งหนึ่ง หากเราลองหยุดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงตลอดเกือบปีที่ผ่านมา
ท่ามกลางการขับเคี่ยวของระบอบทักษิณ ที่พยายามปกป้องอำนาจและผลประโยชน์
ของกลุ่มทุนบริวาร กับกระบวนการการต่อสู้ของภาคประชาชนที่เติบโตและพยายามนำ
เสนอทางออกและการแก้ไขปัญหาที่หลากหลายให้กับสังคม ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่เรียกร้อง
ให้ผู้มีอำนาจเข้ามาแทรกแซง และกลุ่มที่พยายามแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา
แบบสันติวิธี และกระบวนการต่อสู้ตามครรลองประชาธิปไตยที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการ
เลือกตั้ง และการปฏิรูปทางการเมืองอย่างอดทน
แต่ภายหลังการรัฐประหาร สังคมไทยกลับตกอยู่ในสภาวะการถูกผลักให้ยอมรับและ
ถูกครอบอยู่ภายใต้
กระบวนการสร้างความจริงชุดเดียว (truth-making process) ที่ว่า
การรัฐประหารเป็นเพียงทางออกเดียวที่เหมาะสมในการจัดการกับระบอบทักษิณสังคมไทยกำลังถูกทำให้เชื่อว่า สันติวิธีและกระบวนการแบบประชาธิปไตยอาจอุดมคติ
และอ่อนแอเกินกว่าที่จะจัดการกับระบอบทักษิณได้ ในภาวะวิสัยเช่นนี้การรัฐประหารอาจ
เป็นวิถีทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีสังคมไทยอาจต้องยอมรับวีถีแบบไทยๆ หรือพลัง
การเมืองที่มีอยู่จริงในบริบทของการเมืองไทยนอกจากนั้นยังมีอีกหลายกลุ่มที่เป็นห่วงและเชื่อว่าจะเกิดการใช้ความรุนแรงจากฝ่าย
ทักษิณเข้าปราบปรามการชุมนุมของพันธมิตรในวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา และนั้น
อาจเป็นจังหวะทำให้คุณทักษิณเข้ายึดอำนาจการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ ก็พยายาม
สร้างความเข้าใจกับสังคมว่าการรัฐประหารเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเสียเลือด
เสียเนื้อและการเข้ารวบอำนาจของทักษิณที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ทางสายความมั่นคงก็พยายามเน้นย้ำกับสังคมไทยว่าการรัฐประหารครั้งนี้มีความชอบธรรม
เป็นการรัฐประหารที่ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ (Bloodless Coup Detat) เป็นการ
รัฐประหารที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นมิตรกับประชาชน (People-friendly Coup
Detat) ยิ่งไปกว่านั้นกระแสที่ภาคธุรกิจพยายามสะท้อนร่วมกันว่าการรัฐประหารครั้งนี้มิส่ง
ผลกระทบมากนักต่อการดำเนินกิจการทางธุรกิจ (Economic-friendly Coup Detat)
กระบวนการในการสร้างความชอบธรรมให้กับความจริงเพียงชุดเดียว ประกอบกับการ
ยอมรับความชอบธรรมของ คปค. ในการใช้อำนาจแต่งตั้งผู้นำประเทศและคณะทำงาน
ชุดต่างๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองและรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง
หลากหลายของสังคมอย่างเปิดกว้างนั้น ท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นปัญหาที่สำคัญในการ
พัฒนาวุฒิภาวะทางการเมืองให้กับสังคมไทย และกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองตาม
ระบอบประชาธิปไตยโดยรวมเพราะแท้จริงสังคมไทยต้องยอมรับว่า
วิธีการแก้ไขปัญหาระบอบทักษิณโดยการ
รัฐประหารครั้งนี้มี ต้นทุน ข้อจำกัด และปัญหาในตัวเอง หลายประการ โดยงานชิ้นนี้
ขอเสนอปัญหา
ที่สำคัญ 4 ประการ คือ
ประการแรก ต้นทุนทางประชาธิปไตยภาคประชาชน การรัฐประหารครั้งนี้
บั่นทอนพลังและกระบวนการต่อสู้ทางการเมืองแบบสันติวิธีและวิถีประชาธิปไตย (ที่มิใช่เพียงการ
เลือกตั้ง) เนื่องจากภาพความสำเร็จของการจัดการกับนายกทักษิณโดยการรัฐประหาร
บดบังภาพของพลังประชาชนที่ต่อสู้มาก่อนหน้านี้ ซึ่งนั่นส่งผลต่อความเชื่อถือที่สังคมมี
ต่อกระบวนการต่อสู้แบบประชาธิปไตย
นอกจากนั้น การประกาศห้ามชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง ยังเป็นการผลักให้
คนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างยิ่งไร้พื้นที่ยืนในสังคม และที่สำคัญเป็นการสร้างสภาวะที่
ทำให้คนในสังคม
ขาดความเชื่อมั่นต่อการแสดงออกและการมีส่วนร่วมทางการเมืองใน
ระยะยาวอีกด้วย
ประการที่สอง การรัฐประหาร
ไม่สามารถแก้ปัญหาและป้องกันการกลับมาของระบอบ
ทักษิณได้ โดยการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ คปค. นั้นแท้จริงกำลังกดทับ
พลังที่แท้จริงที่ยังพร้อมที่จะสนับสนุนการกลับมาของทักษิณ โดยประชาชนเหล่านี้คือ
คนถูกปล่อยปละละเลยโดยรัฐบาลที่ผ่านมาและมายึดติดกับนโยบายประชานิยมของ
รัฐบาลทักษิณ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปัญหาของระบอบทักษิณนั้นไม่ใช่ปัญหาเพียงแค่ตัว
ของทักษิณ แต่เป็นปัญหาของระบบการดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาสังคมและ
เศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้นการแก้ไขปัญหาระยะยาวนั้นจึงไม่ใช่เพียงการเข้าจัดการกับ
ทักษิณเพียงคนเดียว แต่อยู่ที่การสร้างความเข้าใจกับสังคมในวงกว้างและการผลักดัน
นโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาวต่างหาก
ประการที่สาม การรัฐประหารไม่สามารถรับรองสิทธิความเป็นประชาชนและสิทธิทาง
การเมืองที่เราสูญเสียไปภายใต้ระบอบทักษิณ ในขณะที่หลายฝ่ายเชื่อว่าการเข้ามาของ
คปค. อย่างน้อยก็มีผู้มีอำนาจมาคุ้มครองเราจากรัฐบาลทักษิณ แต่ปัญหาคือมาตรการ
ต่างๆที่ประกาศใช้ในการห้ามชุมนุมและห้ามแสดงออกทางการเมืองเวลานี้ กำลังละเมิด
สิทธิอันชอบธรรมในการแสดงออกและมีส่วนร่วมในกระบวนทางการเมืองของเรา และยิ่ง
กว่านั้นภายใต้เงื่อนไขแบบนี้เราจะมารถคุมครองตัวเราเองได้อย่างไรในการแสดงสิทธิ
อันชอบธรรมทางการเมืองของเรา
ประการสุดท้าย การรัฐประหารผูกขาดอำนาจการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งเป็นการ
เริ่มต้นที่ผิดพลาดของกระบวนการปฏิรูปทางการเมือง ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เราได้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจแต่งตั้งที่ปรึกษา
ทางกฎหมาย ป.ป.ง. หรือ กระบวนการเลือกสรรนายกรัฐมนตรี ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น
จาก
การตัดสินใจของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน โดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็นและเสียงสะท้อน
จากภาคส่วนต่างๆ ของสังคม อย่างไรก็ดี หากต้องมองโลกผ่านภาวะวิสัย ว่าในเมื่อการรัฐประหารจะเกิดขึ้นแล้ว และ
เราคงจะต้องอยู่ร่วมกับผลที่ตามมาของมัน และโดยส่วนตัวมิได้มุ่งเป้าโจมตีคณะบุคคล
ใน คปค. แต่ในฐานะนักวิชาการคงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเตือนสติและสะท้อนให้สังคมเห็น
ถึง ปัญหา และข้อจำกัดในตัวเองของ วิธีการแก้ไขปัญหาทางการเมืองแบบรัฐประหาร
และการตอกย้ำกับสังคมให้เห็นถึงความสำคัญในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดง
ความคิดเห็นและแสดงออกทางการเมืองโดยสันติวิธี และที่สำคัญการผลักดันให้เกิดช่อง
ทางในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะในสภาวะทางการเมือง
แบบใด ซึ่งนั่นหมายรวมถึงสภาวะสุญญากาศทางการเมืองหลังการรัฐประหารแบบนี้ด้วย
เพื่อมิให้กระบวนการบริหารประเทศ และการปฏิรูปทางการเมือง อยู่ภายใต้อำนาจของ
คณะบุคคลเพียงไม่กี่คน25 กันยายน 2549
กนกรัตน์ เลิศชูสกุล
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยhttp://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=5135&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai