ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
23-04-2024, 16:42
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  สาเหตุที่ต้องทำลายสถาบัน.... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
สาเหตุที่ต้องทำลายสถาบัน....  (อ่าน 735 ครั้ง)
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« เมื่อ: 18-09-2006, 08:36 »

จำกันได้ไหมว่าในสมัยพระนารายณ์มหาราช สยามส่งเจ้าพระยาโกษาปานเป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศส 

"เจ้าพระยาโกษาธิบดี  (ปาน)"   นี่มีบันทึกหลายสถานว่าเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์จักรีด้วย  โดยมีเจ้าแม่วัดดุสิตมาเกี่ยวข้อง  (ไปหาอ่านได้ในกระทู้เก่าๆ  พิมพ์ใหม่ไม่ไหวค่ะ ไม่ได้เซฟที่ทำไว้ด้วย)

ความจริงแล้วไม่เฉพาะฝรั่งเศส  แต่ยังมีหลายๆชาติที่ต้องการเข้ามาทำการค้ากับสยาม  และไม่รวมเฉพาะตะวันตกเท่านั้น ตะวันออกเช่นญี่ปุ่น  จีน  ก็ด้วย  แต่ที่มีอิทธิพลและสร้างความหวั่นไหวให้สยามได้มากที่สุดคือตะวันตก  เนื่องจากมีอาวุธสำคัญ 2 อย่าง  ได้แก่  ศาสนาคริสต์  และอาวุธที่ล้ำหน้าผู้อื่นใด 

หากสงสัยว่ากลัวอะไร  ต้องบอกว่ากลัวการกลืนชาติ  กลัวการเป็นเมืองขึ้น  จากลัทธิล่าอาณานิคมที่แรงมากขึ้นๆ  จนถึงยุครัชกาลที่ 3   ซึ่งตามประวัติศาสตร์ เขาว่า รัชกาลที่ 3 นิยมจีน   ทำการค้าสำเภากับจีนจนมีเงินถุงแดงให้ไทยได้ไถ่ตัวเองในยุคสงครามโลกในภายหลัง  คนก็เรียกพระองค์ท่านว่า เจ้าสัว   พระองค์ท่านไม่นิยมตะวันตก   ที่ไม่นิยมเพราะว่าทรงเล็งเห็นสิ่งแอบแฝงที่มากับการค้าและการทูตล่วงหน้า

ตกมาถึงยุค ร.4  สยามเข้าสู่เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม  สังคม  การปกครอง  ประเพณีต่างๆมากขึ้น  ผ่านการค้ากับประเทศตะวันตกที่มีมากขึ้นๆ  พระองค์ท่านรู้เท่าทันสิ่งที่จะเกิดขึ้น  จึงได้ส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาในประเทศตะวันตก   เพื่อให้  “ รู้จัก ”  คนตะวันตกจริงๆ  แบบว่าเราจะรู้อะไรได้ถึงแก่น  ต้องไปคลุกคลีกับเขา   ไม่ใช่แค่อ่านจากหนังสือหรือฟังคนเล่าอย่างเดียว

มาถึง ร.5  เราก็มีเจ้าฟ้ามหากษัตริย์และพระราชวงศ์หลายพระองค์ที่รู้จักชาวตะวันตก   แต่ก็ยังไม่พ้นการถูกรุกรานน้ำใจจนเสียขวานทองไปบางส่วน  เนื่องด้วยพ่ายแพ้แก่อาวุธยุทโธปกรณ์ของ “ ฟารั้ง “    การรุกรานในสมัยนั้นเรียกว่าหน้าด้านมาก  เพราะหาเหตุรังแกกันทุกรูปแบบเท่าที่จะทำได้ 

หากเขารุกรานด้วยกำลังผ่านทัพเรือไม่ไหวเพราะชนชาตินั้นสามัคคีกันมาก  เขาก็ใช้บาทหลวงนำพาความเมตตากรุณาจากพระผู้เป็นเจ้าไปให้ชาวบ้าน  ชาวบ้านไม่รู้ก็รับไว้ด้วยใจกตัญญูจนเข้ารีตไปในที่สุด   บาทหลวงนี่นับว่ามีส่วนสำคัญในการกลืนชาติเป็นอาณานิคมผ่านศาสนจักรไปได้ในที่สุด  ซึ่งประเทศที่ล่าอาณานิคมในสมัยนั้นก็ได้แก่พวกจักรวรรคิเก่า  ได้แก่ อังกฤษ  ฝรั่งเศส  สเปน  ฮอลันดา  โปรตุเกส  และในยุคหลังสงครามโลกมาก็เพิ่มสหรัฐอเมริกาเข้ามาด้วย  โดยกลายเป็นตัวนำไปในที่สุด 

กล่าวมายืดยาวนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราสมัยมนุษยดอทคอม  และเหตุการณ์ในปัจจุบันล่ะ ?

ก็เพราะแม้กระทั่งเดี่ยวนี้ จักรวรรดินิยม ก็ยังอยู่ครบถ้วน  เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น  โดยปรับไปตามเหตุการณ์สภาพแวดล้อมทางสังคม  ทางวัฒนธรรม  และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป 

พออ่านมาถึงคำว่า  จักรวรรดินิยม  หลายท่านอาจนึกว่าฉันเสียสติหรือว่าล้าหลังตกรุ่นไปแล้ว  เอาละ  ฉันจะอธิบายเปรียบเทียบแบบง่ายๆให้ฟัง  โดยให้คุณลืมคำๆนั้นไปก่อน

สมมติว่าเราทำการค้า  บ้านเรามีคนซื้อหาสินค้าเราจนอิ่มตัวแล้ว   เอาง่ายๆ สมมติว่าเราขายเบอร์มือถือแล้วกัน   เราขายจนคนซื้อเขามีคนละเบอร์แล้ว  มันก็ขายได้ยากแล้ว  เราก็ต้องหาทางเอาไปขายพื้นที่อื่นที่ยังมีแนวโน้มจะขายได้มากเพราะคนยังไม่มีมือถือใช้เท่าไร 

เวลาเราไปประเทศอื่น...เอ..ประเทศไรดีนะ  เอาเป็นว่าใกล้ๆแบบฮ่องกงที่คนไปกันบ่อยๆแล้วกัน  เราก็เอาเกาลัด  ลูกพลับจีน  เสื้อผ้ามาใช้  มาขายในไทยต่อใช่ไหม 

คนอื่นมาไทย  ไปพม่า  ก็เห็นทรัพยากรมีค่าหลายอย่างที่เขาอยากได้  ไปอาหรับก็เจอน้ำมัน  สำหรับเมืองไทยนี่มีทั้งทรัพยากรที่เขาอยากได้  เพราะได้ไปก็เอาไปขายให้คนของเขา  หรือไปขายที่อื่น  ได้กำไรดี  และไทยยังมีคนตั้ง 63 ล้านคน  เหมาะกับการระบายสินค้าของเขาสู่ไทย

ดังนั้นเหตุผลหลักของทุกอย่าง ในทุกยุค  ก็คือ ‘ ผลประโยชน์ “  แค่นี้เอง  แต่รูปแบบการเป็นจักรวรรดินิยมมันเปลี่ยนไปแล้ว  ไม่ใช่มาบุกเดี่ยวๆ  แต่เป็นการครอบครองผ่านสหรัฐซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เป็นแหล่งรวมคนจากประเทศจักรวรรดินิยมเดิมทั้งสิ้น  และไม่ได้ใช้อาวุธแบบเดิม  แต่ใช้ Soft Weapon  คือ ระบบเศรษฐกิจ กับ วัฒนธรรม  และเทคโนโลยีเข้ายึดครอง 

ในด้านครองผ่านระบอบเศรษฐกิจก็ใช้องค์กรที่มีอำนาจครอบคลุมไปทั้งโลกอย่าง IMF  World Bank  WTO  ฯลฯ  เป็นต้น

ในด้านวัฒนธรรมก็ผ่านมาจากหนัง  เพลง  หนังสือ  ฟาสฟู๊ด  การเรียนต่อต่างประเทศ  (คนจบนอกมาใหม่ๆ  มักจะพูดว่าที่นี่ทำไมคิด/ทำแบบนี้  ที่โน่นไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย  --- นี่ขนาดมันแค่ต่อโท 2-3 ปี  ต่อเอก 4-6 ปี แค่นี้นะ ทั้งๆที่มันอยู่ไทยมาก่อนไปต่อโทตั้ง 21 ปี)  ฯลฯ 

ในด้านเทคโนโลยีก็ผ่านมาทางอินเตอร์เน็ต  ซึ่งเดี๋ยวนี้มาแรงกว่าองค์กรต่างๆที่ว่าข้างต้น  เพราะเป็นแหล่งผ่านความรู้  ความคิด  การล้างสมองก็ทำได้ง่ายในนี้ละ  ก็ดูอย่าง เวบ เสรีไทยนี่ละ  สามารถดึงคนมาติดงอมแงมได้  เด็กรุ่นใหม่ๆนี่เราอาจจะหมดหวังไปแล้วนะ  ขอบอก  เพราะเขาซึมซับได้เต็มที่ทุกเวลาด้วย   

มาดูรูปแบบกระบวนการเข้าครอบงำที่เป็นระบบกันหน่อย...........

เป้าหมายที่เขาจะแทรกตัวเข้ามาครอบครองเราได้จริงๆคือต้องตีฝ่าด่านผู้ปกครองประเทศ  และ ประชาชนให้ได้    ด้านผู้ปกครองประเทศก็การให้ประโยชน์นักการเมือง  เพื่อกำหนดนโยบายในทิศทางที่เขาต้องการ  ตัวอย่างก็คือสิงคโปร์เป็นนอมินีให้สหรัฐเข้าครอบครองไทยไง  เดี๋ยวนี้ถึงมีทหารสิงคโปร์ในไทยได้  แถมยังควบคุมดาวเทียมของเราเสียอีก สงสัยจริงๆว่าหากกลาโหมจะประชุมกัน  เขาจะทำไง  ก็มันเจาะลึกไปถึงห้องประชุมกันได้หมดผ่านเจ้าไทยคมมิใช่หรือ ? 

ทีนี้ในส่วนประชาชนล่ะ  จะเจาะอย่างไร ให้เขาเชื่อในตัวนักการเมืองที่ถูกซื้อไปหมดแล้ว  ?

ง่ายๆเลย  สำหรับรากหญ้าซึ่งมีจำนวนเกินครึ่งหนึ่งของไทย  ให้ในสิ่งที่เขาขาดไง  เห็นไหม  นานาเอื้ออาทร

นักเรียน  นักศึกษาล่ะ  พวกนี้ก็ให้ทุนสิ  ให้ไปเรียนในที่ที่กำหนดไว้แล้วว่าจะล้างสมองได้

นักธุรกิจล่ะ ทำไง  ก็ให้ทุนสนับสนุน  ให้กู้อัตราดอกเบี้ยต่ำยังไงละ

และในหลายๆกรณีก็อาจมีตัวช่วยเผื่อลดการขัดแย้งให้ดูกลมกลืน  มีสันติ   กรณีนี้ใครจะดีเท่าศาสนา   บาทหลวงถึงได้ผุดเป็นดอกเห็ด  ขับรถไปต่างจังหวัดบ่อยๆเคยเห็นไหม  มีป้ายแขวนบนต้นยางสูงลิบตามริมทาง  เขียนอะไรไม่รู้ทำนองว่า  .... ข้าคือพระผู้ไถ่บาป    ......ศรัทธาในพระเยซู  จะนำท่านไปสรวงสวรรค์ 

สูตรสำเร็จนี้ถูกใช้มาโดยต่อเนื่อง  แต่ทว่าอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคืออะไร ?

นั่นก็คือเมืองไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์  ที่คนไทยทั้งปวงเทจิตใจให้   ไม่ใช่ด้วยรัฐธรรมนูญบังคับหรอก   แต่ด้วยความจงรักภักดีที่เกิดจากที่พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมมาโดยตลอด  มันจึงจารจำไปในจิตใจพสกนิกรไทยถ้วนหน้า  ยกเว้นไอ้พวกยำยำอัปรีย์สัตว์นรกส่งมาเกิดที่ไม่มีใจภักดีกตัญญูแผ่นดินเกิด  ทรยศต่อคำสัตย์สาบานที่ทูลถวายต่อพระองค์ท่าน

ก็ด้วยเหตุนี้เอง  เราจึงได้เห็นการกระทำที่จ้วงจาบหยาบหยามสถาบันสูงสุดมาโดยตลอด  และโดยต่อเนื่อง   ก็เพื่อทำลายความเชื่อถือให้ต่ำที่สุด  และจะได้ครอบครองประเทศไทยได้

นั่นคือคำตอบของกระทู้นี้
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #1 เมื่อ: 18-09-2006, 08:49 »

ต้องอ้างถึง พระเจ้าเสียวเหา หรือพระเจ้าเหาน้อย ไทยเรียก พระเจ้าเหา กษัตริย์องค์ที่ ๒
ในพงศาวดารจีนครองราชย์ระหว่าง ๒,๐๕๔ ถึง ๑,๘๗๑ ก่อนพุทธศักราช พระองค์เป็นต้น
ตระกูลของชนชาวไทย – ไทย ซึ่งลูกหลานในภายหลังได้กลายเป็นชาวดอยไปในมณฑล
ฮูนาน กวางตุ้ง กวางสี กุยจิว เสฉวน และหยุนนาน ซึ่งชนจีนได้พบชาวดอยนี้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น
ไปโน่นเลย สมัยพระนารายณ์เก่าไม่พอ
สรุปว่า ไม่เชื่อว่ะ
บันทึกการเข้า
Neoconservative
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 407


We protect the Kingdom


« ตอบ #2 เมื่อ: 18-09-2006, 08:51 »

ความพยายามในการ บังคับให้เดิน จากต่างชาติมีมานาน จนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่อยากจะฝากไว้ คือ คนไทยช่วยกัน คัดสรร เฟ้นหา นำมา เฉพาะแต่สิ่งที่ดีๆ เข้าประเทศ

อย่าลืม ความจงรักภักดี ให้มีความภาคภูมิใจ ในเบื้องสูง จากใจจริง

----We protect the Kingdom----
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 18-09-2006, 10:38 »

 ขณะนี้โลกเรากำลังตกอยู่ในภาวะสงคามโลกครั้งที่ 3  เป็นสงครามก่อการร้าย รูปแบบแตกต่างกับการยกกองทัพเข้าฟาดฟันกัน จากสงครามโลกทั้งสองครั้ง

และเรากำลังตกอยู่ในยุคล่าอานานิคม แต่ไม่ใช่ด้วยการยกกองทัพมายึดครอง ขับไล่ผู้ปกครองเก่าไป  แต่เป็นการล่าทางเศรษฐกิจและครอบงำทางสังคม   ครอบครองทรัพยากรเศรษฐกิจ ครอบงำทางความคิด

การครอบงำทางความคิดของคนนั้น ผ่านทางการศึกษาเป็นหลัก  ทาสของประเทศทางตะวันตกนั้น เริ่มจากคนที่ไปศึกษายังที่เหล่านั้น และรับเอาความคิดของพวกตะวันตกมา มองเห็นบ้านเมืองตัวเองไม่ศิวิลัยซ์

เมื่อเราส่งคนไปเรียนเมืองนก ก็เริ่มตกเป็นทาสทางความคิดของประเทศเหล่านั้น จนเกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง และจนมาถึงทุกวันนี้ เราเป้นทาสของตะวันตกเกือบจะทุกด้านแล้ว

การทำลายสถาบัน เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดในการครอบครองอำนาจอย่างหมดจด เพราะนี่เป็นหลักยึดเหนี่ยวสุดท้ายของประเทศไทย หากทำลายได้ นับแต่นี้เมืองไทยจะกลายเป็นทาสอย่างสมบูรณ์  ชนชั้นปกครองกับประชาชน จะห่างกันราวนายทาสและทาสในยุคกลาง รากหญ้าได้กินหญ้าสมใจโง่แน่นอนค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: