ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 02:53
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  @@ อ่านวรรณกรรมออนไลน์ - 01 ขุนทอง เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง/อัศศิริ ธรรมโชติ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
@@ อ่านวรรณกรรมออนไลน์ - 01 ขุนทอง เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง/อัศศิริ ธรรมโชติ  (อ่าน 4399 ครั้ง)
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« เมื่อ: 14-09-2006, 01:28 »

ขุนทอง เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง
อัศศิริ ธรรมโชติ
          
           ร่ำลือกันมาตั้งแต่ฝนเข้าพรรษาว่า เจ้าขุนทองมันจะได้กลับมาบ้าน มาเป็นผู้คนพลเมืองอย่างเพื่อนบ้านคนอื่นได้ ก็เห็นจะคราวนี้แหละ! ถึงแม้ฝนจะยังไม่มาทุ่ง นาจะยังแล้ง น้ำในหัวใจของแม่อันเคยเหือดแห้งก็กลับฉ่ำขึ้นอย่างประหลาดล้นเหลือ...
        แม่กระวีกระวาดตระเตรียมตัวไปรับการกลับมาของเจ้าขุนทอง...
        เจ้าขุนทองมันสะพายย่าม ทิ้งเรือนหายลับไป นับแต่กลางฤดูฝนปีที่แล้ว โดยไม่ร่ำลาอาลัย โดยไม่บอกให้ใครแม้แต่แม่ รู้ข่าวว่ามีคนเห็นมันกลั้นสะอื้นไปคนเดียวด้วยสองมือว่างเปล่า เข้าไปป่ากว้างอันอ้างว้าง-มืดมน
        “ดาบล่ะ! เอ็งไม่เอาไปด้วยหรือ?” คนสวนทางซักถาม
        “ไม่ต้อง ข้าไปหาเอาข้างหน้าได้”
        เจ้าขุนทองมันว่าอย่างนั้น ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินหายเข้าป่าไป!
        แม่ลงเรือพายทวนกระแสน้ำในลำคลองที่ไหลระเรื่อย อ่อนราด้วยน้ำน้อยฝนแล้งนั้นไปอย่างช้าๆ เมื่อฟ้าสาง ตรงข้ามกับหัวใจที่ร้อนรนรีบเร่งล่วงไปแล้วข้างหน้า คือศาลากลางเมืองที่เขาจัดไว้ รอรับให้เจ้าขุนทองมันกลับมา...ไยจะไม่ดีใจ ไยไม่อยากเห็นหน้า ก็มันร่วมปีแล้วละนี่ ที่มันได้จากบ้านไป แม่วาดภาพลูกชายในห้วงคิดคำนึง พลางหันหน้าบอกบ่าวให้เร่งฝีพายมันเร็วขึ้น
        “ถ้าขุนทองไม่กลับมาล่ะ แม่เฒ่า?” บ่าวฝีพายเอ่ยถาม
        “กลับซี! มันต้องกลับ...มันต้องคิดถึงแม่ ข้ารู้ใจ”
        แม่ยืนยันถ้อยคำกับบ่าวในบ้านอย่างแข็งขัน แต่สีหน้าปีติผันแปรเปลี่ยนเป็นสลดซีดลงอย่างสังเกตเห็นได้ชัด
        “ถ้าขุนทองไม่กลับมา!”คำนี้สะดุดหัวใจนักแล้ว
        ยิ่งนึกถึงตอนที่ขุนทองมันร้องไห้ในวันเกิดเหตุใหญ่แล้ว แม่ยิ่งใจหายหนัก! ยังจำได้ว่าก่อนมันจะหายหน้าไป มันนอนร้องไห้รำพันอยู่ในเรือนจนดึกดื่น
        แม่รู้ว่า ขุนทองมันโกรธมันน้อยใจ-แต่มันน้อยใจใครโกรธใคร จนป่านนี้แม่ไม่รู้
        อดนึกย้อน สะท้อนใจ สงสารไปถึงความโกรธของเจ้าขุนทองมันไม่ได้ว่า ทำไมหนอมันถึงได้มากมาย ถึงกับมันต้องตัดใจทิ้งถิ่นฐาน บ้านช่อง และทิ้งแม่ไปได้-ทิ้งความสุขในชายคาบ้านไปเคว้งคว้างอยู่กลางป่า เป็นปฏิปักษ์ต่อบ้านเมืองให้กฎหมายลงทัณฑ์
        และนี่ขุนทองมันจะแลกบ้านแลกแม่เพียงเท่านั้นหรือ...? ไม่น่าเป็นไปได้! แม่ร้องค้านอยู่ในใจ...
        แสงเรื่อรางสว่างสลัวพ้นขอบฟ้าเหนือเวิ้งคลองเห็นรำไรข้างหน้า สุมทุมพุ่มไม้สองฟากฝั่งมองอับเฉามัวหม่นอยู่ในความวิเวก กระท่อมทับ โรงนา และเรือนไม้ที่เรือพายผ่านไป ซ่อนอยู่ในเงาไม้เป็นเงาตะคุ่มแลทะมึนเปล่าเปลี่ยวและเหงา เหมือนกับเรือนร้าง ในฉับพลันช่วงนั้นและในเรือนหัวใจที่หวั่นไหวไม่เป็นส่ำ แม่แว่วเสียงขุนทองมันเจื่อยแจ้วเหนือสุมทุมพุ่มไม้รายคลองอันวิเวกนั้น
        “ฉันมั่นใจนะแม่ ว่าสองมือเปล่าๆ นี้จ้ะอาชนะมันได้”
        “มันน่ะใครล่ะ?”
        ขุนทองไม่ตอบแม่ในตอนนั้น แต่ออกท่าทางเกรี้ยวกราดเหมือนโกรธแค้นใครมา เมื่อรำคาญนักแม่ก็ว่า “เอาเถอะ! อย่าฆ่าฟันกันก็แล้วกัน” ขุนทองมันได้ยินดังนั้นแล้วก็หัวเราะ ประกายตาสดใสอยู่ด้วยร่องรอยของวัยเด็ก
        แม่ไม่เคยนึกสักนิดว่าในกาลต่อมา มันจะไปถือดาบเที่ยวคลุกอยู่กับเลือดและความตายท่องอยู่ตามป่าเขาและดงดิบกันดารไกล ทั้งทีก็ไม่เคยเห็นมันจับดาบนอกจากหนังสือหนังหาที่มันรักของมัน!
        นกสองฝั่งคลองส่งเสียงเพรียก เหมือนเรียกภวังค์อันหวั่นไหวให้กลับคืนมา ฟ้าสางอย่างเต็มที่ จนแลเห็นควันไฟลอยล่องอยู่เหนือ ณ แมกไม้ไกลลิบ-สีขาวมัวอ้อยอิ่งตัดกับแสงมลังเมลือง ณ ขอบฟ้าโพ้นไกล
        “แกว่า ขุนทอง มันจะไม่กลับมางั้นรึ?” แม่หันมาถามบ่าวฝีพายเมื่อเห็นนั่งใบ้จ้ำพายอยู่เหมือนหุ่น
        “แล้วแม่เฒ่าว่าจะกลับไหมล่ะ?” บ่าวฝีพายย้อนถาม
        “ข้าว่ามันต้องกลับ ข้ามั่นใจ!”
        บ่าวฝีพายมันพยักหน้าแล้วจ้ำพายเร็วแรงขึ้น...
        ขุนทองมันหายลับ เข้าป่าไปนับพรรษาปีก่อน ปล่อยความทุกข์เข้าครองเรือนครองหัวใจของแม่มาแล้วก็นานนักหนา...ณ บัดนี้ถึงอย่างไรแม่ก็ยังปลงใจเชื่อว่ามันจักต้องหวนกลับมาสู่ความสุขแห่งครอบครัว และความรักความอบอุ่นอันเป็นมารดาที่เที่ยงแท้ แน่นอน
        ความโกรธแค้นนั้นแม้นมาก ก็จะต้องหายไปได้ด้วยกาลเวลาบ่เลือน ความสุขแต่หนหลังจะเรียกหาภยันตรายในป่าใหญ่จะผลักดันให้มันกลับ-เจ้าขุนทองจะต้องทิ้งดาบออกจากป่ามาบ้าน และฟ้าสางวันนี้มีหรือจะไม่มีมัน?
        แม่เตรียมด้ายมาผูกมือรับขวัญและเตรียมข้าวของเครื่องใช้มาให้ขุนทองแล้ววันนี้!
        บ่าวเหเรือเข้าท่า เมื่อตะวันสายพราวแสงเป็นตัวเต้นระริกจับผิวน้ำในลำคลอง แล้วสองคนกับบ่าว  แม่ก็เร่งฝีเท้าออกเดินดุ่ม มุ่งมั่นไปยังศาลากลางเมือง
        “เขาตายแล้วล่ะ!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกแม่
        แม่ร้องไห้...ขุนทองตายเสียแล้ว!
        “เจ้าพบศพเขารึ?” แม่ถาม
        “ไม่-ไม่ใช่ศพเขา พบตัวเขานั่นแหละ เขาให้บอกแม่ว่าเขาตายแล้ว” เด็กหนุ่มคนนั้นว่า
        “เขาอยู่กับใคร?”แม่ถามอีก
        “เขาอยู่กับดาบน่ะซี! ดาบเปื้อนเลือด...รอยคราบของความชิงชัง!” เด็กหนุ่มตอบ
        เรือของแม่ล่องตามน้ำกลับบ้านเมื่อตะวันตรงหัว พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้กองเต็มลำเรือเหมือนเก่า เจ้าขุนทองมันโกรธใคร แรงแค้นมากมายถึงป่านนี้ ถึงสู้ตายไปจากแม่และเหย้าเรือนโดยไม่กลับมาอีก และจนป่านนี้แม่ก็ไม่รู้ หาคำตอบไม่ได้
        เสียงพายกระทบน้ำเป็นจังหวะอยู่ในความเงียบ แม่เริ่มร้องไห้ออกมาอีก เมื่อนึกถึงความเงียบความว้าเหว่ภายในเรือนของแม่ที่ยืนรออยู่ข้างหน้า และนานนับขวบปีแล้วที่ขาดร่างขาดเงาของเจ้าขุนทองเหมือนก่อนเคย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2006, 09:24 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
พระพาย
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679



« ตอบ #1 เมื่อ: 14-09-2006, 03:15 »

งานของอัศศิริเป็นงานที่ผมชอบมาก... แกเขียนด้วยภาษาที่เรียบง่ายลื่นไหล... เรื่องนี้ถือเป็นผลงานที่ทำให้คุณอัศศิริเป็นที่รู้จัก ตามมาด้วย "เหมือนทะเลมีเจ้าของ"

ว่าแต่ว่าเอางานของเขามาลงจะมีปัญหาหรือไม่?
บันทึกการเข้า

คลิป นปก บุกทำเนียบชนพันธมิตร
http://pirun.ku.ac.th/~g4685035/01mob.asf
กระทู้ขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ดร่วมคัดคัดกรณีปราสาทพระวิหาร นำโดยคุณ *bonny http://forum.serithai.net/index.php?topic=28065.0
และเอกสารยื่นคัดค้านกระทรวงต่างประเทศไทยและกัมพูชา  http://www.savefile.com/files/1629973
กระทู้สรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://forum.serithai.net/index.php?topic=28392.0
ใบปลิวขนาด 2 หน้าสรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://www.savefile.com/files/1626944

แม่น้ำร้อยสายล้วนต้นกำเนิดเดียวกัน... จากสายฝน จากภูเขา ที่ซึ่งคล้ายเจตนารมณ์แห่งฟ้า
เสรีไทยเวบบอร์ด http://forum.serithai.net/
We Open Mind http://www.weopenmind.com/board/index.php
อรุณสวัสดิ์ http://www.arunsawat.com/board/index.php
ที่ทำการเสี่ยวอีสาน[
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #2 เมื่อ: 14-09-2006, 09:32 »

ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ
เพราะนำมาเผยแพร่ให้อ่านเป็นวิทยาทาน
ไม่ได้นำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
และก็ไม่ได้ไปแก้ไข ดัดแปลง หรือเปลี่ยน/ลบ ชื่อผู้เขียนออก ให้คนอ่านไขว้เขว ว่าเป็นงานของใครกันแน่ แต่อย่างใด

ผมจะพยายามหามาให้อ่านเรื่อย ๆ
อันดับแรกขอเป็นนักเขียนระดับรางวัลซีไรต์ก่อน
เรื่องแรกที่ผ่านไป "ขุนทอง เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง" ของนักเขียนซีไรต์ พ.ศ. 2524 อัศศิริ ธรรมโชติ และเป็นศิลปินแห่งชาติด้วย

เรื่องที่ 2 ที่จะโพสต์ต่อไป คือ "มีดประจำตัว" ของ ชาติ กอบจิตติ นักเขียนซีไรต์ 2 สมัย จากนิยาย "คำพิพากษา" (2525) และ "เวลา" (2537)
ชาติ กอบจิตติ เขียนเรื่องสั้นไว้ไม่มากนัก "มีดประจำตัว" เป็นเรื่องหนึ่งที่ดังมากของเขา
ชาติ กอบจิตติ ได้รับเกียรติเชิดชูเป็น ศิลปินแห่งชาติ ด้วยเช่นกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2006, 09:33 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #3 เมื่อ: 14-09-2006, 09:38 »

มีดประจำตัว
ชาติ กอบจิตติ



          เรามาถึงมาเลี้ยงเวลาหนึ่งทุ่มตรงพอดี  ลูกชายของผมมีอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนภรรยาผมจะดูเร่งร้อนผิดปกติสักหน่อย  ผมเข้าใจว่าเธอคง “หิว”  มากกว่าอย่างอื่น  เพราะงานเลี้ยงเช่นนี้เธอเคยผ่านมากับผมนับครั้งไม่ถ้วนซึ่งไม่จำเป็นจะต้องตื่นเต้นอีกเลย
          ภายในห้องโถงใหญ่สว่างไสวด้วยไฟโคมระย้าย้อยห้อยอยู่กลางห้อง  เสียงเปียนโนคลออยู่เบา ๆ ผู้คนค่อนข้างหนาตา  เสียงพูดคุย  เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วเสียงเครื่องดื่มรินไหล  คละเคล้าเข้าหูอย่างไม่เป็นระเบียบพรมหนานุ่มสีแดงเลือดคนรองรับรองเท้าที่เคลื่อนไหวไป-มา
          ผมมองหาเจ้าภาพแต่ก็ไม่เห็น  จึงพาลูกชายและภรรยาเดินเข้ามาทักทายผู้คนพอเป็นพิธีก่อนขอตัวเดินจากไปยังโต๊ะของเรา  ถ้าเป็นโอกาสอื่นผมคงต้องยืนดื่มพูดคุยกับคนอื่น ๆ สักเล็กน้อย  เพื่อรอคอยพิธีเริ่มต้นของงาน
          แต่วันนี้  ผมจำเป็นต้องแนะนำอะไรบางอย่างให้ลูกชายเข้าใจ  ผมไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดขึ้นก่อนถึงเวลานั้น  คืนนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญของเขา  มันจะบ่งชี้ว่าลูกชายของผมจะเป็นคนในระดับผมได้หรือไม่ หรือว่าเขาจะล้มเหลวกลายเป็นพวกมนุษย์ชั้นต่ำ  ซึ่งผมและภรรยาไม่อยากให้ลูกเป็นเช่นนั้น
          ดังนั้นผมจำเป็นต้องสร้างความรู้สึกที่ดีให้เขา  เพื่อเขาจะได้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบในระดับเราสืบต่อไปในอนาคต
          “ดื่มเสียหน่อยสิ”  ผมส่งแก้วเครื่องดื่มให้ลูก  ซึ่งหยิบจากถาดของคนรับใช้ประจำงาน
          “ค่อย ๆ จิบนะ”  เสียงภรรยาผมเตือนเบา ๆ เธอคงเกรงว่าลูกชายจะมึนเมาก่อนถึงเวลาอันควร
          เมื่อเรามาถึงโต๊ะที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ คนรับใช้ประจำโต๊ะโค้งให้  แล้วเลื่อนเก้าอี้บุนวมให้นั่งทีละคน  ท่าทีเขาดูสุภาพนุ่มนวล  แต่แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว
          ผมทรุดกายนั่งลงอย่างสบาย  แล้วค่อย ๆ ดึงมีดประจำตัวออกจากปลอก วางลงบนที่วางมีดบนโต๊ะภรรยาผมเปิดกระเป๋าถือหยิบ  “มีดประจำตัว”  ของเธอขึ้นมา  ดึงมีดออกปล่อยปลอกร่วงลงกระเป๋า  เธอวางมีดเปลือย  ลงบนที่วางไว้บนเบื้องหน้า  มีดของเธอรูปร่างเรียวเล็กบอบบางด้ามงาสวยงาม  เป็นธรรมดาของผู้หญิงที่ชอบของสวยของงาม  แต่ความคมของมันไม่ผิดกับความสวยของงูที่ซ่อนพิษไว้
          “เอามีดออกมาวางซิจ๊ะ”  ภรรยาผมเตือนลูก
          อาการตื่นประหม่ายังไม่เหือดไปจากเขา  เขาค่อย ๆ ดึงมีดขึ้นมามือสั่นเล็กน้อย  ใบมีดสะท้อนไฟวูบเข้าตาผม  แล้ววางลงบนที่รองรับอย่างเคอะเขิน
          มีดประจำตัวของเขาที่วางสงบคอยเหยื่ออยู่เบื้องหน้านั้น  ผมเป็นคนพาเขาไปเลือกซื้อให้เอง  หลังจากเขาได้รับอนุญาตให้เอามีดประจำตัวไว้ในครอบครองได้ซึ่งน้อยคนนักจะได้รับโอกาสงดงามเช่นนี้  ถ้าเทียบกับจำนวนพลเมืองทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองเรา  เราเป็นกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวที่มีสิทธิ์มีมีดประจำตัว  ที่เหลือนอกนั้นเป็นมนุษย์ขั้นต่ำ
          “ตรวจดูให้เรียบร้อย ลูกจะต้องใช้มันได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะที่ไหน  ไม่ว่าจะหิวหรือไม่ก็ตาม  จำไว้ว่ามีดของลูกจะต้องตื่นเสมอ…”  ผมจดจำของของพ่อมาตลอดและถึงวันนี้ผมกำลังถ่ายทอดให้ลูกชายฟัง
          “จำเอาไว้  มีดต้องคมอยู่ตลอดเวลาพร้อมที่จะจ้วงเฉือนได้ทุกเมื่อ”
          “ผม  ผมไม่กล้าทำครับ”
          “พูดอะไรอย่างนั้นลูกเอ๋ย  แม่เป็นผู้หญิงแท้ ๆ แม่ยังไม่เคยนึกกลัว
          “ครั้งแรกพ่อก็เคยพูดแบบนี้แหละ..เอาไอ้นี่อีกสองแก้ว”  ผมชูแก้วขึ้นโดยมิได้หันไปมองคนรับใช้ประจำโต๊ะผมรู้ว่าเขาต้องพร้อมที่จะรับคำสั่งอยู่ตลอดเวลา  เขาเป็นไอ้คนประเภทที่ไม่มีสิทธิ์มีมีดประจำตัว  เขารู้ตัวดีว่าจะต้องไม่ทำอะไรให้คนอย่างผมโกรธ
          “ระวังไอ้แก่นั่นไว้  ถึงเวลาแล้วอย่าไปยืนใกล้มันเหลี่ยมมันจัด”
          “คนที่ใส่ชุดสีครีมนั่นไง”  ภรรยาผมแอบชี้
          “อย่าไปมองมัน ฟังพ่อ  มันชอบทำมีดของมันร่วงอยู่เรื่อย  ตอนชุลมุนกัน  บางทีโดนนิ้วพวกเรากันเองขาดหลายคนเคยโดน..ขอบใจ…เอ้าดื่มเสียอีกแก้ว  เดี๋ยวคงได้เวลา”  ผมส่งแก้วเครื่องดื่มให้ลูก
          “ถึงลูกจะคบหากับไอ้พวกที่มีมีดประจำตัวด้วยกันแต่ก็อย่าไว้ใจใคร”  ภรรยาผมเสริมขึ้น
          “ตอนออกไปคอยระวังตัวไว้  อย่าอยู่ห่างพ่อกับแม่นัก”
          “….สวัสดีค่ะ”  ภรรยาผมยกมือไหว้  ผมเอี้ยวตัวมองเบื้องหลัง
          “สวัสดีครับ”  ผมลุกขึ้นยืน   เราเขย่ามือกัน
          “ลูกรู้จักกับลุงเขาเอาไว้สิ”  ลูกชายผมยกมือไหว้
          “ครับ   นี่ลูกชายผมเอง  เขาเพิ่งได้รับสิทธิ์ให้มีมีดประจำตัวได้ในวันนี้…”
          “อ๋อ  เอ……มีดประจำตัวสวยดีนี่”  เขาเหลือบมองที่โต๊ะพลางเอื้อมือหยิบขึ้นมาลูบคลำเล่น
          “บ๊ะ  คมดีเสียด้วย”  เขาพูดกับลูกผม
          “คุณพ่อพาผมไปเลือกครับ”
          “คืนนี้เลยพามาลอง….”  เขาพูดกับผมในขณะวางมีดลงที่เดิม
          “ครับ  ครั้งแรกของเขา”
          “เอ้อดี  นั่งตรงนี้พอดีใกล้โต๊ะอาหาร…สนุกแน่พ่อหนุ่ม”  เขาหัวเราะให้ลูกชายผมอย่างกันเองก่อนเดินผละไป คนรับใช้ประจำโต๊ะหลบตาลงต่ำยามเมื่อเขาเดินผ่าน
          “แกมีบริษัทส่งมนุษย์ชั้นต่ำออกขายทั่วโลก”
          “คงร่ำรวยน่าดูใช่ไหมพ่อ?”
          “อะไรกันร่ำรวย…”  ภรรยาผมแทรกขึ้นมา  “…..คำว่าร่ำรวยนั้นเอามาใช้วัดจำนวนเงินของแกไม่ได้หรอก”
          “แกเป็นเจ้าภาพงานนี้”
          “นี่เนื่องในโอกาสอะไรครับ?”
          “ไม่มีอะไรสำคัญ  เพียงแต่สังสรรค์กันธรรมดา ๆ”
          “แม่กับพ่อคิดว่าไหน ๆ วันนี้ลูกก็มีมีดประจำตัวแล้ว จึงอยากให้ลูกลองใช้มัน  ครั้งแรกคิดว่าจะให้ลูกลองที่บ้าน  แต่คิดอีกทีว่าพามางานเลี้ยงนี้น่าจะสนุกกว่า…”
          ภรรยาผมอธิบายให้ลูกฟังยืดยาว  เขานั่งฟังเนือย ๆ ผมคิดว่าเขาน่าจะกระตือรือร้นมากกว่านี้  ผมค่อนข้างวิตกว่าเขาจะกลายเป็นไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ  แววตาเขาไม่หิวกระหายเหมือนอย่างพวกเรา  เขาน่าจะรู้ว่าเขามีโอกาสดีเพียงใดที่สามารถมีมีดประจำตัวได้  มีคนอีกจำนวนมหาศาลที่พยายามไขว่คว้าหามีดประจำตัว  แต่ไร้ผลบางคงลงทุนถึงขนาดเป็นนายหน้าค้า-ขายพ่อแม่  พี่น้องตัวเอง  เพื่อจะได้สิทธิในการมีมีดประจำตัว  บางคนวิ่งเต้นเดินทางไปต่างประเทศ  เพื่อให้ทางโน้นรับรองในการขอสิทธิ์มีมีประจำตัว  หลายคนยอมอยู่นอกกฏหมายเพื่อแสวงหามีดประจำตัว  แต่ลูกชายผมคงไม่ได้คิดถึงความยากลำบากเท่านั้น  เพียงแต่ผมยกบริษัทในเครือให้เขาสองบริษัทเท่านั้น  เขาก็ได้รับสิทธิ์ในการมีมีประจำตัวทันที  หรืออาจเป็นเพราะมันง่ายเกินไปเขาถึงไม่ค่อยสนใจ
          “…ทุกอย่างจะเรียบร้อยลูก  ไม่มีอะไรน่ากลัว  แม่กับพ่อจะคอยดูแลลูกตลอดเวลา…”  เสียงภรรยาผมสรุปให้ลูกฟัง
          “ผมทำไม่ได้หรอกแม่   มันน่าขยะแขยง น่ารังเกียจ”
          “ถ้าแกจะผ่าเหล่าผ่ากอก็ตามใจแก  คิดให้ดีก็แล้วกัน  เพราะนั่นหมายถึงวิถีชีวิตแกต้องเปลี่ยนไป  เป็นไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ  อีกหน่อยถ้าแกมีเมียมีลูก  อดอยากเข้าก็ต้องเอาลูกมาขายเป็นลูกค้าข้างถนน  ให้คนมีมีดประจำตัวเขาซื้อไปแล่เนื้อเถือหนัง  ดูดเลือดดูดสมองมากิน  รึตัวแกเองก็เถอะ  ถึงเวลานั้นอย่ามาร้องโอดโอยกับฉันก็แล้วกัน    ฉันช่วยอะไรแกไม่ได้…”  ผมไม่ได้ตั้งใจขู่ลูกเลยเพียงแต่เล่าความจริงให้เขาฟัง  แต่ในน้ำเสียงอาจจะมีอารมณ์ขุ่นมัวปะปนอยู่บ้าง
          “ ลูกก็เคยเห็นไม่ใช่หรือจ๊ะ  เวลามีนายหน้านำพวกมนุษย์ชั้นต่ำมาขายที่บ้านเราน่ะ  ลูกสังเกตบ้างหรือเปล่าว่าพวกมนุษย์ชั้นต่ำที่เราซื้อไว้ครั้งละคนสองคนนั้นมันหายไปไหนหมด…”  ภรรยาผมพูดเสียงกรีดกรายกับลูกฟังคล้ายเธอกำลังข่มขู่พวกมนุษย์ชั้นต่ำ
          “ผมทราบครับ  ผมถึงว่ามันน่าขยะแขยง  น่าสงสารเขาด้วย”
          “ลูกยังไม่เคยลองน่ะสิลูกถึงพูดแบบนี้  พ่อเองอยากให้ลูกได้ลองเหมือนกัน  แต่ติดว่าตอนนั้นลูกยังไม่มีมีดประจำตัว  วันนี้ถึงได้พามาลองดู  เอาน่าลองดูสักที  ถ้าไม่ชอบหรืออย่างไรพ่อก็ไม่ว่า  ตกลงนะลูกนะ”  ผมใช้น้ำเย็นเข้าลูบ  เขาไม่ตอบอะไรเพียงแต่นั่งก้มหน้านิ่ง
          “ดื่มเสียอีกหน่อยสิ  มันจะช่วยให้ดีขึ้น”  ผมบอก
          เขายกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้ววางลง  สายตาเขามองที่คนรับใช้ประจำโต๊ะ  ผมรู้ว่าลูกชายผมกำลังมีเมตตาต่อพวกมนุษย์ชั้นต่ำ….
          …เสียงเปียนโนหยุดเล่น  ไฟหรี่ลง  ผู้คนที่ยืนคุยต่างรู้นัยกัน  พวกเขาค่อย ๆ แยกย้ายกลับนั่งตามโต๊ะของตัวเองเพียงครู่เดียวก็เงียบสงบอยู่ในความสลัวราง  ไปบนเวทีเปิดส่องลงเป็นวงกลม  เจ้าภาพเดินมาหยุดยืนกลางแสงไฟ  เสียงเขาดังขึ้นอย่างผู้มีอำนาจ  ตามลักษณะของพวกเรา
          “….สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย  ผมขอรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านสักเล็กน้อย  ก่อนจะถึงเวลาอาหารที่ผมจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเรา….”
          ภรรยาผมจัดแจงผู้ผ้ากันเปื้อนให้ลูกชาย  ซึ่งเธอเองเป็นคนเลือกซื้อมาสำหรับวันนี้โดยเฉพาะ  เธออวดผมเมื่อตอนเย็น  มันเป็น “ผ้ากันเปื้อน”  ที่ตัดเย็บด้วยฝีมือปราณีต  สีเทาทึม  แลดูสง่างามตามแบบฉบับของลูกผู้ชาย
          ผมจัดแจงผู้ผ้ากันเปื้อนให้ตัวเอง  โดยมีคนรับใช้ประจำโต๊ะคอยช่วยเหลือผูกตรงด้านหลังคอให้  ภรรยาผมผูกให้ลูกเสร็จก็จัดการผูกให้ตัวเอง รวดเร็วชำนิชำนาญเช่นเดียวกับแม่บ้านทั่วไปของคนในระดับเรา  ที่ต้องใช้   “ผ้ากันเปื้อน”  เป็นประจำยามที่ต้องทำครัวเอง
          ทุกคนต่างสาละวนกับการผูกผ้ากันเปื้อนอยู่ในความสลัว  ราวกับกุ๊กภัตตาคารกำลังเตรียมตัวก่อนจะสับหมูหรือสับเนื้อ  แต่เกรงว่าเลือดของสัตว์บนเขียงจะกระเซ็นมาเปื้อนเสื้อผ้าอันสวยงามของเขา
          …..ไชโย  ไชโย  ไชโย…..  เสียงตะโกนก้องห้อง
          สิ้นเสียงโห่ร้องไฟในห้องค่อย ๆ สว่างขึ้น  จนจัดจ้าแลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน  ประตูทางด้านขวามือเปิดออกทุกคนมองไปที่ประตู  ร่างของชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงโลหะกำลังถูกเข็นเข้ามา  ร่างกายของเขาไม่มีอะไรปกปิด  นอกจากปลอกเหล็กที่ยึดไว้ตรงกลางลำตัวและตามแขน,  ขา  ส่วนหัวที่ถูกคลุมไว้ด้วยกล่องโลหะสี่เหลี่ยมครอบมาถึงคอ  ยึดติดกับเตียง  ไม่มีใครเห็นหน้าเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร  เตียงแรกผ่านไป  เตียงที่สองเข็นตามเข้ามา  ทุกสิ่งคลายกับเตียงแรก  ผิดแต่ว่าร่างที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงนี้เป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง 
          “ทำไมต้องเอากล่องเหล็กครอบหัวไว้ด้วยล่ะพ่อ?”  ลูกชายผมถามขึ้น
          “มันเป็นกฏ  การที่เราจะกินคนด้วยกันเราจะต้องไม่สงสารมัน  ไม่เห็นดวงตาอ้อนวอนของมัน  ไม่ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตของมัน
          “สงสารมันไม่ได้หรอก  ไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำพวกนี้มันเกิดมาเพื่อให้คนอย่างพวกเรากิน  ถ้าเราสงสารมันเราก็ไม่มีความสุข  …..”   ภรรยาผมเสริมให้ลูกฟัง
          ดูจากรูปร่างของคนทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงกลางแสงไฟ  เห็นได้ชัดว่าเจ้าภาพมีการเตรียมการเป็นอย่างดีร่างทั้งสองพ่วงพีน่าลิ้มรส  ขนตามตัวถูกโกนออกจนเกลี้ยง  ร่างกายชำระล้างขาวสะอาด  ผิวของหญิงสาวเป็นสีชมพูนวลเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดภายใน
          แน่นอน  งานระดับนี้คงไม่อยากให้มีที่ติ
          ร่างทั้งสองนอนหายใจอยู่กลางแสงไฟ  ล้อมรอบด้วยสายตาที่หิวกระหาย
          “……..ครับถึงเวลารับประทานอาหารร่วมกันแล้วครับ  ขอเชิญทุกท่านรับทานได้เลย  ขอบคุณครับ”  เสียงเจ้าภาพกล่าวอำลาเวที
          สิ้นเสียงผู้ประกาศผู้คนเริ่มเคลื่อนไหวคึกคัก
          “ ไปกันเถอะเรา  เดี๋ยวจะไม่ทัน”  ภรรยาผมเตือนพลางหยิบมีดของเธอ  แล้วลุกขึ้นยืน
          “ผม…ผม  ไม่กล้าครับ”  ลูกชายผมเสียงสั่น
          “เอ๊….อะไรกันอีกเล่า”  ผมชักอารมณ์เสีย
          “ไปเถอะลูก  ไม่ลองไม่รู้หรอก  ดูคนอื่นเขาสิออกไปกันหมดแล้ว”  ภรรยาผมฉุดมือลูกให้ลุกขึ้น
          “อย่าลืมมีด”  ผมเตือนลูกด้วยเสียงดุ ๆ
          “ดูซิ  ถ้าไม่อร่อยจริง  คนเขาไม่มีรุมกินกินขนาดนี้หรอก”  ได้ยินเสียงภรรยาผมบอกลูก
เบา ๆ ขณะเดิน

(มีต่อ)
       
 
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #4 เมื่อ: 14-09-2006, 09:39 »

(ต่อ)


          ผมมาถึงโต๊ะอาหารก่อนภรรยาและลูก  ถึงตอนนี้ผมไม่ได้สนใครอีกแล้ว  หยิบจานได้ก็ตรงรี่ไปที่เตียงหญิงสาวหาที่ว่างเข้าแทรก  นมทั้งสองข้างโดนเฉือนออกไปแล้ว  เลือดไหลออกมาไม่หยุด  ร่างนั้นสะบัดดิ้นอยู่เร่า ๆ  แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของปลอกเล็กได้
          ผมเลือกเชือดเอาเนื้อบริเวณสีข้าง  เนื้อตรงนั้นก็กระตุกสั่นเป็นริ้ว ๆ ขึ้นมา  มันเต้นสู้กับคมมีดของผมอย่างสนุกสนาน  ผมแล่เนื้อชิ้นนั้นขาดออกจากลำตัว  วางหมับลงบนจานตัวเอง  มีเลือดติดมาด้วยพอคละเคล้า
          ใครคนหนึ่งสับฉับลงบนข้อมือ  เลือดกระเซ็นมาถูกใบหน้าผม  ผมหันไปมอง  เขาเอ่ยขอโทษ  แล้วชี้ให้ผมดูข้อมือที่ขาดออกจากแขน  มันยังเต้นกระตุกอยู่ได้  เราหัวเราะให้กันอย่างรื่นเริง  เขาหยิบข้อมือที่ยังกระตุกเต้นนั้นขึ้นใส่จาน
          “ ผมชอบกินนิ้วมือ มันมีเอ็นกรุบกรับดีเวลาเคี้ยว”  เขาบอกผมพร้อมรอยยิ้มสมใจ
          ผมหันกลับมามองที่ร่าง มันแหว่งเว้าไปอย่างน่าใจหายรวดเร็วกันจริง ๆ มองเห็นแต่
“มีดประจำตัว”  วาววับ  วุ่นวาย  เฉือดเฉือน  เถือกเถือลงไปบนร่างแทบไม่มีที่ว่าง
          ผมเร่งมือแล่เนื้อตรงสะโพกออกมาชิ้นเขื่องพอสมควรยกใส่จาน  ถึงตอนนี้ท้องได้ถูกแหวะออกจนเหวะหวะใส้ทะละทะลักออกมาคลุกเคล้ากับเลือด  ผมไม่ชอบกินเครื่องในนักและคิดว่าเนื้อในจานคงพออิ่ม  จึงล่าถอยกลับมายังโต๊ะ
          “อุ๊ย  มีตัวอ่อนอยู่ในท้องด้วย”  เสียงผู้หญิงกรี๊ดกร๊าดดีใจ
          ผมไม่ได้หันกลับไปมอง  ไม่สนใครอีกต่อไป  นอกจากเนื้อแดงสดบนจานตัวเอง  ค่อยเดินประคองมันกลับมายังโต๊ะ
          ภรรยาและลูกชายของผมยังไม่กลับมา  ผมเรียกคนรับใช้ประจำโต๊ะมาปลดผ้ากันเปื้อน  ซึ่งเปรอะเลือดออกจากตัวเขาลนลานเข้ามาอย่างพินอบยิ่งกว่าเดิม  ภาพที่เขาเห็นคงทำให้เขาตกใจ  และมันคงสอนให้พวกเขาเชื่อฟังผมเป็นอย่างดีทีเดียว  ถ้าเขายังไม่อยากเป็นอย่างร่างที่ถูกรุมทึ้งอยู่นั้น
          “เอาอย่างเดิมมาแก้ว”  ผมสั่งผ้ากันเปื้อนพันตัว
          ผมนั่งจิบเครื่องดื่มรอภรรยาและลูก  ทั้งคู่ทั้งสองกลับมา  ภรรยาผมเดินนำหน้า  ในจานของเธอพูนด้วยเนื้อเคล้ากับเลือด  ดูเหมือนจะมีกระดูกอ่อนปนมาด้วย  ลูกชายผมเดินตามหลังมาติด ๆ ใบหน้าเขาซีดเผือดคล้ายจะเป็นลมในจานที่ถืออยู่มีเพียงนิ้วหัวแม่เท้าอันเดียว
          “ไอ้เซ่อเอ๊ย  แย่งมาได้แค่นี้หรือวะ”  ผมเกิดโทสะจนระงับไม่อยู่  รู้สึกอับอายที่ลูกชายผมทำให้ผมต้องเสียหน้า
          “คุณก็รู้….ใจเย็น ๆ สิ  ลูกเรามันไม่เคย”  ภรรยาผมพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มนวล
          ผมหวนนึกถึงตัวเองเมื่อครั้งแรกที่พ่อพาไปกินคนตัวเองก็ไม่ต่างกับลูกชายตอนนี้มากนัก  นึกถึงเช่นนี้จึงค่อยสงบลง  รู้สึกสงสารลูกชายขึ้นมา
          คนรับใช้ประจำโต๊ะปลดผ้ากันเปื้อนให้ทั้งสอง
          “พอขอโทษ…..กินดูลูก  ลองดู”  ผมบอกลูกด้วยความสำนึกผิด
          ลูกชายผมค่อยมีใบหน้ายิ้มขึ้นมาหน่อย  เขาพยักหน้ารับและจ้องมองผม  คล้ายจะลอกเลียนกิริยาที่ผมจัดการกับเนื้อสดในจาน
          มือซ้ายของผมหยิบซ้อมขึ้นมาจิ้มลงบนเนื้อ  มือขวาผมถือมีดประจำตัว  เถือเนื้อนั้นให้ขาดจากกันพอดีคำ  ใส่เนื้อเข้าปากเคี้ยวอย่างช้า ๆ  เพื่อดูดซับรสชาติของมันให้ถ้วนทั่ว
          “นุ่ม  นุ่มจริง ๆ เขาคงขุนไว้นาน”  ผมบอกกับภรรยา
          “คุณว่าอะไรนะ ?”  เธอเงยหน้าขึ้นถาม  เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ฟังผม  ภายในปากเธอแดงเหมือนคนกินหมากสมัยโบราณ
          “ผมว่ามันนุ่น”
          “ค่ะ ๆ เธอพยักหน้ารับ  แล้วก้มลงหั่นเนื้อในจานของเธอ  ยกขึ้นใส่ปาก”
          “ดิฉันตัดเอากระดูกซี่โครงอ่อนมาด้วย  อยากจะเสริมจมูกให้โด่งขึ้นอีกหน่อย คุณว่าดีไหมค่ะ?”  เธอพูดขณะเคี้ยว
          “แล้วแต่คุณเถอะ”
          “อ้าวลูก ทำไมไม่กินล่ะ  มัวมองอะไรอยู่  กินสิลูก  อร่อยนะ…..”  เธอพูดกับลูกทั้งที่ปากยังไม่ว่าง
          “ลูกชายผมลังเลอยู่นิดหนึ่ง  เขาค่อย ๆ เฉือนหนังตรงโคนหัวแม่เท้าขึ้นมานิดหน่อย  แต่ค้างมือไว้
          “ลองแตะ ๆ ดูก็ได้  อย่าไปคิดถึงศีลธรรมให้มากนักศีลธรรมมันเป็นเรื่องของไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ”
          “กินซะลูก….แม่ขอร้อง”
          อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก  เขายกส้อมที่จิ้มหนังหัวแม่เท้าขึ้นใส่ปาก  ทันทีที่ลิ้นเขาสัมผัสรส  ผมเห็นใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไป  ราวกับว่าเขาได้พบสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอะเจอ  ดวงตาของเขาวาววามฉายแววแห่งความดุร้ายออกมา  เข้าจองมองหัวแม่เท้าในจานอย่างหิวกระหาย
          ผมยิ้มให้กับภรรยา  เธอเองก็ลอบมองลูกเช่นกัน  เธอยิ้มตอบ
          ลูกชายผมใช้ส้อมจิ้มหัวแม่เท้าทั้งดุ้น  อ้าปากกว้างแล้วยัดมันเข้าไป  เขาเขี้ยวมันอย่างตะกละตะกลาม  เขาคงรู้สึกถึงรสชาติเนื้อคนแล้ว  สีหน้าของเขาไม่เหลือวี่แววความเป็นคนขี้สงสารมนุษย์ชั้นต่ำอยู่เลย
          “ดิฉันบอกคุณแล้วว่าให้เวลากับลูกหน่อย”  ภรรยาผมพูดขึ้นอย่างภาคภูมิ  ผมไม่ตอบอะไร  ยังคงมองลูกชายอย่างชื่นชม
          ลูกชายผมเคี้ยวเนื้อหัวแม่เท้าอย่างเอร็ดอร่อย  สักครู่หลังจากที่เขาดูดซึมรสชาติอันหอมหวานของมันแล้ว  เขาปลิ้นกระดูกหัวแม่เท้าออกมาจากปาก  มันขาวสะอาดไม่มีเศษเนื้อหรือคราบเลือดติดอยู่เลย  เขาคงดูดซับมันจนหมดน้ำ  ก่อนเค้นคายกระดูกออกมา  สักครู่เขาคายเล็บเท้าตามออกมา  ในปากยังเคี้ยวเอื้องเนื้ออยู่  ผมรู้ว่าเขายังไม่อยากกล้ำกลืนมันลงคอ  เพราะความเสียดายรสชาติของเนื้อคนนั่นเอง
          “พ่อบอกลูกแล้วว่าลูกจะไม่ผิดหวัง  นี่เพียงแค่นิ้วหัวแม่ตีนเท่านั้นนะ  พ่อจะบอกให้” ผมสัพยอก
          ลูกชายผมมองตอบ  ใบหน้าของเขาเหมือนสำนึกผิด  ที่ไม่ยอมเชื่อตั้งแต่แรก  ไม่เช่นนั้นเขาคงได้เนื้อมากินอีกมากกว่านี้  น้ำตาเขาซึมเอ่อ  ผมไม่แน่ใจว่ามันเอ่อท้นขึ้นมาเพราะความสำนึก  หรือว่ามันท้นขึ้นมาเพราะความเอร็ดอร่อยที่เขาได้รับ  ในที่สุดเขากระเดือกกลืนเนื้อในปากอย่างแสนเสียดาย
          “เดี๋ยวผมจะออกไปเอาอีก”  เขาขยับตัวจะลุกขึ้น
          “ไม่ต้องไปหรอกลูกเอ๋ย  ปานนี้คงเหลือแต่กระดูกแล้ว”  ผมแบ่งเนื้อในจานให้ลูกชายอีกเล็กน้อย  เฝ้าดูเขาเคี้ยวกินอย่างหมดห่วง
          “รักษามีดประจำตัวไว้ให้ดี  มันเป็นสิทธิที่เจ้าจะได้กินเนื้อคนด้วยกัน”  ผมบอกกับลูกในขณะที่ตัวเองกำลังแล่เนื้อในจาน
          “แม่ขอผมอีกหน่อย”  เสียงลูกชายผมเว้าวอนฟังน่าเอ็นดู…..
          ……สักครู่ผมเหลือบมองเห็นลูกชาย  เนื้อในจานของเขาหมดแล้ว  แต่ในมือเขายังกระชับ “มีดประจำตัว”  แน่น  เขากำลังจองมองคนรับใช้ประจำโต๊ะ  ด้วยสายตาที่ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไร
          ผมยิ้มให้กับตัวเองขณะก้มลงมองเนื้อในจาน  ผมค่อย ๆ ผ่านมันออกเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วจิ้มขึ้นมาเคี้ยวช้า ๆ อย่างพ่อบ้านที่มีความสุขกับครอบครัวอันอบอุ่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2006, 09:41 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 14-09-2006, 09:45 »

เคยอ่านเรื่อง มีดประจำตัว มานานแล้วครับ อ่านแล้วรู้สึกเข้ากับยุคนี้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #6 เมื่อ: 14-09-2006, 12:01 »

ว่าจะเอามาลง วันละเรื่อง
แต่เผอิญ พรุ่งนี้ มีนัด เด๊ด เอ๊ย เดท
เลยรวบมาลงล่วงหน้าครับ

เรื่องที่ 3 ก็เป็นเรื่องสั้นที่ได้ซีไรต์ ปี 2527 ของ วานิช จรุงกิจอนันต์ ชื่อเรื่องในเล่มคือ "บ้านเราอยู่ในซอยนี้...ซอยเดียวกัน"

แต่ในชื่อปกหนังสือ ใช้ชื่อสั้น ๆ ว่า "ซอยเดียวกัน" นะครับ

อ้อ...ท่านนี้ ยังไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ แต่ได้ออกจากมติชนครับ Mr. Green
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #7 เมื่อ: 14-09-2006, 12:05 »

บ้านเราอยู่ในนี้…ซอยเดียวกัน
วานิช จรุงกิจอนันต์


                   
          บ้านผมอยู่ในซอย  เหมือนซอยอีกห้าหมื่นหกพันซอยในกรุงเทพฯ ธนบุรีที่จอแจและคับแคบ  ผมไม่รู้จักผู้คนในซอยนี้กี่คนนัก  เพราะไม่มีเวลามามั่วสุมหรือทำความรู้จักกับใครๆ  จะมีคนที่รู้จักก็เพียงแม่ค้าขายกับข้าวเจ้าของร้านกาแฟ  และร้านอาหารอีกร้านหนึ่งที่ผมกินข้าวเป็นประจำ
          ก็เพียงแต่รู้จักหน้าตากัน  มีผมฝ่ายเดียวที่รู้จักชื่อพวกเขา  และก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องมารู้จักชื่อผม  และก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปบอกกับพวกเขาว่าผมชื่อนั้นชื่อนี้
          ที่นี่ก็เหมือนซอยอื่นๆ คือมีจิ๊กโก๋เจี๊ยวจ๊าวประจำตรอก  มีพวกเกเรสัพเพเหระที่วันๆ เอาแต่นั่งร้านกาแฟรอให้ถึงวันเสาร์อาทิตย์เพื่อจะได้มีที่ไป  คือไปสนามม้าและเพื่อที่จะกลับมาฟูมฟายเพราะหมดตัวในตอนค่ำและเพื่ออีกที...เพื่อที่จะออกหาทางที่จะได้เงินมาให้ควั่กในตอนกลางคืน
          ในซอยนี้มีทั้งผู้ค้าและผู้ติดยาเสพติด  ทั้งที่ติดยาแก้ปวด  กัญชายาฝิ่นจนกระทั่งติดกลิ่นทินเน่อร์ ที่นี่มีทั้งขุนโจรและกระจอกโจร และสารพัดของผู้ชำนาญวิชาชีพโจร จากการที่นั่งร้านกาแฟบ่อยๆ  ทำให้ผมทราบว่า  ถ้าผมคิดจะเอาดีในทางมิจฉาชีพนี้แล้ว  สิ่งที่ผมควรจะลงทุนที่สุดคือการตั้งตัวเป็นเอเยนต์โจรในซอยนี้  เพราะที่นี่เต็มไปด้วยผู้ชำนาญพิเศษในแต่ละสาขาโจรไม่ว่าจะเป็นงัดรถงัดบ้าน  ย่องเบาและย่องหนัก  คือขนหนัก  ขนจน***น  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตีรันฟันแทงหรือปล้นฆ่า  ผมเคยเห็นจิ๊กโก๋พลัดถิ่นสองคนโดนตีเสียเละปางตายที่หน้าร้านกาแฟ
          ซอยอันจ้อกแจ้กในตอนกลางวันนี้  จะเปลี่ยนเป็นเปลี่ยวอย่างน่ากลัวในตอนกลางคืน  เพราะมีเพียงช่วงแรกของซอยเท่านั้นที่เป็นตึกแถวและมีร้านค้า  เมื่อพ้นสะพานไม้ข้ามคูไปแล้วก็จะเป็นบ้านคนสลับกับพงหญ้ารก  และมีที่อยู่อาศัยซึ่งไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านอยู่ระเกะระกะทั่วไป  ซอยนี้เป็นแหล่งสลัมใหญ่อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
          ทางเดินในซอยนี้วกวน  มีซอกเล็กซอยน้อยที่จะลัดเลี้ยวไปออกถนนใหญ่ได้สามทาง  บริเวณที่ใกล้ถนนใหญ่จะมีบ้านเรือนหนาตา  เมื่อห่างถนนเข้ามาก็จะเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง  มีทั้งสะพานไม้แผ่นเดียวเลาะเลี้ยวและทางปูนแคบๆ
          คูน้ำใหญ่อันแรกไปด้วยพงหญ้าและเศษขยะแห่งนั้นมีสะพานไม้แข็งแรงทอดข้าม  เป็นทางสัญจรสำคัญของผู้คนที่อยู่ในซอลึก  เมื่อลงจากสะพานไม้แห่งนี้เลี้ยวซ้ายไปขนานกับคูน้ำอีกประมาณสองร้อยเมตรเป็นบ้านที่ผมและพี่ชายเช่าอยู่  ถ้าเดินตรงออกไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรจะถึงปากซอย  ซึ่งเป็นถนนใหญ่และมีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่าน
          ผู้หญิงน้อยคนเต็มทีที่จะกล้าใช้ซอยนี้คนเดียวในตอนกลางคืน  การปล้นจี้และการลวนลามผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ  ทางปูนที่สร้างมารับสะพานไม้แห่งนี้กว้างไม่ถึงสองเมตร  แตกแขนงออกไปเป็นซอกเล็กซอกน้อยทั้งที่เป็นสะพานไม้  และเป็นทางเดินดินลูกรังเล็กๆ ที่มีหญ้าสูงท่วมหัว  บางตอนเป็นกองขยะเหม็นคลุ้ง หลายหนที่ผมรู้สึกแปลกใจที่ซอยอยู่นี้อยู่ใจกลางของกรุงเทพมหานคร  เพราะเพียงสิบกว่านาทีเมื่อเดินออกถึงถนนใหญ่กลับเต็มไปด้วยตึกรามโอ่อ่า  ผมเคยถามเล่นๆ  กับพี่ชายว่า  รู้ไหม  กรุงเทพฯเป็นเมืองนรกหรือเมืองสวรรค์
          ผมและพี่ชายมาจากต่างจังหวัด  พี่ชายผมทำงานแล้ว  ส่วนผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย  ผมไปมหาวิทยาลัยทุกวันเว้นวันเสาร์อาทิตย์
          ปากซอยเป็นคลอง  มีสะพานคอนกรีตใหญ่ให้รถแล่นข้ามได้  ป้ายรถเมล์อยู่ตีนสะพาน  อยู่ใต้ต้นหานกยูงอันร่มรื่น  ทุกเช้ามีคนมารอรถเมล์กันมากมาย  ผมมารอรถที่ป้ายนี้ทุกเช้า
          และเช้าวันหนึ่งผมก็พบเธอ
          ผมอยู่ซอยนี้มานานกว่าสองปี  ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย  แม้ว่าซอยนี้จะมีผู้คนอยู่คับคั่ง  แต่ผมก็จำหน้าคนที่เห็นรอรถเมล์ด้วยกันบ่อยๆ  ได้เกือบทุกคน  เธออาจเป็นคนที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ก็ได้  เพราะไม่คุ้นหน้าและไม่เคยเห็นเธอแถวนี้มาก่อน  เธอแต่งชุดนักศึกษาผมมองเข็มติดหน้าอกและหัวเข็มขัดของเธอไม่ถนัดครั้นจะขยับเข้าไปดูให้ถนัดก็ไม่ใช่ที่  จนกระทั่รถวิทยาลัยแห่งหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดแล้วเธอเป็นคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นรถนั่นแหละ  ผมถึงรู้ว่าเธอเรียนอยู่วิทยาลัยแห่งนั้น  อยู่ไกลจากที่นี่ไปมากและอยู่คนละทางกบที่ผมเรียนอยู่
          ผมไม่ควรสนใจเธอมากไปกว่านี้  ผมพยายามบอกตัวเองอย่านั้น  ประการแรกผมไม่ใช่คนที่อยากได้ใคร่มีแฟนเหมือนใครอื่นเขา  เรียนมหาวิทยาลัยมาเกือบสี่ปีก็ไม่เคยมีแฟน  และประการต่อมา  ไม่มีผู้หญิงที่มหาวิทยาลัย  ไม่ว่าจะเป็นคณะเดียวกันหรือต่างคณะจะมาชอบผม  และถึงผมจะเคยเมียงๆ ใครอยู่บ้าง  ความขี้อายบวกกับความขี้เกียจก็ไม่ช่วยให้ผมมีแฟนเหมือนใครเขาอื่น  รูปไม่หล่อนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งละ  ความไม่ช่างพูดและไม่ค่อยจะอยากร่วมกิจกรรมอะไรที่มีผู้หญิงเป็นอีกส่วนหนึ่ง  ไปเรียนก็เฮฮากับเพื่อนฝูงไปวันๆ เตะตะกร้อ  เข้าห้องสมุด  ฟังแลคเชอร์  ก็เท่านั้น
          แต่น่าแปลก  ที่เพียงแต่เห็นเธอครั้งแรก  ผมกลับนึกถึงหน้าเธออยู่ตลอดเวลา  เหมือนกับว่าผมเคยเห็นและเคยชอบผู้หญิงหน้าตาแบบนี้  ผมถามตัวเองว่า  เธอสวยหรือ  และตอบตัวเองได้ในทันทีว่าเธอสวยมากรูปร่างสูงบาง  ผิวค่อนข้างคล้ำ  ผมยาวเหยียดรวบเรียบไว้ด้านหลัง  ตาโต  จมูกสวย  ปากก็หยักลึกสวย  เออ...แน่ะ  ผมจำหน้าเธอมาพรรณนาได้มากขนาดนี้เชียวหรือนี่
          ผมพยายามไม่นึกถึงเธอ  ผมเป็นคนไม่ค่อยจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว  ผมคิดว่าคิดไปก็เท่านั้น  ฝันไปก็เท่านั้น  ดูเถอะ...ผมฝันจนเหม่อ  รถเมล์แล่นเลยไปสามสี่คันแล้ว
          ผมคงไปเรียนหนังสือตามปกติ และไม่ได้พบเธออีกเลยจนหลายวันต่อมา  เมื่อผมพบเธอเดินข้ามสะพานไม้มาในเช้าวันหนึ่ง
          บ้านเธออยู่ในซอยลึกนี้เอง  ผมรีรอจนกระทั่งเธอเดินขึ้นหน้าไป  และเดินตามเธอไปห่างๆ วันนี้เป็นวันหนึ่งในไม่บ่อยวันนักที่ผมเดินไปขึ้นรถเมล์ปากซอยอย่างไม่รีบเร่ง  ผมเดินมองข้างหลังของเธอไปตลอดทาง  เว้นระยะห่างพอสมควรไม่ให้ใครสังเกตได้  เธอแต่งตัวเรียบร้อย  เสื้อนักศึกษาขาวสะอาดรีดเรียบ  กระโปรงแคบๆ  สีน้ำเงินยาวถึงกลางหัวเข่า  มือขวาประคองหนังสือแนบตัว  มือซ้ายถือผ้าเช็ดหน้าสีขาว
          หลังจากนั้นต่อมา  ผมจึงสังเกตได้ว่าเธอจะถือผ้าเช็ดหน้าในมือทุกครั้ง  และทุกครั้งจะเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาว
          ป้ายรถเมล์ที่ปากซอยอยู่ใต้หางนกยูงต้นใหญ่ขณะนี้เป็นเดือนมิถุนายน  ดอกสีแดงของมันสวยสว่าง  ผมชอบดอกสีแดงของหางนกยูง  อาจเป็นเพราะผมเป็นคนชอบสีแดงก็ได้  ผมคิดว่าหางนกยูงเป็นดอกไม้ที่มีความงามและความสง่าในเวลาเดียวกัน  ไม่เหมือนดอกตะแบกที่ดูบอบบางหรือลมแล้งที่ดูนิ่มนวลพริ้งพรายบางกิ่ง  ช่อดอกสีแดงของมันไม่มีใบสีเขียวแทรกแซมเลย  มันอวดความเข้มตัดกับสีฟ้าน่ามอง
          หางนกยูงให้ความมีชีวิตชีวาแก่ผม  โดยเฉพาะวันอย่างวันนี้  วันที่ได้ยืนแอบมองเธอคนนั้นอีก
          เธอยืนเงียบๆ รอรถของทางวิทยาลัย  ไม่ล่อกแล่กวอกแวกเหมือนผม  แต่ก็หมายถึงผมในวันอื่นๆ ดอก  ไม่ใช่วันนี้  เพราะผมยืนพิงต้นหางนกยูงสังเกตเธออยู่เงียบๆ  และมีสมาธิ  รถเมล์ที่จะพาผมไปสู่มหาวิทยาลัยผ่านไปคันแล้วคันเล่า  แต่ผมมิได้สนใจจนกระทั่งรถวิทยาลัยของเธอเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท  เมื่อเธอก้าวขึ้นรถนั่นแหละ  ผมจึงรอรถเมล์คันของผมอย่างจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น 
          ผมพยายามข่มจิตข่มใจตัวเองว่าอย่างฟุ้งซ่านเกี่ยวกับตัวเธอคนนั้นให้มากเกินไป  เธออาจมีคนรักอยู่แล้วก็ได้  เพราะผู้หญิงสวยอย่างเธอจะอยู่รอดปลอดโปร่งมาได้อย่างไร  ผมคิดว่าผมปรามใจตัวเองได้  แต่ความจริงแล้ว  เปล่าเลย  เพราะมินานและเหมือนมิตั้งใจ  ผมก็เริ่มรู้เวลาออกจากบ้านของเธอ
         
(มีต่อ)     
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #8 เมื่อ: 14-09-2006, 12:06 »

(ต่อ)
         
          ปกติผมจะออกจากบ้านไปเรียนหนังสือตามสบาย  บางวันออกแต่เช้าบางวันออกสาย  และบางวันก็เลยไปถึงเที่ยง  แต่หลังจากที่ออกจากบ้านแต่เช้าอยู่สองสามวันโดยมิได้ตั้งใจและพบเธอที่ป้ายรถเมล์ทุกครั้ง  ผมก็เลยสังเกตได้ว่าเธอจะออกจากบ้านตอนประมาณเจ็ดโมงเช้าทีนี้ผมก็เลยออกจากบ้านแต่เช้าทุกวัน  ออกมาก่อนเจ็ดโมง  ทำรีๆ รอๆ อยู่ที่หัวสะพานไม้ไม่นาน  ผมก็จะเห็นเธอเดินข้ามสะพานไม้ออกมาจากซอยลึกแคบนั้น
          ผมจะมีเวลามองเธออีกพักหนึ่งที่ป้ายรถเมล์  เพราะรถของวิทยาลัยเธอจะผ่านมาราวๆ เจ็ดโมงสิบห้าถึงเจ็ดโมงครึ่ง
          ผมจีบผู้หญิงไม่เป็น ต้องยอมรับไว้ตรงนี้เลยว่าผมจีบผู้หญิงไม่เป็น  และไม่ประสีประสาเอาเลย  เมื่อเห็นเธอเดินข้ามสะพานไม้มา  ทุกครั้งที่ผมจะรีบเมินหน้าไปจากเธอทันที  ไม่ให้เธอรู้สึกได้ว่าผมกำลังมองเธออยู่  บางวันผมทำเป็นฉุกคิดได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง  แล้วทำทีรีบเดินกลับบ้าน  พอเธอเดินเลยไปแล้วผมจึงย้อนกลับมาเดินตามหลังเธอ  หรือบางทีผมก็รีบจ้ำให้ถึงป้ายรถเมล์เร็วๆ โดยไม่หันกลับมามองเธอที่เดินตามมาข้างหลังเลย  ไปรอมองดูเธอเดินมาสู่ป้ายรถเมล์ด้วยความอิ่มเอิบระทึกใจ
          น่ากลัวผมจะรักเธอเข้าแล้วกระมัง  ผมไม่เคยนึกถึงกังวลถึงผู้หญิงคนไหนอย่างนี้มาก่อนเลย
          จากอาทิตย์เป็นเดือน  ระยะหลังพอเห็นเธอใจผมก็ระทึกสะท้านขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล  มันเต้นตึ้กตั้ก...ตึ้กตั้ก  คล้ายจะบอกว่า  นั่นยังไง  มาแล้ว  เธอมาแล้ว...  บางครั้งผมโมโหใจตัวเองที่มันช่างเต้นได้เต้นดี  เต้นจนผมหนวกหูและกลัวคนใกล้ๆ จะได้ยินเสียง  ผมเคยผลุนผลันขึ้นรถเมล์ให้พ้นๆ  มาเสีย  เพื่อจะมารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้มองเธอให้เต็มตาในวันนี้
          ผมปฏิบัติการแอบมองอย่างนี้ทุกวัน  เว้นวันหยุดราชการ  และเธอไม่เคยรู้สึกเลยว่าผมแอบมองและสนใจเธออยู่
          สภาพเช่นนี้ไม่ดีเลย  เพราะมันทำให้ผมไม่มีความสุขและเป็นกังวลตลอดเวลา  ผมหาวิธีที่จะทำความรู้จักกับเธอไม่ได้  ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนดีที่จะดูไม่น่าเกลียด  แค่สบตาเธอผมยังรีบหลบทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่สนใจแล้วผมจะให้เธอรู้จักกันได้อย่างไร  ผมจะไปขอทำความรู้จักกับเธอได้อย่างไร
          เช้าวันหนึ่ง  หลังจากนอนคิดมาทั้งคืน  ผมคิดว่าจะต้องไปดักรอและทักเธอให้ได้ในวันนี้  เป็นตายยังไงก็ต้องทักเธอให้ได้  เธอจะพูดกับผมหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ผมตื่นแต่เช้าแต่งตัวเรียบร้อย  คาดเข็มขัดมหาวิทยาลัยทั้งที่ปกติไม่เคยใช้  ถ้าไม่เกรงว่าพี่หรือเพื่อนจะเห็นเข้าผมอยากจะผูกเนคไทเสียด้วยซ้ำ
          ผมมายืนกระสับกระส่ายอยู่ที่ใกล้ๆ  กับสะพานไม้ทำเป็นเกร่ไปเกร่มาเพื่อไม่ให้คนที่เดินไปมาสงสัยว่าผมมารอใคร  คิดหมายมั่นในใจว่าวันนี้จะต้องทักเธอและเดินคุยกับเธอไปให้ถึงป้ายรถเมล์ปากซอยให้จงได้  ยืนตัวเย็นมือชื้นอยู่สักครึ่งชั่วโมงก็เห็นเธอเดินข้ามสะพานไม้มา ใจผมเต้น... เต้นจนผมรู้สึกว่าซี่โครงแทบจะแยกออกเพราะแรงสะเทือน
          เธอมาแล้ว   เดินมาแล้ว  กำลังลงสะพานไม้มาแล้ว  มือขวาถือหนังสือแนบอกพร้อมด้วยกระเป๋าสีดำใบเล็กๆ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวอยู่ในมือซ้าย  เธอลงสะพานไม้มาแล้ว...เธอเดินตรงมาที่ผมแล้ว...มาแล้ว...เธอเดินมาถึงผมแล้ว...กำลังจะเลยไปแล้ว...เธอเดินผ่านไปแล้วปากผมขยับไม่ได้เลย
          ผมไม่ได้เดินตามเธอออกไปป้ายรถเมล์หรอก เดินกลับเข้าบ้านเอาหัวโขกประตูเสียทีหนึ่งด้วยความโมโหตัวเอง  นอนเซ็งมองเพดานอยู่เกือบสองชั่วโมงกว่าจะออกไปขึ้นรถเมล์เรียนได้
          ผมรู้จักวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่  เคยคิดว่าจะไปเดินเล่นแถวนั้นเผื่อจะพบเธอบ้าง  แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า  แค่พบเธอแทบทุกวันที่นี่  ผมยังไม่มีปัญญาจะทำความรู้จักกับเธอได้
          ลมฝนทำท่าจะมา  ดอกหางนกยูงที่ป้ายรถเมล์ร่วงพลิ้ว  เดี๋ยวนี้การพบเธอแค่ตอนเช้าเริ่มไม่อิ่มพอสำหรับผม  ผมลองใช้เวลาตอนเย็นของบางวันที่ไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยหรือบางวันที่กลับมาบ้านเร็วมาเกร่รอเธอที่ร้านกาแฟบ้าง  ที่ป้ายรถเมล์บ้าง  แถวสะพานไม้บ้าง  หวังว่าบางทีผมอาจได้เห็นเธออีกช่วงหนึ่ง  จริงๆ ด้วยเตร่รออยู่สักสามสี่วันผมก็เห็นเธอลงจากรถของวิทยาลัยมาตอนราวๆ เกือบหกโมงเย็น
          ทีนี้ผมก็เลิกเถลไถล  สี่โมงกว่าผมก็เลิกสนใจสิ่งไหนทั้งหมด  รีบขึ้นรถเมล์กลับบ้านมารอเธอที่ป้ายรถเมล์  รถของวิทยาลัยของเธอจะมาถึงราวๆ ห้าโมงครึ่งถึงหกโมง
          มาถึงตอนนี้  ผมว่าเธอคงรู้แล้วว่าผมเป็นคนซอยเดียวกับเธอ
          เธอเดินไม่มองใครอย่างนั้น  แค่ทำให้เธอรู้ว่าผมอยู่ซอยเดียวกับเธอผมก็ดีใจมากแล้ว  เพราะคนในซอยนี้มีเป็นพัน  วันๆ  เดินเข้าออกไม่รู้ว่าเท่าไหร่  และก็ไม่ใช่ผมเท่านั้นที่แอบสนใจเธอ  คนอื่นๆ ก็มี  รวมทั้งจิ๊กโก๋ประจำตรอกที่ตะโกนอย่างไม่เกรงใจว่าคนสวยมาแล้ว  เมื่อเห็นเธอเดินผ่าน  แล้วบางทีก็มีคำพูดที่ผมไม่ต้องการได้ยินตามมา แต่เธอก็นิ่งและสงบ ไม่เคยเหลียวไม่เคยเปลี่ยนสีหน้า
          ผมหาวิธีอีกหลายครั้งหลายหนที่จะทำความรู้จักกับเธอ  ทำไมการจะรู้จักผู้หญิงสักคนหนึ่งถึงได้ยากเย็นอย่างนี้  จะเขียนจดหมายหรือก็ไม่กล้า  เขียนแล้วจะส่งให้เธอได้อย่างไร  ชื่อเธอผมก็ยังไม่รู้จัก  ผมเคยเดินตามเธอไปห่างๆ  จนเห็นเธอเลี้ยวเข้าบ้าน  เป็นบ้านไม้ธรรมดาแต่มีรั้วสังกะสีสูง  ผมไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง  จะเขียนจดหมายถึงเธอได้อย่างไร  ผมเขินที่จะเอาไปให้เธอซึ่งๆ หน้า  จะจ้างเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่เอาไปให้ก็ไม่กล้าอีกนั่นแหละ  อะไรๆ ผมก็ไม่กล้า  แล้วทำไมผมจะต้องมาชอบเธอเอามากๆ อย่างนี้  ทั้งๆ ที่ไม่เคยพูดจารู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ
          เห็นจะต้องลองอีกที  ผมจะต้องไปรู้จักกับเธอให้ได้เป็นยังไงเป็นกันแต่วันนี้บรรยากาศไม่เป็นใจ  จิ๊กโก๋สามสี่คนยืนอยู่บนสะพานไม้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทักเธอ  ผมถอยกลับมายืนดูอยู่ห่างๆ  เห็นเธอหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ  ผมเลยเดินตามหลังเธอไปเงียบๆ เหมือนเคย
          รุ่งขึ้น  ผมไปรอใหม่  คราวนี้เธอเดินมาคนเดียวนอกจากผู้คนร่วมซอยที่เดินเข้าออกตามปกติแล้วไม่มีจิ๊กโก๋  ไม่มีใครอื่นที่จะมาเกี่ยวข้องในวิถีทางของผมและไม่มีวี่แววว่าเธอจะอารมณ์เสียเหมือนเมื่อวาน  เธอเดินมาทางผมแล้ว  ผมทำเป็นเพิ่งเดินออกากบ้าน  วันนี้ลมแรง  แรงเหมือนเสียงเต้นระทึกของหัวใจผม  เธอเดินมาถึงแล้วเจียนจะคล้อยหลัง  ตาละซี...ผมไม่ได้นึกมาก่อนเลยว่าจะเปิดประโยคแรกว่าอย่างไร
          “วันนี้ลมแรงนะครับ” ผมเปิดประโยคแรกออกมาอย่างรีบเร่ง  ด้วยเกรงว่าเธอจะเดินเลยไปเสีย
          ลมแรงจริงๆ เพราะเสียงผมไปไม่ถึงหูเธอดอก  ปากผมสั่นเสียจนเสียงมันหายวูบกลับเข้าไปในลำคอหมด  เธอเดินผ่านไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า  ผู้ชายคนหนึ่งได้ใช้ความกล้าหาญที่สุดเท่าที่จะเคยใช้มาในชีวิตกับเธอเมื่อครู่นี้
          ผมหยุดมองเธอสักครู่ใหญ่  แล้วเดินตามเธอออกมาที่ป้านรถเมล์ด้วยหัวใจอันแห้งเหี่ยว  ผมมามองเธออีกครั้งที่ป้ายรถเมล์ ผมควรตัดสินใจอะไรสักอย่างในวันนี้เพราะผมได้ใช้ความกล้าหาญที่สุดไปแล้ว  ผมควรจะทำอะไรในเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าที่เคย  เพราะขืนปล่อยเลื้อยเจื้อยเรื่อยไปอย่างนี้  ผมเห็นจะทุรนทุรายตายไปก่อนวัยอันควรเป็นแน่
          ผมพยายามเพ่งมองเธอทางด้านหลัง  เธอไม่รู้สึกตัวเพราะมัวแต่ชะเง้อดูว่ารถของวิทยาลัยมาหรือยัง  พอเห็นรถของวิทยาลัยวิ่งมาแต่ไกลดูเธอค่อยแจ่มใสขึ้น  ขยับตัวอย่างผ่อนคลายและจังหวะนั้น  เธอหันหน้ามาทางผมเราสบตากัน  และอาจเป็นเพราะผมตั้งใจเอาไว้ก่อนแล้วก็ได้  ผมจึงไม่รีรอที่จะส่งยิ้มออกไป
          เหมือนตาฝาด  ผมเห็นเธอยิ้มตอบผม  ผมหันไปมองข้างหลังเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ยิ้มกับคนอื่น  ไม่  เธอยิ้มให้ผมจริงๆ ทุกคนที่รอรถเมล์อยู่ไม่มีใครสนใจใคร  ผมหันกลับมาหาเธออีกครั้ง  เธอมีรอยยิ้มมากกว่าเดิมขณะที่ก้าวขึ้นรถของทางวิทยาลัย  ผมมองตามรถนั้นจนลับสายตา  รู้สึกว่าโลกสว่างไสวกว่าทุกวัน  หางนกยูงสีแดงสดจ้านั้น  เหมือนจะแย้มยิ้มเริงรื่นไปกับผมด้วย
          ผมแทบไม่เป็นอันเรียนเลยในวันนั้น  กระสับกระส่ายรอเวลาสี่โมงเย็นเพื่อจะนั่งรถกลับมารอรถวิทยาลัยของเธอที่จะพาเธอกลับมา  แต่วันนี้ผมรอเก้อเพราะเธอไม่ได้กลับมากับรถของวิทยาลัยด้วย  เธออาจติดธุระที่ไหนจนกลับไม่ทันรถของทางวิทยาลัยก็ได้  ผมปลอบใจตัวเองขณะเดินเข้าบ้าน  ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนพี่ชายแปลกใจ  เพราะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะพูดกับเธอว่าอย่างไรดีในวันรุ่งขึ้น  ทีนี้เธอรู้จักผมแล้ว  เธอยิ้มให้ผมแล้ว  เธอคงไม่รังเกียจที่จะพูดจากับผม  เราจะรู้จักกันอย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้น
          ผมตื่นเช้ากว่าทุกวัน  เมื่อมาเดินเกร่อยู่แถวสะพานไม้สักพักหนึ่ง  ผมเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งตกอยู่  ผมจำผ้าแบบนี้ได้ถนัด  เป็นผ้าเช็ดหน้าที่เธอชอบถือ  ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยความดีใจ  ผ้าเช็ดหน้าสีขาวมีคราบน้ำค้างและเปื้อนดิน  บางทีเธออาจทำตกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ก็ได้  เพราะผมคิดว่าเธอคงกลับบ้านดึกเมื่อคืนที่ผ่านมา  ผมรอเธออยู่สักครึ่งชั่วโมง  จนกระทั่งสายมาก  ผมคิดว่าเธออาจไปวิทยาลัยแต่เช้าก็ได้ในวันนี้หรือบางทีเธออาจหยุดเรียน  ผมคิดขณะเดินไปขึ้นรถเมล์อย่างเหงาๆ แต่ก็ปีติใจที่เก็บผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยนี้ได้  ผมจะเอามันไปคืนแก่เธอเมื่อพบกัน  ทีนี้ผมจะไม่เก้อจนเกินไป เพราะมีสิ่งที่เป็นสื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น ผมพับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นใส่หนังสือเรียนไว้อย่างเรียบร้อย
          ผมกลับมาบ้านในตอนเย็นเร็วกว่าปกติ  เพราะไม่ต้องการพลาดรถของวิทยาลัยที่จะพาเธอกลับบ้าน  มานั่งรอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเคย...เอ๊...ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ของคุณหรือเปล่าครับ...คิดว่าคุณคงยังไม่ตั้งใจจะทิ้งผ้าเช็ดหน้าผืนนี้นะครับ...ผมคิดว่าผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนี้เป็นของคุณนะครับ...ผมวนเวียนคิดอยู่แต่ว่าจะพูดประโยคไหนกับเธอที่จะเข้าท่าที่สุด  แต่ผมก็ไม่มีโอกาสจะพูดเหมือนที่ตั้งใจ  เพราะแม้กระทั่งรถของวิทยาลัยของเธอผ่านไปแล้ว  จนเกือบหกโมง  เธอก็ยังไม่กลับมา
          รถตำรวจเปิดหวอวิ่งเข้าไปในซอยบ้านผมสองคัน  มีคนพลุกพล่าผิดปกติ  ตีกันอีกละซี  ผมนึกในใจขณะที่เดินเข้าซอยอย่างหงอยเหงา
          มีเสียงจ้อกแจ้กกันตั้งแต่ปากซอยว่ามีคนตาย  ผู้คน โดยเฉพาะเด็กๆ  วิ่งเข้าไปดูทางซอยลึก  เมื่อมองไปข้างหน้าผมจึงเห็นผู้คนเป็นร้อยชุมนุมกันอยู่ที่สะพานไม้  รถของมูลนิธิร่วมกตัญญูวิ่งผ่านผมไป
          มีใครตายที่สะพานนั่นแน่ๆ แล้ว  ซอยยำยำนี่มันช่างไม่น่าอยู่เอาเลย  นี่เป็นหนที่สามแล้วที่ผมเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้  ครั้งที่แล้วจิ๊กโก๋แทงกันตายก็ใกล้ๆสะพานไม้แห่งนี้  ผมคิดว่าจะชวนพี่ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นเมื่อเรียนจบ  เพราะเบื่อความเป็นซอยทรชนของที่นี่เต็มที่  แต่วูบหนึ่งผมคิดว่าผมจะยังไม่ย้ายไปไหนจนกว่าจะรู้จักกับเธอ  และถ้าอะไรเป็นไปเหมือนที่ผมฝัน  ผมอาจไม่ย้ายไปไหนเลยก็ได้
          ผมตั้งใจจะเดินเข้าบ้านโดยไม่แวะดูการเก็บศพซึ่งคิดว่าคงอยู่ในคูน้ำนั้น  แต่เมื่อแว่วๆ  ไทยมุงพูดว่าคนตายเป็นผู้หญิงทำให้ผมเบียดเสียดเข้าไปดูกับเขาบ้าง
          ผมออกมารอรถเมล์สายกว่าปกติ  ไม่ได้เสียเวลาแม้แต่นิดเดียวที่สะพานไม้แห่งนั้น  แวะซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านปากซอย  รูปของเธอคนที่ผมอยากรู้จัก  เธอคนที่ผมฝันถึงปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ  พร้อมด้วยพาดหัวและรายงานข่าวอย่างพิสดาร  ทีนี้ผมก็รู้จักเธอผู้อยู่ในซอยเดียวกับผมแล้ว  รู้ว่าเธอชื่ออะไร  มาจากไหน  อยู่กับใคร  แต่จะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า
          ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นยังอยู่ในหนังสือของผม  ผมเปิดหนังสือดูมันอย่างเศร้าซึม  กลีบของหางนกยูงปลายเดือนกรกฎาพริ้วร่วงเกือบหมดต้น  กลีบเก่ากลีบหนึ่งร่วงลงมาบนหนังสือที่ผมเปิดดูอยู่  มันหล่นลงบนผ้าเช็ดหน้าสีขาวของเธอ
          สีแดงเข้มของกลีบหางนกยูงเหมือนสีเลือดเปรอะเปื้อนบนผ้าเช็ดหน้าสีขาว
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 14-09-2006, 13:08 »

น่าสงสารจัง

อ่านแล้ว รู้สึกเลย ว่าต้องกล้าเข้าไว้  Mr. Green

เพราะเราไม่มีวันรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่สร้างมันขึ้นมาเอง
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
หน้า: [1]
    กระโดดไป: