ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
26-12-2024, 20:44
378,182
กระทู้ ใน
21,926
หัวข้อ โดย
9,412
สมาชิก
สมาชิกล่าสุด:
MAN4U
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ปฏิทิน
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)
|
ทั่วไป
|
สภากาแฟ
|
เชื้อทรราชปฏิวัติเงียบ ส่งสมุนวางยา คปค.
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า:
[
1
]
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
เชื้อทรราชปฏิวัติเงียบ ส่งสมุนวางยา คปค. (อ่าน 652 ครั้ง)
taworn09220
ขาประจำ
ออฟไลน์
กระทู้: 302
เชื้อทรราชปฏิวัติเงียบ ส่งสมุนวางยา คปค.
«
เมื่อ:
25-09-2006, 14:29 »
เชื้อทรราชปฏิวัติเงียบ ส่งสมุนวางยา คปค.
โดย ผู้จัดการรายวัน 25 กันยายน 2549 00:08 น.
ภาคประชาชนแฉ ระบอบทักษิณ ยังไม่สิ้นฤทธิ์เดินแผนปฏิวัติเงียบโดยพลเรือนด้วยการส่ง สมุนเก่า เข้าแทรกซึมในองค์กรต่างๆ หวั่นวางยา คปค. พระเปรมศักดิ์" ไม่เห็นด้วยดึง "บวรศักดิ์-วิษณุ"ร่วมทีมร่าง กม.ชี้พายเรือให้โจรนั่งมาแล้ว อ.มหาลัยเตรียมตั้ง วอร์รูม ชนทีมมีชัย ด้านครป.แนะสะสาง 9 องค์กรพิทักษ์ทักษิณ แฉ ทรท.อีสานดิ้นปูทางทรราชคืนสู่อำนาจ ใบปลิวต้านคปค.ว่อนเมืองกาญจน์ นัดชุมนุมหน้าศาลากลาง ด้านคปค.เล่นบทบู๊สั่งห้ามการเมืองท้องถิ่นเคลื่อนไหวเด็ดขาด หญิงหน่อย กลับไทยประกาศยุติบทบาททางการเมือง เผย ทักษิณ สั่งให้ความร่วมมือทุกอย่าง
วานนี้(24 ก.ย.)ที่สำนักงานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการครป. กล่าวว่าภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(คปค.)คือ อายัดทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไว้ก่อน เพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินหลบหนีการตรวจสอบ หลังจากนั้นใช้อำนาจศาลหรือกระบวนการยุติธรรมเข้ามาพิสูจน์ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่าได้มาโดยชอบหรือไม่
นอกจากนี้ จุดที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบคือกลุ่มบุคคลหรือพลเรือนที่คปค.มอบหมายหรือมอบอำนาจบางส่วนให้ดำเนินการนั้น ต้องตรวจสอบผลงานและพฤติกรรมอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้ผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสสร้างเครือข่ายยึดอำนาจเงียบจาก คปค.หรือเป็น การรัฐประหารซ้อนโดยพลเรือน จนทำให้เกิดการบิดเบือนเจตนารมณ์ของ คปค.
เลขาธิการครป.กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ครป.จะจับตาตรวจสอบการโต้กลับของระบอบทักษิณและเครือข่าย ซึ่งยังซุกซ่อนอำนาจในหลายระดับไว้ได้ โดยอาจใช้ สงครามมวลชน เข้ามาเผชิญหน้ากับ คปค.เพื่อสร้างสถานการณ์และเบี่ยงเบนเจตนารมณ์ของ คปค. และฝากไปถึงพลังประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ ให้ระมัดระวังว่าจะไม่ตกหลุมพรางและเป็นเครื่องมือของระบอบทักษิณโดยไม่รู้ตัว
ที่สำคัญจะต้องป้องกันการทำสงครามการเงิน โจมตีตลาดหุ้นฯ เหมือนสงครามการเงินในปี 2540 ซึ่งระบอบทักษิณมีเครือข่ายทางการเงินที่ไร้พรหมแดน และมีศักยภาพทางการเงินทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ สูงมาก อาจเปิดแนวรบด้านการเงิน จนสร้างความวุ่นวายในภาคเศรษฐกิจด้วยการโจมตีตลาดหุ้นฯ หรือทำสงครามทางเศรษฐกิจ
นศ.ค้านตั้งเด็กเก่า ทักษิณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 10.00 น.กลุ่มนักศึกษาม.รังสิตนำโดยนายชาญชัย ฉายบุ นายกสโมสรนักศึกษาม.รังสิต ได้เดินทางมายื่นหนังสื่อเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อคปค.โดยได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งกลุ่มบุคคลที่มีประวัติเคยรับใช้ ระบอบทักษิณ เข้าเป็นคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของคปค.ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ รวมทั้งยังเรียกร้องให้พิจารณาการแต่งตั้งคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ เนื่องจากเห็นว่ายังมีบุคคลที่มีประวัติไม่เหมาะสมเป็นพวกที่สังคมเรียกขานว่าเป็น เนติบริกร ทำให้การดำเนินการไต่สวนคดีทุจริตต่างๆของอดีตรัฐบาลย่อมได้รับความเคลือบแคลง
นอกจากนี้ยังเห็นว่าผู้ที่จะเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราว ต้องเป็นบุคคลที่มีประวัติขาวสะอาด ไม่เล่นพรรค เล่นพวก และมีความรอบรู้เกี่ยวกับกฎหมายมหาชน จึงจะสามารถวางกระบวนการการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นจึงควรสอบประวัติ เพื่อไม่ให้ระบอบทักษิณกลับมาแทรกแซงการทำงานในการปฏิรูปการเมือง
หวั่นวางยา คปค. ทำรัฐประหารซ้อน เงียบ
แหล่งข่าวในวงการนักกฎหมายมหาชน กล่าวว่า การที่ คปค. เชิญนายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายวิษณุ เครืองาม และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เข้ามาร่วมงานร่างประกาศและกฎหมายให้กับ คปค.ถือว่าเป็นความเลวร้ายที่จะทำให้เจตนารมณ์ในการรัฐประหารครั้งนี้ถูกบิดเบือนและถูกทำลายในที่สุด ที่สำคัญ คปค.จะตกเป็นเหยื่อของการรัฐประหารซ้อนอย่างเงียบๆ ของคนที่เคยทำงานให้กับระบอบทักษิณ และเชื่อว่า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำให้กับระบอบทักษิณอยู่
เป้าหมายของ คปค.ที่ต้องการจะเข้ามาตรวจสอบและจัดการกับการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในสมัยที่ทักษิณเป็นนายกฯ ถ้ามีทีมกฎหมายพวกนี้อยู่ รับรองว่าคงจะไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ
แหล่งข่าวยังชี้ให้เห็นว่า หลังจากการยึดอำนาจ ประกาศและคำสั่งของ คปค. หลายฉบับที่ร่างโดยนักกฎหมายเหล่านี้ มีข้อน่าสังเกตหลายประการที่อาจจะเป็นการบ่อนทำลาย คปค.เสียเอง กล่าวคือ กรณีประกาศ คปค. ฉบับที่ 16 ที่ให้หัวหน้า คปค.หรือ พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน มีอำนาจนิติบัญญัติแทนรัฐสภา แต่เพียงผู้เดียว
ที่น่าเป็นห่วงหากพล.อ.สนธิ ใช้อำนาจนี้เซ็นผ่านกฎหมายบางฉบับ อย่างเช่น พ.ร.บ.งบประมาณ ที่ยังค้างเติ่งอยู่ แล้วถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมาภายหลัง หัวหน้า คปค.จะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว และที่สำคัญ หน่วยงานที่จะเข้ามาตรวจสอบก็คือ สตง.และ ปปช. ที่ พล.อ.สนธิ เซ็นมอบอำนาจให้เอง
แหล่งข่าวคนดังกล่าวยังตั้งข้อสังเกตว่า รายชื่อของ ปปช.ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คปค. ก็มีหลายรายที่ยังมีภาพลักษณ์ที่ด่างพร้อย ไม่ว่าจะเคยมีบทบาทสำคัญในช่วงที่ทักษิณยังเป็นนายกฯ หรือแม้แต่บางรายที่ยังใช้เงินซื้อตำแหน่งผู้บริหารมาแล้ว คนอย่างนี้คงยากที่ทำงานตรวจสอบการทุจริตได้อย่างตรงไปตรงมา
ส่วนประกาศ คปค.ฉบับที่ 3 เรื่องเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ที่ระบุว่าจะ คปค. จะยึดมั่นในหลักกฎบัตรสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิ และจะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญา หรือข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศ ซึ่งโดยหลักการแล้วเป็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อนานาประเทศที่คณะรัฐประหารยังคงยึดมั่นในกรอบกติกาสากล แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นช่องว่างในการควบคุมจัดการกับ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเขาอาจจะใช้เงื่อนไขเหล่านี้หลีกเลี่ยงได้
เตือนระวังนักกฎหมายจอมแสบ
แหล่งข่าวคนดังกล่าวระบุด้วยว่า นายมีชัยถือว่าเป็นหัวขบวนของทีมนักกฎหมายของ คปค. ในขณะที่ เสนอให้ดึงตัวนายวิษณุและนายบวรศักดิ์มาร่วมงาน นอกจากนี้ ยังดึงตัวนายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด พล.ต.อ.ดรุณ โสตถิพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. นายอัชพร จารุจินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และนายดิสทัต โหตระกิตย์ ผู้อำนวยการกองกฎหมายต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาตั้งทีมร่างกฎหมายให้ คปค.
กล่าวสำหรับนายมีชัย อดีตประธานรัฐสภาและปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 1 เป็นหนึ่งในนักกฎหมายรับจ้างที่ทำงานตอบสนองความต้องการของนักการเมืองที่กุมอำนาจอยู่ในรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย
สำหรับรัฐบาลทักษิณ ผลงานอันโดดเด่นของนายมีชัย มีหลายกรณีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่าง พ.ร.ก. บริหารงานสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกับนายกรัฐมนตรีมากเกินไป
นายมีชัยยังเป็นผู้ร่าง พ.ร.ฎ ว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ฎ.ติดหนวด ซึ่งให้อำนาจนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ที่ประชุมกันเพียง 2 คน ก็สามารถออกเป็นมติ ครม.ได้
ที่สำคัญไปกว่านั้น นายมีชัยยังเป็นแม่งานหลักในการร่างกฎหมายขายชาติ 2 ชุด กล่าวคือ ร่าง พ.ร.บ.ร่างเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. ... ที่ตัดแบ่งแผ่นดินของประเทศไปจัดขายให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติเป็นเวลา 99 ปี ได้โดยมีกฎหมายของเผด็จการรองรับ
รวมทั้งกฎกระทรวงที่ออกตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาประกอบอาชีพที่เคยสงวนไว้ให้คนไทย 13 อาชีพ เช่น ธุรกิจประกันภัย รับจำนำ โรงเรียนเอกชน ฯลฯ
นอกจากนี้ เขายังร่วมร่างในพ.ร.ฎ.ที่ว่าด้วยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็น ปตท. กฟผ. องค์การโทรศัพท์ ฯลฯ ซึ่งต้องถือว่าเป็นกฎหมายที่เอื้อให้กับกลุ่มทุนของรัฐบาลและกลุ่มทุนต่างชาติเข้าครอบงำกิจการอันถือเป็นสาธารณูปโภคของคนไทย
อ.มหาลัยเตรียมตั้ง วอร์รูม ชนทีมมีชัย
มีรายงานข่าวว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวในกลุ่มคณาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มที่เคยเข้าพบพล.อ.เปรม ก่อนจะมีเหตุการณ์รัฐประหาร โดยกลุ่มคณาจารย์ดังกล่าวมีความห่วงใยในประเด็นที่ คปค. มอบอำนาจให้กับทีมนายมีชัย บวรศักดิ์ วิษณุ เข้ามากำหนดแนวทางปฏิรูปการเมือง และเป็นทีมมันสมองให้กับ คปค.
กลุ่มคณาจารย์ เตรียมจะตั้งวอร์รูมเพื่อชนเต็มที่ หนึ่งในกลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัย กล่าว
จี้โละคลังสมองซากเผด็จการทักษิณ
ที่ห้องประชุมชั้น 2 คณะครุศาสตร์ ม.ราชภัฏนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการม.ราชภัฏนครราชสีมา, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีต รมว.อุตสาหกรรม และ ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี ผู้ประสานงานภาคีมวลชนคนโคราชรักประชาธิปไตย และแกนนำสมัชชาประชาชนภาคอีสาน ได้ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน
นายสมเกียรติกล่าวว่า การรัฐประหารครั้งนี้น่าจะเกิดจากแรงผลักดันในบางส่วนของกองทัพ โดยอาศัยข้อเรียกร้องจากสังคม ผลที่จะตามมาคือไม่ลงตัวในการจัดสตาฟเพื่อเดินหน้าปฏิรูป เช่น การไปลากเอานายมีชัย นายวิษณุ และนายบวรศักดิ์มาเป็นคลังสมองและกลไกสำคัญขับเคลื่อนทางกฎหมาย ประชาชนก็เริ่มจะไม่ยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เริ่มแรกรัฐประหาร ประชาชนสนับสนุนอย่างกว้างขวาง 2. เกิดความคลางแคลงสงสัยว่ารัฐประหารเพื่อปฏิรูปหรือรัฐประหารเพียงเพื่อให้อำนาจ "เปลี่ยนมือ" จากกลุ่มหนึ่งมาสู่อีกกลุ่ม 3.เกิดความเสื่อมถอย ประชาชนจะเริ่มกล้าเผชิญหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ 4. เกิดการต่อต้านโดยมวลชนอันไพศาลดังเช่นกรณีการล้มลงอย่างสิ้นท่าของรัฐบาล รสช. ภายใต้การออกแบบของนักกฎหมายอย่างนายมีชัย ฤชุพันธ์ และการใช้ความรุนแรงอย่าง "สุจินดา คราประยูร-เกษตร โรจนเสถียร -อิสระพงษ์-ชัยณรงค์ หนุนภักดี" ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
"ดังนั้น เราไม่อยากให้ความรุนแรงหวนกลับมาซ้ำรอยอีก จึงขอเรียกร้อง คปค.ใน 2 ข้อ คือ ขอให้เปลี่ยนกลุ่มคลังสมองใหม่ เพื่อเดินการปฏิรูปเดินหน้าไปแบบไม่คลางแคลงสงสัย และต้องใช้วิธีการมาเร็วไปเร็ว รีบจัดตั้งรัฐบาลพลเรือน ยกเลิกกฎอัยการศึก และเลิกการครอบงำ แล้วถอนตัวออกไป" นายสมเกียรติ กล่าว
แนะสะสาง9องค์กรพิทักษ์ทักษิณ
นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า การรัฐประหารในสังคมเปิดจะต้องให้กลไกต่างๆ เดินหน้าไปได้โดยสะดวกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งระบอบทักษิณได้ทำลายจนพิการพอกพูนคดีไว้นับ 10,000 เรื่อง และกลไกตกค้างทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรับใช้ระบอบทักษิณอย่างสุดจิตสุดใจ อีก 9 องค์กร คือ ศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ป.ป.ง.) ,สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ,สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), กรมสรรพากร และ ผู้ว่าฯ ซีอีโอ
ทั้งนี้ คปค.และ ป.ป.ช.ควรรีบเข้าไปชำระสะสางโดยเร่งด่วน เฉพาะอย่างยิ่งให้ดำเนินคดีก่อนใคร คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ,กกต.และ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรณีใช้อำนาจโดยมิชอบขึ้นเงินเดือนตัวเองตามแนวทางศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง(คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2548) ที่มีคำพิพากษาจำคุกจำเลย ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนคนละ 2 ปี โดยเรื่องการขึ้นเงินเดือนโดยมิชอบนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ วุฒิสภา ชุด พล.ต.อ.ประทิน สันติประภาพ ได้เสนอไปยัง ป.ป.ช. ค้างคาตั้งแต่ปี 2548 แล้ว
จี้อายัดทรัพย์-ทวงคืนเงินแผ่นดิน4 แสนล.
นายไชยวัฒน์กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุการเข้ายึดอำนาจการปกครองของ คปค. คือ การทุจริตประพฤติมิชอบจากการใช้อำนาจรัฐของรัฐบาล ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม่มีบริษัทที่ปรึกษา และบริษัทรับเหมาก่อสร้างในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรัฐราบใดเลยที่ได้รับงานโดยไม่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ในอัตราจ่ายเมื่อเทียบกับวงเงินงบประมาณแล้วราว 20-30% คิดเป็นวงเงินงบประมาณที่ต้องสูญเสียไปกับนักการเมือง และข้าราชการบางส่วนตกประมาณปีละ 82,500 ล้านบาท รวมระยะเวลา 5 ปี ในระบอบทักษิณกว่า 400,000 ล้านบาท
ดังนั้น ตนเห็นว่า คปค.ควรที่จะให้มีการตรวจสอบและอายัดทรัพย์สินเหล่านี้ เพื่อทวงเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้กับแผ่นดินโดยด่วน
นายไชยวัฒน์กล่าวต่อว่า ในส่วนของชาวโคราชขอเรียกร้องให้เร่งรัดดำเนินคดีในโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ ที่มีความไม่ชอบมาพากลจากการใช้อำนาจรัฐ ทุจริต ประพฤติมิชอบ ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบโครงการ การจัดหาที่ดิน การก่อสร้าง ภายใต้วงเงินงบประมาณกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันส่อเค้าว่ากำลังจะหมดอายุความในหลายคดี และเป็นโครงการที่ริเริ่มโดยนายสุวัจน์
แฉทรท.ดิ้นปูทางทรราชคืนสู่อำนาจ
ทพ.ศุภผล กล่าวว่า แม้ คปค.ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ยังปรากฏว่า มีความพยายามการจัดตั้งมวลชนเคลื่อนไหวในภาคอีสานและกระทั่งใน กทม. เพื่อพยายามรื้อฟื้นอำนาจและการปกครองในระบอบทักษิณอันเลวร้ายกลับคืนมา เช่น การประกาศผ่านสื่อวิทยุชุมชนว่าสามารถเคลื่อนมวลชนนับแสนนับล้านคนได้ของสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่ จ.อุดรธานี การนัดชุมนุมของกลุ่ม อบต.จำนวนมากที่โรงแรมเทพนคร จ.บุรีรัมย์ และการแอบขนมวลชน 2 คันรถบัสไปชุมนุมกันที่รีสอร์ท แห่งหนึ่งของ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยในชานเมืองโคราช เป็นต้น
ที่สำคัญคือ ผู้ว่าฯและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณ วางเฉยไม่ดำเนินการใดๆ ต่อสถานีวิทยุชุมชน และคนของพรรคไทยรักไทยเหล่านี้ พวกเราจึงมีความห่วงใย เกรงว่าสมุนรับใช้ระบอบทักษิณจะก่อความแตกแยกในหมู่ประชาชนต่อไปและปูทางให้ทรราชกลับคืนมาอีกครั้ง จึงขอเรียกร้องให้ คปค.ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มคนเหล่านี้
พระเปรม"ยี้วิษณุ-บวรศักดิ์
ด้านพระเปรมศักดิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทรท. แสดงความเห็นกรณีที่ คปค.ดึงนายบวรศักดิ์และนายวิษณุ มือกฎหมายของอดีตรัฐบาลเข้ามาเป็นทีมร่างกฎหมายฯด้วยว่า ไม่เห็นด้วย เพราะบุคคลทั้ง 2 ถือเป็นที่ปรึกษางานด้านกฎหมายให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า ที่ผ่านมากฎหมายไม่สามารถเอาผิดอดีตนายกฯคนนี้และคนใกล้ชิดใน ครม.ได้ เพราะมีนักฎหมายคอยแก้ต่างชี้ช่องให้
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่นายบวรศักดิ์ และนายวิษณุ ทำงานร่วมกับอดีตนายกฯ ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติ ขาดทั้งคุณธรรมและจริยธรรม มีส่วนทำให้ปัญหาทุจริต คอรัปชั่นสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ กฎหมายบ้านเมืองทำอะไรไม่ได้ จนในที่สุดกฎแห่งกรรมก็แสดงผลนำไปสู่ให้เกิดการยึดอำนาจ
วิษณุไม่หวั่นคนต้าน
นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดค้านของกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการให้ทาง คปค.ดึงตนและนายบวรศักดิ์มาร่วมร่างธรรมนูญการปกครอง เนื่องจากเคยร่วมรัฐบาลทักษิณมา และเคยร่างให้อำนาจนายกฯสามารถตัดสินใจได้คนเดียว ว่า ไม่เป็นไร ใครจะทำอะไรก็ทำ
ผมไม่รู้สึกอะไร เฉย ๆ มาก และอยากให้ช่วยออกมาคัดค้านกันมาก ๆ ด้วย จะได้ไม่มีคนมายุ่งกับผม ผมจะได้สบาย ไม่เหนื่อย เพราะผมก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน ที่ผ่านมาผมสบายมาก ไปเที่ยว ไปสอนหนังสือ นายวิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าพูดอย่างนี้เหมือนไม่เต็มใจที่จะมาช่วยงานคปค.เลย นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก เมื่อเขาให้มาช่วยก็มาช่วย โดยจะดูเฉพาะในส่วนของการร่างธรรมนูญการปกครองเท่านั้น ส่วนสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ได้ร่วมด้วย ซึ่งนักกฎหมายที่มาช่วยงานคปค.นั้นมีมาก ไม่ใช่มีเฉพาะนายมีชัย ตน และนายบวรศักดิ์ เท่านั้น แต่ยังมีอีกมากที่เข้ามาช่วยและเป็นคนเก่ง ๆ ทั้งนั้น และขอปฏิเสธว่าพวกตนไม่ใช่คีย์แมนให้กับคปค.ตามที่เป็นข่าว แต่เมื่อมาขอให้ช่วยก็ต้องช่วย และในสภาวการณ์เช่นนี้ก็ต้องช่วยกันไป
ส่ง 1 พันคดีเข้า ป.ป.ช.วันนี้
นายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สรุปคดีทุจริตที่มีประมาณ 1,1000 คดีที่ยังคงคั่งค้างอยู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะนำคดีทั้งหมดเข้าสู่การพิจารณาในการประชุม ป.ป.ช.วันนี้(24 ก.ย.) ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีเพียงคดีส่วนน้อยเท่านั้นที่หมดอายุความ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงการทำหน้าที่ ป.ป.ช. ว่า เรื่องเร่งด่วนที่ ป.ป.ช. ต้องดำเนินการ คือ เรื่องของนักการเมืองที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ไม่แน่ใจว่าหลายเรื่องมีการส่งมาถึง ป.ป.ช.หรือยัง ต้องรอดูรายละเอียด ขณะเดียวกันมีเรื่องบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอีกมาก หากตรวจสอบแล้วอาจได้เบาะแสการทุจริต ดังนั้น ควรต้องเร่งตรวจสอบควบคู่ไปกับคดีที่ค้างการพิจารณา คาดว่ามีอยู่กว่า 10,000 คดี ซึ่งต้องมาจัดลำดับความสำคัญ อย่างไรก็ตาม งานเหล่านี้สามารถบูรณาการทำควบคู่กันไปได้
ทั้งนี้ เห็นด้วยกับข้อเสนอของนักวิชาการที่เห็นว่าควรปรับบทบาทการทำงานและอำนาจของ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีใหญ่ ตรวจสอบเฉพาะนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง หากเป็นข้าราชการระดับ 8 ลงไป ควรให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นผู้ดำเนินการ และให้มีกรรมการประจำดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เข้าใจว่าอาจต้องมีการแก้กฎหมาย ซึ่งต้องหารือรายละเอียดกับกรรมการ ป.ป.ช. คนอื่น
นายวิชายอมรับว่า บางครั้งการจัดการปัญหาทุจริตมีเบาะแสไปถึงตัวการใหญ่ ดังนั้น หากได้ข้อมูลที่ดีจากข้าราชการชั้นผู้น้อยมาเป็นพยานก็ไม่ควรไปเล่นงานก่อน เพราะจะไม่มีใครกล้าเป็นพยาน เรื่องนี้ควรยกเว้น ซึ่งอาจต้องปรับอีกครั้ง เพราะต่างประเทศใช้วิธีการใช้ข้าราชการชั้นผู้น้อยเป็นพยานในการจัดการนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง
ใบปลิวต้านคปค.ว่อนเมืองกาญจน์
พล.ต.อดุล อุบล ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 เปิดเผยถึงกรณีที่วานนี้(24 ก.ย.) ในหลายพื้นที่ของจังหวัดได้มีใบปลิวโจมตีคปค. โดยแสดงความไม่เห็นด้วยในการปฏิวัติครั้งนี้ ใบปลิวดังกล่าวลงชื่อ ตัวแทนคนรักเมืองกาญจนบุรีว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบหาตัวผู้กระทำการ ผู้ร่วมขบวนการ และผู้อยู่เบื้องหลังการแจกจ่ายใบปลิวในครั้งนี้แล้ว
ทั้งนี้ ทราบมาว่า ผู้ที่มีรายชื่อระบุอยู่ในใบปลิว ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐานว่า พวกเขาไม่ได้รู้เห็นในการจัดทำใบปลิวในครั้งนี้ ซึ่งก็คงจะต้องรอผลการตรวจสอบที่แน่ชัดของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงจะสามารถดำเนินการใดๆ ต่อไปได้ โดยในขณะนี้ตนยังไม่ได้สั่งให้ผู้ที่มีรายชื่อตามที่ระบุในใบปลิวมาชี้แจงกับตนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามจะต้องรอดูว่า ในวันนี้จะมีการชุมนุมตามที่ระบุในใบปลิวหรือไม่ และถ้าเป็นการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ก็คงจะดำเนินการตามประกาศของ พล.อ.สนธิ ตามที่ได้ประกาศไว้ทันที
ด้านพล.ท.รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ ประธานชมรมประวัติศาสตร์กาญจนบุรี ซึ่งเป็น 1 ในรายชื่อที่ระบุในใบปลิว กล่าวว่า ไม่ทราบกรณีการแจกใบปลิวโจมตีดังกล่าว และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด คาดว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดี นำเอาชื่อไปแอบอ้าง ซึ่งตนได้พูดคุยกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองพลทหารราบที่ 9 และได้ทำความเข้าใจกันแล้ว และทางทหารก็ไม่ได้ติดใจเอาความ พร้อมกันนี้ ตนยังได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบหาตัวผู้ที่กระทำการดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สั่งเฉียบห้ามการเมืองท้องถิ่นเคลื่อน
วานนี้(24 ก.ย.) พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คปค.ได้ออกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 22 เรื่องขอให้ยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองท้องถิ่นความว่า ตามที่คปค.ได้ประกาศกฎอัยการศึกตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. เป็นต้นมา และได้มีประกาศฉบับที่ 7 ลงวันที่ 20 ก.ย.เรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืองโดยมิให้มั่วสุมประชุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปนั้น
ด้วยปัจจุบันปรากฏความเคลื่อนไหวของกลุ่มสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมทั้งกลุ่มองค์กรอื่นๆ ทั้งที่มีความมุ่งหมายเพื่อสนับสนุน หรือคัดค้านการดำเนินการของคปค. ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เกิดปัญหา และเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อันจะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมต่อไป
ดังนั้น คปค. จึงขอประกาศให้กลุ่มองค์กรต่างๆ ยุติความเคลื่อนไหว และการรวมกลุ่มทางการเมืองไว้ จนกว่าสถานการณ์ของประเทศจะเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งคปค.จะได้มีประกาศให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ หากมีผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษโดยเฉียบขาด
หญิงหน่อยเลิกการเมือง-ยอมให้สอบทรัพย์สิน
วานนี้ (24 ก.ย.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางกลับจากเยอรมนีด้วยสายการบินลุฟท์ฮันซา เที่ยวบิน LH772 ณ อาคารผู้โดยสารขาเข้า 2 ท่ามกลางสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมากที่ไปรอทำข่าว รวมทั้งครอบครัว ญาติ และอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยมารอต้อนรับ ซึ่งเมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ มาถึงอาคารผู้โดยสารก็ได้เข้าไปกราบบิดาที่มารอรับด้วย
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวภายหลังว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำชับตนและอดีตลูกพรรคไทยรักไทยให้ร่วมมือกับคปค.ทุกด้าน ทุกประการที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ส่วนตัวจะยุติการดำเนินการทางการเมืองที่มีอยู่ขณะนี้และจะให้ความร่วมมือกับผู้ดูแลบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติและเดินหน้าต่อไป พร้อมให้กำลังใจคณะปฏิรูปฯ ด้วย ไม่ต้องห่วงว่าคณะของพวกตนจะทำให้เกิดปัญหาใด ๆ
สำหรับเรื่องตรวจสอบทรัพย์สินนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ยินดีให้ตรวจสอบ ไม่มีปัญหา เพราะทุกวันนี้ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินอยู่แล้ว และยังไม่ได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงการดำเนินงานต่อไปในอนาคต ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำให้อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยทุกคนให้ความร่วมมือกับคปค. และยุติบทบาททางการเมือง เมื่อเปิดกติกาใหม่ก็ค่อยเข้ามาทำงาน ส่วนเรื่องการเข้ารายงานตัวกับคปค.นั้น หากได้รับการประสานมาก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ขณะนี้ขอชดเชยเวลาให้ลูกทั้งสามดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่
ทรท. อ้างเฉยนโยบายคปค.เหมือนพรรค
วันเดียวกัน ที่พรรคไทยรักไทย นายวีระ มุกสิกพงศ์ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เปิดแถลงข่าวว่า แม้พรรคไทยรักไทยจะปฏิเสธแนวทางการยึดอำนาจ แต่เมื่อฟังคำแถลงของ คปค.แล้ว จะเห็นว่าตรงกับนโยบายทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย ดังนั้น ในช่วง 14 วันนี้พรรคจะติดตามสถานการณ์อย่างนิ่งๆ จะไม่ปฏิบัติการใดๆ ไม่ว่าบนดินหรือใต้ดินในลักษณะต่อต้านคปค. แต่หลังจากนั้นจะมีการนัดหมายสมาชิกพรรคมาหารือเพื่อประเมินสถานการณ์ ผลลัพธ์ ก่อนกำหนดท่าทีของพรรคต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะนัดใครมาหารือ เพราะบรรดารัฐมนตรีต่างพากันปิดโทรศัพท์และหายเงียบไปหมด นายวีระกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรี เราติดต่อเฉพาะคนที่มีอยู่ และที่ผ่านมาก็ติดต่อแกนนำพรรคทางโทรศัพท์หลายคน
ถ้าพ.ต.ท. ทักษิณจะยุติบทบาท จะวางมือ ท่านต้องเป็นคนพูดเอง วันนี้อย่ามาถามเรื่องเขาเล่าว่า
ส่วนเมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าพรรคไทยรักไทยจะแตกหลังผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไป นายวีระกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า ทำไมไปวิตกจริตอย่างนั้น พร้อมยืนยันว่ากระแสข่าวเรื่องการปลุกระดมม็อบในส่วนท้องถิ่นนั้นไม่เป็นความจริง ข่าวที่ออกมาก็มาจากพวกยุคนให้กระทืบกัน เป็นการกุข่าวทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
หน้า:
[
1
]
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
ทั่วไป
-----------------------------
=> ตะกร้าข่าว
=> ห้องสาธารณะ
=> สภากาแฟ
=> ชายคาพักใจ
=> ร้อยรักษ์กวีวรรณ
=> สโมสรริมน้ำ
-----------------------------
ด้านเทคนิค
-----------------------------
=> ปัญหาการใช้งาน
=> ห้องทดสอบ
===> ทดสอบบอร์ดย่อย
Powered by SMF 1.1.20
|
SMF © 2005, Simple Machines
|
Thai language by ThaiSMF
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.125 วินาที กับ 21 คำสั่ง