รายงาน:เปิดบัญชีชินคอร์ปจ่ายภาษีย้อนหลัง10ปี9 พฤศจิกายน 2549 08:00 น.ผล จากกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังกับ 2 ทายาท"ทักษิณ" กรณีซื้อขายหุ้นชินมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท
และยังผลให้นำไปสู่ คตส.ได้ช่องที่จะใช้อำนาจเข้าไปตรวจสอบภาษีย้อนหลังของ"ตระกูลชินวัตร - ดามาพงษ์"
ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับหุ้นชิน 3 ครั้ง เป็นเงิน 11,411.6 ล้านบาท...ยังไม่รวมเบี้ยปรับ
สืบเนื่องจากวันที่6 พฤศจิกายน 2549 กรมสรรพากร แทงหนังสือเรียกเก็บภาษีไปยัง นายพานทองแท้ และน.ส.
พิณทองทา ชินวัตร ทายาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าได้รวบรวมข้อเท็จจริงใหม่
ซึ่งพบว่าบุคคลทั้งสองเข้าข่ายต้องเสียภาษี จากกรณีซื้อขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อ 23 มกราคม 2549 และต้องยื่นเสีย
ภาษีกลางปี ณ สิ้นเดือนกันยายน 2549
ขณะเดียวกันคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ระบุชัดแล้วว่าจะเข้าไปตรวจ
ทุกกรณีของการซื้อขายหุ้นชินย้อนหลังไปถึงปี 2540 ถ้ายังไม่พ้น10 ปีหรือยังไม่หมดอายุความด้านภาษี จึงชัดเจน
ว่า จะไม่จำกัดแค่เฉพาะกรณี "พานทองแท้ - พิณทองทา"
รานงานข่าวแจ้งว่าการซื้อขายหุ้นชินในตระกูล"ชินวัตร" และ"ดามาพงษ์" ที่อยู่ในข่าย คตส.จะเข้าตรวจสอบเกิดขึ้น
ใน 3 กรณีด้วยกัน
กรณีแรกเมื่อวันที่7 พฤศจิกายน 2540 นายบรรณพจน์ดามาพงศ์ พี่ บุญธรรมคุณหญิงพจมาน
ชินวัตร ซื้อหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ฯ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ
164 บาท เป็นเงิน 738 ล้านบาท จากนางสาวดวงตาวงศ์ภักดี คนรับใช้แต่คณะ กรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจพบว่า แท้ที่จริง นายบรรณพจน์ ไม่ได้ซื้อหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด การซื้อขายผ่าน
ตลาดหุ้นเป็นเพียงนิติกรรมอำพราง เพราะเงิน(เช็ค) ที่จ่ายผ่านโบรกเกอร์ เป็นเงินของคุณหญิงพจมานเอง
กรณีดังกล่าวกรมสรรพากรอ้างว่า การที่คุณหญิงยกหุ้นชินวัตรฯ ให้นายบรรณพจน์ เป็นการให้ตามประเพณีและอุป
การะโดยธรรมจรรยา ทั้งๆ ที่นายบรรณพจน์ มีหน้าที่การงานมั่นคงและเงินเดือนสูง การอ้างดังกล่าวจึงขัดต่อแนวคำ
พิพากษาศาลฎีกา
ดังนั้นถ้านายบรรณพจน์ ต้องเสียภาษีจะคิดเป็นเงิน 273 ล้านบาท
กรณีที่สองเมื่อ วันที่1 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ - คุณหญิงพจมาน ขายหุ้นชิน ให้ "พาน
ทองแท้" 73,395,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 150 บาท ทำให้ พานทองแท้ ได้รับผล
ประโยชน์จาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นเป็นเงิน 10,275 ล้านบาท
ถ้าต้องจ่ายภาษีคิดเป็นเงินประมาณ 3,800 ล้านบาท
ขณะที่คุณหญิงพจมานขายหุ้นชินคอร์ป ให้นายบรรณพจน์ จำนวน 26,825,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะที่
ราคาตลาด 150 บาท ดังนั้น นายบรรณพจน์ จึงย่อมได้รับผลประโยชน์จาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นเป็นเงิน 3,755 ล้าน
บาท
ถ้าต้องจ่ายภาษีคิดเป็นเงินประมาณ1,389 ล้านบาท
นอกจากนั้นวันเดียวกันพ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นชินคอร์ปให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร น้อง สาว2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้น
ละ 10 บาท ขณะที่ราคาตลาด 150 บาท ทำให้นางยิ่งลักษณ์ได้รับผลประโยชน์จาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นเป็นเงิน
280 ล้านบาท
ถ้าต้องจ่ายภาษีคิดเป็นเงิน103.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินภาษี กว่า 5,292.6 ล้านบาท
ครั้งที่สามเมื่อ วันที่20 มกราคม Ample Rich ขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด 329.2 ล้านหุ้น ในราคา
หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาด 49 บาท ให้แก่นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา บุคคลทั้งสองจึงได้รับผลประ
โยชน์จาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้น 15,802 ล้านบาท
ถ้าต้องจ่ายภาษีคิดเป็นเงิน5,846 ล้านบาท
ดังนั้นรวมเป็นเงินภาษีจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปทั้ง 3 ครั้ง โดยยังไม่รวมเบี้ยปรับเงินเพิ่มอีกมหาศาล เป็นเงินต้น
11,411.6 ล้านบาท
การตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลังของบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามประมวลรัษฎากร ที่ให้อำนาจกรมสรรพากร สา
มารถตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลังได้ 10 ปีคตส.จึงใช้อำนาจที่มีอยู่ไปตรวจสอบการเสียภาษีของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ทั้ง หมดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพื่อดูว่ามีการยื่นแบบการเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะตามกฎหมาย
ประมวลรัษฎากร กำหนดให้ กรมสรรพรกร สามารถเก็บภาษีย้อนหลัง กับบุคคลที่ไม่ยื่นแบบแสดงการเสียภาษีได้ถึง
10 ปี
อย่างไรก็ตามหากผู้เกี่ยวข้องมีการยื่นแบบเงินได้แล้ว แต่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ตามประมวลรัษฎากร ก็ให้อำนาจกรม
สรรพากร เก็บภาษีย้อนหลังได้ 5 ปี ที่สำคัญขณะนี้ต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากมีบางรายที่คดีกำลังใกล้หมดอายุความ
'พิณทองทา'เข้าข่ายม.41 เสียภาษีขายหุ้นเทมาเส็ก
นอกจากนี้ในการซื้อขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ของ น.ส.พิณทองทาก็ ต้องพิจารณาว่ารายได้ที่เกิดขึ้นตรงตาม มาตรา
41 ของประมวลรัษฎากรที่กำหนดให้ผู้ที่มีเงินได้ที่อยู่ในต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีเงินได้
หากนำเงินได้ดังกล่าวเข้าประเทศแล้วอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือหลายระยะเวลารวมกันแล้วถึง180 วัน
เพราะระหว่างการซื้อขายหุ้นนั้น น.ส.พิณทองทากำลังอยู่ระหว่างการเรียนต่อในต่างประเทศ จึงอาจจะยังไม่ต้องเสีย
ภาษีเงินได้ หากพำนักอยู่ในประเทศไม่ครบ 180 วันแต่ถ้าน.ส.พิณทองทาอยู่ในประเทศครบ 180 วันหลังขายหุ้นก็จะ
ต้องเสียภาษีเงินได้
ทั้งนี้หากพิจารณาจากข้อเท็จจริง รายได้ที่ น.ส.พิณทองทาได้รับจากการขายหุ้นนั้น เป็นรายได้ที่เกิดจากการทำธุรกรรม
ในประเทศ หลังจาก น.ส.พิณทองทานำหุ้นที่ซื้อมาจาก"แอมเพิลริช" ในราคา 1 บาทขายต่อให้กับกลุ่มเทมาเส็กในราคา
40 บาททำให้ น.ส.พิณทองทา ต้องเสียภาษี จากการขายหุ้นให้กับกองทุนเทมาเส็ก
สำหรับมาตรา41ของประมวลรัษฎากรกำหนดว่า "ผู้มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจ
การที่ทำในประเทศหรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้อง
เสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ อยู่ในประเทศมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา
40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ
ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้น เข้ามาในประเทศไทย ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่ว
ระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย"
ดังนั้นกรณีการขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเสก ของ น.ส.พิณทองทาจึงเข้าข่าย มาตรา 41 วรรค2 เพราะเงินได้ที่น.ส.พิณ
ทองทาได้รับเป็นเงินได้ที่เกิดจากการทำธุรกรรมใน ประเทศไทย
จากนี้ไปประชาชนต้องรอการพิสูจน์หลักนิติธรรมที่จะต้องดำเนินการเปิดบัญชีขุมทรัพย์ที่เลี่ยงภาษีนี้ได้หรือไม่
http://www.bangkokbiznews.com/level3/news_119424.jspขุดฉลองให้บิ้กสรรพากร
อยากจะบอกว่าไม่สงสารเลยซักนิด