ผลสอบขาย"ชินคอร์ป" โอ๊ค-เอมต้องจ่ายภาษี
เปิดหลักฐานคำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรยืนยัน บริษัทห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด
นำหุ้นที่ถือไว้ไปขายให้แก่พนักงาน ลูกจ้างและกรรมการในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ต้องเสีย
ภาษีเงินได้
กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กำลังตรวจสอบว่า ผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากร
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เก็บภาษีเงินได้จากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร
ที่ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 329.2 ล้านหุ้น จากบริษัท Ample
Rich Investment Limited บนเกาะบริติช เวอร์จิ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ในขณะที่ราคา
ตลาดหุ้นละ 49 บาท ทำให้บุคคลทั้งสองได้รับผลประโยชน์จาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นจำนวน
15,802 ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแม้แต่บาทเดียว แต่ถ้าต้องจ่าย
คิดเป็นภาษีถึง 5,846 ล้านบาทนั้น
ผู้สื่อข่าว "มติชน" รายงานเมื่อวันที่ 10 กันยายนถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า จากการ
ตรวจสอบเอกสารต่างๆ พบว่า ข้ออ้างของผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากรที่อ้างว่า นาย
พานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน่าจะมีการบิดเบือน
ข้อกฎหมายอย่างค่อนข้างชัดเจนเพราะขัดกับคำวินิจฉัยของคณะกรรม การวินิจฉัยภาษีอากร
กล่าวคือ ในหนังสือของกรมสรรพากร (ที่ กค.0706/7896) ลงวันที่ 21 กันยายน 2548 ซึ่ง
ตอบข้อหารือของ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนสนิทของคุณหญิงพจมานกรณีการซื้อขาย
หุ้นบริษัท ชินคอร์ประหว่าง บริษัท Ample Rich กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา
โดยอ้างว่า บุคคลทั้งสองไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยเหตุผล 2 ประการคือ
1. การที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาซื้อหุ้นชินคอร์ปในราคาต่ำกว่าราคาตลาด
เป็นการซื้อทรัพย์สินในราคาถูกซึ่งเป็นเรื่องของการตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็น
เรื่องปกติทั่วๆ ไปจากการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาด จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39
แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีที่บริษัท Ample Rich ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทได้ถือไว้ให้กับนายพานทอง-
แท้ และ น.ส.พิณทองทา ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัท Ample Rich ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว
หุ้นชินคอร์ปที่บริษัทได้ซื้อไว้เป็นทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัท Ample Rich มิใช่เป็นหุ้น
ของบริษัท Ample Rich เป็นผู้ออกเอง กรณีนี้จึงไม่เข้าลักษณะตามคำวินิจฉัยของคณะ
กรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการเสียภาษี
ในกรณีได้รับแจกหุ้น หรือได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ ลงวันที่
7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่
28/ 2538 พบว่า ไม่ได้เป็นไปอย่างที่กรมสรรพากรอ้าง เพราะคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ได้มีคำวินิจฉัยครอบคลุมทั้งกรณีที่บริษัทซึ่งออกหุ้นเองและกรณีที่บริษัทถือหุ้นบริษัทอื่นไว้
และนำหุ้นที่บริษัทออกเองและหุ้นอื่นที่บริษัทถือไว้ไปแจกหรือขายในราคาต่ำกว่าตลาดให้
แก่พนักงาน ลูกจ้าง กรรมการและที่ปรึกษา ซึ่งส่วนต่างที่เกิดขึ้นย่อมถือได้ว่า บุคคลดังกล่าว
ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสีย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ไม่ว่าหุ้นที่ได้รับดังกล่าวมีจะเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไข
เกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอน
ทั้งนี้ หลักฐานที่ทำให้เห็นว่า คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้วินิจฉัยครอบคลุมว่า ผู้ที่ได้รับ
หุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งสองกรณีคือ ข้อเท็จจริงที่
สรรพากรหารือกับคณะกรรมการที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ซึ่งกรมสรรพากร
ได้สอบถามทั้งกรณีที่เป็น "บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ที่นำหุ้นไปแจก หรือขายในราคา
ต่ำกว่าราคาตลาดซึ่งในกรณี "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" นั้น ไม่สามารถออกหุ้นได้เพราะลักษณะ
การก่อตั้งและการนับหุ้นส่วนมิได้เป็นหน่วยแบบหุ้นของบริษัทจำกัดและไม่สามารถจดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์ได้ด้วย
ดังนั้น ถ้า "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" จะนำหุ้นไปเสนอขายให้แก่พนักงาน ลูกจ้างและกรรมการ
บริษัทก็ต้องเป็นหุ้นบริษัทอื่นที่ "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ถือไว้เท่านั้น เช่น "ห้างหุ้นส่วนนิติ
บุคคล" ถือหุ้นชินคอร์ปไว้จำนวนหนึ่งและต่อมานำหุ้นไปขายให้แก่พนักงาน ลูกจ้างหรือผู้
บริหารของห้างก็เข้าเงื่อนไขต้องนำส่วนต่างของราคาหุ้นไปคำนวณรวมเป็นภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดาตามคำวินิจฉัยของคณะกรรม การวินิจฉัยภาษีอากรซึ่งการที่บริษัท Ample Rich ถือหุ้น
ชินคอร์ปไว้และนำไปขายต่อให้แก่กรรมการคือนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา จึงไม่
แตกต่างจากหุ้นส่วนนิติบุคคลถือหุ้นชินคอร์ปซึ่งส่วนต่างต้องนำไปคำนวณรวมเป็นภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดาซึ่งแนวปฏิบัติที่ผ่านมา ผู้ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างในกรณีนี้ต้องถูกหักภาษี
ณ ที่จ่ายทันทีเช่นเดียวกับกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ
ไทย (กฟผ.) ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันทีที่ซื้อหุ้นบริษัท กฟผ.ในราคาต่ำกว่าราคาจัด
จำหน่ายในช่วงที่มีการแปรรูป
นักวิชาการซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจัดตั้งบริษัทและห้างหุ้นส่วนกล่าวว่า ลักษณะการจัดตั้งห้าง
หุ้นส่วนนิติบุคคลแตกต่างจากบริษัทจำกัดกล่าวคือ เป็นการลงทุนก่อตั้งนิติบุคคลร่วมกันใน
ลักษณะนำทุนมาลงร่วมกันในลักษณะเป็นสัญญาร่วมกัน ไม่มีการแบ่งหุ้นเป็นหน่วยเท่าๆ กัน
เหมือนกับบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจึงออกหุ้นจำหน่ายไม่ได้เหมือนกับบริษัทจำกัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากในส่วนข้อเท็จจริงที่กรมสรรพากรหารือแล้ว ในส่วนความเห็นของ
คณะกรรมการยังมียืนยันข้อเท็จจริงถึง 2 ครั้งเกี่ยวกับ "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" เสนอหรือนำ
หุ้นไปขายแก่พนักงาน ลูกจ้างและกรรมการคือ
1. กรณีที่ "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" นำหุ้นไปแจกให้พนักงานลูกจ้าง กรรมการ
ที่ปรึกษา หรือบุคคลผู้รับทำงานให้ในลักษณะทำนองเดียวกัน หรือนำหุ้นไปขายให้กับบุคคล
ดังกล่าวตามข้อตกลงพิเศษในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด กรณีย่อมถือได้ว่าบุคคลดังกล่าวได้
รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
2. กรณีที่ "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด" จะเสนอหุ้นให้พนักงาน ลูกจ้าง กรรมการ
ที่ปรึกษา หรือบุคคล ผู้รับทำงานให้ในลักษณะทำนองเดียวกัน โดยมีเงื่อนไขเกี่ยวกับหุ้น
ดังกล่าว และประสงค์ที่จะทำความตกลงเกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าหุ้นเพื่อประโยชน์ในการ
เสียภาษีของบุคคลดังกล่าวให้ยื่นคำขอต่อกรมสรรพากรเพื่อเสนอกระทรวงการคลังพิจารณา
ต่อไป
ที่มา มติชน วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10411
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0113110949&day=2006/09/11
เก็บได้จริงก็ดีเลย