ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
26-04-2024, 19:31
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ผลสอบขาย "ชินคอร์ป" โอ๊ค-เอมต้องจ่ายภาษี 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ผลสอบขาย "ชินคอร์ป" โอ๊ค-เอมต้องจ่ายภาษี  (อ่าน 2863 ครั้ง)
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« เมื่อ: 11-09-2006, 16:29 »

ผลสอบขาย"ชินคอร์ป" โอ๊ค-เอมต้องจ่ายภาษี

เปิดหลักฐานคำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรยืนยัน บริษัทห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด
นำหุ้นที่ถือไว้ไปขายให้แก่พนักงาน ลูกจ้างและกรรมการในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ต้องเสีย
ภาษีเงินได้

กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กำลังตรวจสอบว่า ผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากร
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เก็บภาษีเงินได้จากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร
ที่ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 329.2 ล้านหุ้น จากบริษัท Ample
Rich Investment Limited บนเกาะบริติช เวอร์จิ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ในขณะที่ราคา
ตลาดหุ้นละ 49 บาท ทำให้บุคคลทั้งสองได้รับผลประโยชน์จาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นจำนวน
15,802 ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแม้แต่บาทเดียว แต่ถ้าต้องจ่าย
คิดเป็นภาษีถึง 5,846 ล้านบาทนั้น

ผู้สื่อข่าว "มติชน" รายงานเมื่อวันที่ 10 กันยายนถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า จากการ
ตรวจสอบเอกสารต่างๆ พบว่า ข้ออ้างของผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากรที่อ้างว่า นาย
พานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน่าจะมีการบิดเบือน
ข้อกฎหมายอย่างค่อนข้างชัดเจนเพราะขัดกับคำวินิจฉัยของคณะกรรม การวินิจฉัยภาษีอากร
กล่าวคือ ในหนังสือของกรมสรรพากร (ที่ กค.0706/7896) ลงวันที่ 21 กันยายน 2548 ซึ่ง
ตอบข้อหารือของ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนสนิทของคุณหญิงพจมานกรณีการซื้อขาย
หุ้นบริษัท ชินคอร์ประหว่าง บริษัท Ample Rich กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา
โดยอ้างว่า บุคคลทั้งสองไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยเหตุผล 2 ประการคือ

1. การที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาซื้อหุ้นชินคอร์ปในราคาต่ำกว่าราคาตลาด
    เป็นการซื้อทรัพย์สินในราคาถูกซึ่งเป็นเรื่องของการตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็น
    เรื่องปกติทั่วๆ ไปจากการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
    ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาด จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39
    แห่งประมวลรัษฎากร

2. กรณีที่บริษัท Ample Rich ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทได้ถือไว้ให้กับนายพานทอง-
    แท้ และ น.ส.พิณทองทา ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัท Ample Rich ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว
    หุ้นชินคอร์ปที่บริษัทได้ซื้อไว้เป็นทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัท Ample Rich มิใช่เป็นหุ้น
    ของบริษัท Ample Rich เป็นผู้ออกเอง กรณีนี้จึงไม่เข้าลักษณะตามคำวินิจฉัยของคณะ
    กรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการเสียภาษี
    ในกรณีได้รับแจกหุ้น หรือได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ ลงวันที่
    7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่
28/ 2538 พบว่า ไม่ได้เป็นไปอย่างที่กรมสรรพากรอ้าง เพราะคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ได้มีคำวินิจฉัยครอบคลุมทั้งกรณีที่บริษัทซึ่งออกหุ้นเองและกรณีที่บริษัทถือหุ้นบริษัทอื่นไว้
และนำหุ้นที่บริษัทออกเองและหุ้นอื่นที่บริษัทถือไว้ไปแจกหรือขายในราคาต่ำกว่าตลาดให้
แก่พนักงาน ลูกจ้าง กรรมการและที่ปรึกษา ซึ่งส่วนต่างที่เกิดขึ้นย่อมถือได้ว่า บุคคลดังกล่าว
ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสีย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ไม่ว่าหุ้นที่ได้รับดังกล่าวมีจะเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไข
เกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอน

ทั้งนี้ หลักฐานที่ทำให้เห็นว่า คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้วินิจฉัยครอบคลุมว่า ผู้ที่ได้รับ
หุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งสองกรณีคือ ข้อเท็จจริงที่
สรรพากรหารือกับคณะกรรมการที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ซึ่งกรมสรรพากร
ได้สอบถามทั้งกรณีที่เป็น "บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ที่นำหุ้นไปแจก หรือขายในราคา
ต่ำกว่าราคาตลาดซึ่งในกรณี "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" นั้น ไม่สามารถออกหุ้นได้เพราะลักษณะ
การก่อตั้งและการนับหุ้นส่วนมิได้เป็นหน่วยแบบหุ้นของบริษัทจำกัดและไม่สามารถจดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์ได้ด้วย

ดังนั้น ถ้า "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" จะนำหุ้นไปเสนอขายให้แก่พนักงาน ลูกจ้างและกรรมการ
บริษัทก็ต้องเป็นหุ้นบริษัทอื่นที่ "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ถือไว้เท่านั้น เช่น "ห้างหุ้นส่วนนิติ
บุคคล" ถือหุ้นชินคอร์ปไว้จำนวนหนึ่งและต่อมานำหุ้นไปขายให้แก่พนักงาน ลูกจ้างหรือผู้
บริหารของห้างก็เข้าเงื่อนไขต้องนำส่วนต่างของราคาหุ้นไปคำนวณรวมเป็นภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดาตามคำวินิจฉัยของคณะกรรม การวินิจฉัยภาษีอากรซึ่งการที่บริษัท Ample Rich ถือหุ้น
ชินคอร์ปไว้และนำไปขายต่อให้แก่กรรมการคือนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา จึงไม่
แตกต่างจากหุ้นส่วนนิติบุคคลถือหุ้นชินคอร์ปซึ่งส่วนต่างต้องนำไปคำนวณรวมเป็นภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดาซึ่งแนวปฏิบัติที่ผ่านมา ผู้ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างในกรณีนี้ต้องถูกหักภาษี
ณ ที่จ่ายทันทีเช่นเดียวกับกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ
ไทย (กฟผ.) ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันทีที่ซื้อหุ้นบริษัท กฟผ.ในราคาต่ำกว่าราคาจัด
จำหน่ายในช่วงที่มีการแปรรูป

นักวิชาการซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจัดตั้งบริษัทและห้างหุ้นส่วนกล่าวว่า ลักษณะการจัดตั้งห้าง
หุ้นส่วนนิติบุคคลแตกต่างจากบริษัทจำกัดกล่าวคือ เป็นการลงทุนก่อตั้งนิติบุคคลร่วมกันใน
ลักษณะนำทุนมาลงร่วมกันในลักษณะเป็นสัญญาร่วมกัน ไม่มีการแบ่งหุ้นเป็นหน่วยเท่าๆ กัน
เหมือนกับบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจึงออกหุ้นจำหน่ายไม่ได้เหมือนกับบริษัทจำกัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากในส่วนข้อเท็จจริงที่กรมสรรพากรหารือแล้ว ในส่วนความเห็นของ
คณะกรรมการยังมียืนยันข้อเท็จจริงถึง 2 ครั้งเกี่ยวกับ "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" เสนอหรือนำ
หุ้นไปขายแก่พนักงาน ลูกจ้างและกรรมการคือ

1. กรณีที่ "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" นำหุ้นไปแจกให้พนักงานลูกจ้าง กรรมการ
    ที่ปรึกษา หรือบุคคลผู้รับทำงานให้ในลักษณะทำนองเดียวกัน หรือนำหุ้นไปขายให้กับบุคคล
    ดังกล่าวตามข้อตกลงพิเศษในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด กรณีย่อมถือได้ว่าบุคคลดังกล่าวได้
    รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว

2. กรณีที่ "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด" จะเสนอหุ้นให้พนักงาน ลูกจ้าง กรรมการ
    ที่ปรึกษา หรือบุคคล ผู้รับทำงานให้ในลักษณะทำนองเดียวกัน โดยมีเงื่อนไขเกี่ยวกับหุ้น
    ดังกล่าว และประสงค์ที่จะทำความตกลงเกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าหุ้นเพื่อประโยชน์ในการ
    เสียภาษีของบุคคลดังกล่าวให้ยื่นคำขอต่อกรมสรรพากรเพื่อเสนอกระทรวงการคลังพิจารณา
    ต่อไป

ที่มา มติชน วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10411
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0113110949&day=2006/09/11

เก็บได้จริงก็ดีเลย
  Very Happy
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
superman
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 172



« ตอบ #1 เมื่อ: 11-09-2006, 16:43 »

ถ้าต้องจ่ายจริงนี่ ใครทราบไหมว่า ต้องจ่ายในราคาที่กล่าวมานี้ หรือราคาบวกดอกเบี้ยครับ?
บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 11-09-2006, 17:09 »

ต้องจ่ายในราคาในวันที่มีการทำธุรกรรมครับ บวกกับค่าปรับ และดอกเบี้ย สามเด้งครับ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 11-09-2006, 17:27 »

นอกจากจัดเก็บภาษีแล้ว ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการตรวจสอบการทุจริต ตรวจสอบด้วยว่ามีการละเว้น
หรือใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ในการยกเว้นภาษีครั้งนี้หรือไม่ และผู้อยู่เบื้องหลังคือใคร  Question
จะได้จับไปเที่ยวฮ่องกงให้หมด
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 11-09-2006, 17:38 »

ครับ นับว่าเป็นข่าวดีที่ประเทศไทยจะจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นจากขี้โกง

ตอนนี้ยังมีเรื่องไม่จ่ายภาษีค่าสัมปทานITVอีกเรื่องครับ เผลอๆอาจถูกปรับก้อนโต ยึดสัมปทาน เสียภาษีย้อนหลังและติดคุกหัวโตเอาง่ายๆ
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 11-09-2006, 17:44 »

นอกจากจะพูดกันถึงประเด็นการคำนวณดอกเบี้ย

ควร "มองข้ามช็อต" ไปถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดต่อไปได้แล้ว

คำถาม 1 - ถ้า 2 คนนี้มันไม่ยอมจ่ายภาษี และหนีไปอยู่อังกฤษเรียบร้อยแล้ว ประชาชนจะทำยังไง ?? (ไม่ต้องไปพูดถึงรัฐบาลเพราะ o[_]o มันอ้างว่ามันรักษาการณ์อยู่) ไอ้ o[_]o ไม่ยอมให้ลูกมันควักตังค์จ่ายแน่นอน เงินเป็นหลักพันๆล้าน
คำถาม 2 - ถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ดำเนินการจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ พันธมิตรฯ อาจไปแจ้งความได้ว่า เพิกเฉยการปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ แล้วไงต่อ???
คำถาม 3 - จะทำยังไงกับ "บรรลัยเสถียร" "สันพากิน" "กอลอตวย" และเหล่ากุนซือ จะปล่อยมันลอยนวลไหม ???


จะมีประโยชน์อะไร เมื่อมีการตัดสินถูกผิดมาแล้วจากกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่สามารถเอาตัวผู้กระ่ทำผิดมาลงโทษได้ ติดตามทรัพย์สินคืนก็ไม่ได้ ?? และเมื่อผู้ที่ออกมาเรียกร้อง จุดประเด็นให้สังคมได้ตื่นตัว ถูกมองว่ายั่วยุให้เกิดความรุนแรง สร้างความวุ่นวาย ???


คนที่ชอบพูดว่าไปเลือกตั้ง ๆๆๆๆ ประชาธิปไตย ๆๆๆๆๆ .... ถามว่า "การเลือกตั้ง" สามารถลบล้างความผิดเหล่านี้ได้ไหม ???
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2006, 18:05 โดย ThaiTruth » บันทึกการเข้า

คนเดินดิน
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #6 เมื่อ: 12-09-2006, 10:18 »

รอดู ข้าราชการไทย กล้าชนกับทรราช หรือไม่
บันทึกการเข้า
Sweet Chin Music
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,613



« ตอบ #7 เมื่อ: 12-09-2006, 10:42 »

กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง
บันทึกการเข้า


You'll Never Walk Alone
เข้าไปกันได้ค๊าป- - - >http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sweetchinmusic&group=1
hison
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217


« ตอบ #8 เมื่อ: 20-09-2006, 19:18 »

 
บันทึกการเข้า
เพนกวินน้อยนักอ่าน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 866



« ตอบ #9 เมื่อ: 20-09-2006, 20:46 »

รออีกสองอาทิตย์ การสอบคงเข้มข้นขึ้น
หุหุ
 
บันทึกการเข้า
hison
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217


« ตอบ #10 เมื่อ: 25-09-2006, 19:23 »

 
บันทึกการเข้า
Killer
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,576


ช๊อบบ ชอบบ...ปฏิวัติ ปลื้ม ค่ะ


« ตอบ #11 เมื่อ: 25-09-2006, 19:38 »

นำหุ้นที่บริษัทออกเองและหุ้นอื่นที่บริษัทถือไว้ไปแจกหรือขายในราคาต่ำกว่าตลาดให้
แก่พนักงาน ลูกจ้าง กรรมการและที่ปรึกษา ซึ่งส่วนต่างที่เกิดขึ้นย่อมถือได้ว่า บุคคลดังกล่าว
ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสีย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ไม่ว่าหุ้นที่ได้รับดังกล่าวมีจะเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไข
เกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอน


โอ๊คเอม เป็นพนักงาน ลูกจ้าง หรือว่ากรรมการที่ปรึกษาอะไรหรือเปล่าล่ะ ?
หรือว่าเป็นเพียงแค่ผู้ถือหุ้นธรรมดา...

ถ้าหุ้นดังกล่าวมันถูกขายให้ CEO บุญคลี ก็ว่าไปอย่าง เอามาเทียบเคียงกันได้ยังไง ?
บันทึกการเข้า
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 25-09-2006, 19:42 »

นำหุ้นที่บริษัทออกเองและหุ้นอื่นที่บริษัทถือไว้ไปแจกหรือขายในราคาต่ำกว่าตลาดให้
แก่พนักงาน ลูกจ้าง กรรมการและที่ปรึกษา ซึ่งส่วนต่างที่เกิดขึ้นย่อมถือได้ว่า บุคคลดังกล่าว
ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสีย
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ไม่ว่าหุ้นที่ได้รับดังกล่าวมีจะเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไข
เกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอน


โอ๊คเอม เป็นพนักงาน ลูกจ้าง หรือว่ากรรมการที่ปรึกษาอะไรหรือเปล่าล่ะ ?
หรือว่าเป็นเพียงแค่ผู้ถือหุ้นธรรมดา...

ถ้าหุ้นดังกล่าวมันถูกขายให้ CEO บุญคลี ก็ว่าไปอย่าง เอามาเทียบเคียงกันได้ยังไง ?


ก็ขนาดให้พนักงานลูกจ้างเป็นสวัสดิการยังต้องเสียภาษีเลยคุณคิลเลอะ
แล้วอยู่ดีๆ ไปขายถูกๆ ให้คนอื่นแบบนี้ไม่ต้องเสียภาษีหรือไง
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าขายต่ำกว่าราคาตลาดแบบนั้นต้องเสียภาษีหรือไม่
ส่วนที่ว่าขายให้ใครมันเป็นประเด็นรอง
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
arttic
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62


« ตอบ #13 เมื่อ: 25-09-2006, 19:44 »

ไม่ใช่เงินตัวเอง จะปกป้องไปทำม๊ายย 
บันทึกการเข้า
TingTing
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 32


« ตอบ #14 เมื่อ: 25-09-2006, 21:08 »

บอกให้เป็นความรู้ไว้นะครับท่านขี้เลอะ

หลักการพิจารณาว่าต้องเสียภาษีหรือไม่ จะมีหลักอยู่ 3 อย่าง คือ
1. เข้าข่ายเป็นเงินได้หรือไม่  (ต้องเป็นเงินได้ตามคำจำกัดความใน ม.39)

2. ถ้าถือเป็นเงินได้ ก็ดูว่ามีกฎหมายยกเว้นให้ไว้หรือไม่ อย่างเช่น 
ถูกล็อตเตอรี่ ถือว่าได้รับเงินได้ แต่ไม่ต้องเสียภาษีเพราะกม.ยกเว้นไว้ให้ 
พ่อจ่ายเงินให้ลูกเป็นค่าเลี้ยงดู ก็เข้าข่ายเป็นเงินได้ตาม ม.39  แต่ได้รับยกเว้น เพราะกม.ยกเว้นไว้ให้

3. ทีนี้ถ้าเข้าข่ายเป็นเงินได้ และไม่มีกฎหมายยกเว้นไว้ให้ ก็แปลว่าต้องเสียแน่ๆ แล้วล่ะ
แต่จะเสียเท่าไหร่ อยู่ที่เป็นเงินได้ประเภทไหน เพราะกฎหมายให้หักค่าใช้จ่ายได้ไม่เท่ากัน 
ได้เงินเดือน ใช้แต่แรงก็หักค่าใช้จ่ายได้น้อยหน่อย  ค้าขายมีต้นทุนเยอะก็หักได้มากหน่อย
กฎหมายกำหนดประเภทเงินได้ไว้ 8 ประเภท  ซึ่งไม่สำคัญในประเด็นนี้เท่าไหร่ ถ้าเข้าสองข้อแรกก็แปลว่าต้องเสียภาษีแน่ๆ ไม่ต้องเถียงอีก

อ้างถึง
มาตรา 39 ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
    "เงินได้พึงประเมิน" หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย

1. เขามีกฎหมายออกมาชัดเจนแล้วว่า ขายหุ้นให้ (ใครก็ตาม) ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ถือเป็นเงินได้ต้องเสียภาษี

2. อย่างที่รู้กันดีว่า ถ้าขายในตลาดหลักทรัพย์ก็ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี  แต่ขายนอกตลาดไม่ได้รับยกเว้น

3. ถ้ามันผู้นั้นได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นราคาถูกในฐานะเป็นพนักงานของบริษัทนั้นๆ ท่านก็ให้เสียภาษีในฐานะมันผู้นั้นมีเงินได้จากการทำงาน
ถ้ามันผู้นั้นได้รับได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นราคาถูกหุ้นในฐานะเป็นผู้ถือหุ้น ท่านก็ให้เสียภาษีในฐานะที่มันผู้นั้นมีเงินได้ประหนึ่งได้รับเงินปันผล
ถ้ามันผู้นั้นได้รับหุ้นมาในฐานะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยกับบริษัทผู้ขาย ท่านก็ถือว่าได้รับผลประโยชน์มาจากการให้โดยเสน่หา

ที่ว่ามานี่ไม่ใช่หลักการ "พ่อสอนลูกให้โกง"  นะจ๊ะ  แต่เป็นหลักการ "พ่อสอนลูกให้เป็นคนดี" อย่าเอาไปใช้ผิดล่ะ
.
บันทึกการเข้า
Killer
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,576


ช๊อบบ ชอบบ...ปฏิวัติ ปลื้ม ค่ะ


« ตอบ #15 เมื่อ: 28-09-2006, 15:57 »

ยังอธิบายไม่เคลียร์ ..Ting Ting เอาเป็นว่าขายนอกตลาด...

1...แล้วสองคนนั้นเค้าถือเป็นพนักงานบริษัทหรือเปล่า ล่ะ ?

2...และถ้าเป็น...บ.มันได้มา บาทนึง ขายให้ สองคนนั่นบาทนึง

กำไรที่จะต้องเอาไปคำนวนเพื่อเสียภาษี มันควรจะเป็นเท่าไหร่ ?
บันทึกการเข้า
TAKSIN THE BEST PM.
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 258


« ตอบ #16 เมื่อ: 28-09-2006, 16:05 »

อืม จ่ายภาษีย้อนหลัง ก็จ่าย สิ
จะปรับก็ปรับ สิครับ

ว่าแต่จ่ายแล้วถือว่าพ้นผิดแล้วใช่ไหมครับ อืม 


 
บันทึกการเข้า
TheBluECaT
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 824


"แมวน้อยสีน้ำเงิน..."


« ตอบ #17 เมื่อ: 28-09-2006, 16:33 »

อืม จ่ายภาษีย้อนหลัง ก็จ่าย สิ
จะปรับก็ปรับ สิครับ

ว่าแต่จ่ายแล้วถือว่าพ้นผิดแล้วใช่ไหมครับ อืม 


ถ้าขโมยขึ้นบ้านคุณ...  บังเอิญตำรวจจับได้

บอกว่าเอาของมาคืน  แล้วจะไม่มีความผิดใดๆ

โจรก็กลับออกไปเดินเล่นได้อย่างสบายอย่างงั้นเรอะครับ... 
บันทึกการเข้า

"ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงส์  ยามบุญหลงหงส์เป็นกาน่าฉงน...
ยามบุญมาหมูหมากลายเป็นคน  ยามบุญหล่นคนเป็นหมาน่าอัศจรรย์"
-3-
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,186


« ตอบ #18 เมื่อ: 28-09-2006, 16:39 »

^
^
มันก็ไม่ต่างจาก จับไม่ได้คือไม่ผิด ถ้าจับได้ คืนของกลางแล้วจะไม่ผิด

แล้วจะมีกฏหมายไว้ทำอะไรดีละครับ? ไว้แหกกฎเหรอ? 
บันทึกการเข้า



ประชาธิปไตยตัดสินความต้องการได้ แต่ตัดสินความถูกต้องไม่ได้!!
Politician Boss
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 61


« ตอบ #19 เมื่อ: 28-09-2006, 17:08 »

ดีเร่งปฏิกิริยาเข้า....
บันทึกการเข้า
Tam-mic-ra
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 603


« ตอบ #20 เมื่อ: 29-09-2006, 04:00 »

พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวแกงข้างถนนต้องเสียภาษีด้วยสิ่
เห็นเลี่ยงกันมาตั้งนาน  บางร้านขาย ได้วันละเป็นหมื่นๆ บาท
ถ้าเล่นงานก็ต้องเล่นทั้งหมด  ควรปฎิบัติทุกฝ่ายให้ทั่วถึงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน   

ย้อนหลังไปเลยกี่รายๆ  ที่ไม่ได้เสียภาษี  เอาให้หมดเลย
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #21 เมื่อ: 30-09-2006, 13:27 »

คุณหญิงจารุวรรณ.. ผิด

ที่คุณ killer ตอบนั้น ใกล้เคียง

โอ๊ค-เอม เป็นลูก ทำให้สามารถใช้หลักเกณฑ์การรับโอนมรดก เพื่อลดหย่อนภาษี

พ่อแม่ขายของให้ลูก มีสิทธิตั้งราคาขายต่ำกว่าราคากลางของตลาดได้

เป็นหลักเกณฑ์ที่สรรพากรยอมรับ และถือปฏิบัติกันมานานมากแล้ว

คนมากมายในประเทศไทย ก็ใช้หลักเกณฑ์รับโอนมรดก เพื่อลดการเสียภาษี

นสพ. เคยลงข่าวว่าทั้งหัวหน้าและรองหัวหน้าพรรค ปชป ก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน

วิธีการไม่ต่างกันเลย ต่างกันแค่ยอดเงินไม่มากเท่ากับกรณีทักษิณ

- - - - - - - - - - - - -

คุณหญิงจารุวรรณเกลียดทักษิณมาก จนความคิดบิดเบี้ยว

เพื่อนๆน่าจะรับฟังเหตุผลบ้าง อย่ามั่นใจว่าคุณหญิงจะถูกต้อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2006, 13:49 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #22 เมื่อ: 30-09-2006, 16:44 »

เพิ่มเติมอีกนิด

เหตุผลที่คุณหญิงจารุวรรณยกมา จะถูกต้อง ถ้าคนที่รับโอนเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่ลูก

คือคนทำธุรกิจทั่วไป จะมาแจ้งว่าตกลงซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางของตลาดไม่ได้

ถือว่าเป็นการปกปิดซ่อนเร้นรายได้ที่แท้จริง เพื่อให้เสียภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง

แต่กรณีของการขายให้กับทายาทนั้น สรรพากรผ่อนผันให้ตั้งราคาซื้อขายลดหย่อนต่ำกว่าราคากลางได้

เป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันมานานหนักหนาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมายอมอ่อนให้กับทักษิณเป็นรายแรก

สรุปคือ ทักษิณใช้ข้อผ่อนผันการโอนรับมรดก เพื่อช่วยให้เสียภาษีน้อยลง

ซึ่งเป็นเงื่อนไข ที่คุณหญิงจารุวรรณ ไม่ยอมพูดถึง
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #23 เมื่อ: 30-09-2006, 16:53 »

เพิ่มเติมอีกนิด

เหตุผลที่คุณหญิงจารุวรรณยกมา จะถูกต้อง ถ้าคนที่รับโอนเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่ลูก

คือคนทำธุรกิจทั่วไป จะมาแจ้งว่าตกลงซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางของตลาดไม่ได้

ถือว่าเป็นการปกปิดซ่อนเร้นรายได้ที่แท้จริง เพื่อให้เสียภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง

แต่กรณีของการขายให้กับทายาทนั้น สรรพากรผ่อนผันให้ตั้งราคาซื้อขายลดหย่อนต่ำกว่าราคากลางได้

เป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันมานานหนักหนาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมายอมอ่อนให้กับทักษิณเป็นรายแรก

สรุปคือ ทักษิณใช้ข้อผ่อนผันการโอนรับมรดก เพื่อช่วยให้เสียภาษีน้อยลง

ซึ่งเป็นเงื่อนไข ที่คุณหญิงจารุวรรณ ไม่ยอมพูดถึง


กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กำลังตรวจสอบว่า ผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากร
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เก็บภาษีเงินได้จากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร
ที่ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 329.2 ล้านหุ้น จากบริษัท Ample
Rich Investment Limited บนเกาะบริติช เวอร์จิ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ในขณะที่ราคา
ตลาดหุ้นละ 49 บาท ทำให้บุคคลทั้งสองได้รับผลประโยชน์จาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นจำนวน
15,802 ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแม้แต่บาทเดียว แต่ถ้าต้องจ่าย
คิดเป็นภาษีถึง 5,846 ล้านบาทนั้น


ผมว่าคุณกาลามชนอาจจะเข้าใจถูกแล้วครับ เพราะตอนได้มา 1 บาท ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนที่ขายไป 49.25 บาท มันมีส่วนต่างที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดาครับ
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #24 เมื่อ: 30-09-2006, 19:02 »

ผมดีใจที่คุณ 55555 เข้าใจในประเด็นที่ขายหุ้นให้ โอ๊ค-เอม ว่าเป็นผลจากการขายแบบรับโอนมรดก
ราคาที่ใช้ประเมินภาษี สรรพากรก็มีกติกา มิใช่จะมากำหนดตั้งตามใจชอบ
เพราะถ้าตั้งตามใจชอบ คุณทักษิณก็คงขายให้ลูกโอ๊คแค่สตางค์เดียวไปแล้ว
หลักเกณฑ์ที่ใช้ก็คือ คิดเท่าราคาพาร์ ซึ่งเป็นที่มาของการคิดภาษีจากราคา 1 บาท

คุณ 55555 เข้าใจในประเด็นการขายลดราคาให้กับลูก และไม่ติดใจสงสัย
แต่ยังคงข้องใจในประเด็นหลัง คือ การขายหุ้นให้เทมาเสก ว่าทำไมไม่เสียภาษี

เรื่องของการขายให้เทมาเสก ผมไม่เข้าใจในรายละเอียดมากนัก
แต่เข้าใจว่า เงื่อนไขที่เป็นหัวใจ คือ ทำที่เวอร์จิ้นไอแลนด์
ซึ่งก่อให้เกิดผลบางอย่างต่อกระบวนการทางภาษี

เวอร์จินไอซ์แลนด์มีความหมายสำคัญต่อภาษี ในประเด็นที่สอง
ในทำนองเดียวกับกรณีที่ โอ๊ค-เอม เป็นทายาทโดยตรงของคุณทักษิณ
ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สามารถขายลดราคาได้ในประเด็นแรก

คุณอาจจะคิดว่าถ้าได้รับยกเว้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริง
อย่างนี้ต่อไปใครๆก็ควรถือโอกาสไปขายที่เวอร์จินไอซ์แลนด์ซะให้หมด
ข้อนี้ ผมเข้าใจว่าอาจเป็นเงื่อนไขที่ทำได้เฉพาะกรณีที่ผู้ซื้ออีกฝ่ายเป็นต่างชาติ
ถ้าผู้ซื้อเป็นคนไทยด้วยกันก็คงจะทำแบบนี้ไม่ได้
จะถือว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมาย ก็ได้
ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรต้องหาทางปิด หรือแก้ให้รัดกุม
บันทึกการเข้า
ดาบฟ้าฟื้น
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 207


« ตอบ #25 เมื่อ: 30-09-2006, 19:10 »

ระวังหน้าแหก เถอะพ่อคุ๊ณ เก่งกันจริงๆ สงสัยจบดอกเตอร์ มาจาก ชายแดน

ฝ่ายทักษินเขามี มีมือ กฏหมายด้านภาษีอันดับ1ของประเทศ เกรียรตินิยมอันดับ1 จากจุฬา จ้าง ชม.ละ 4หมื่น

เขาทำอะไร เขารู้ดีหมดแล้ว ไม่งั้นจะทำ ทำไม..

ไปด่าเขาไว้เยอะ จะมาขอโทษเขาหรือเปล่า

สตง. ก็ สตง เถอะ ไปทำอะไรข้ามขั้นตอน หรือเกินกว่า กติกากฏหมาย ได้เจอฟ้องกลับ ใช้หนี้ หัวหลิม

55
บันทึกการเข้า
คนเจียงใหม่
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 297


« ตอบ #26 เมื่อ: 30-09-2006, 19:24 »

 Coolถ้าอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าเลย 60 วันจากการที่ต้องเสียภาษี
 คิดจากภาษีที่ต้องเสียร้อยละ 20 และบวกด้วย ดอกเบี้ยอีก ร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ครับ
บันทึกการเข้า
the_architect
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16


« ตอบ #27 เมื่อ: 01-10-2006, 02:39 »


2. กรณีที่บริษัท Ample Rich ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทได้ถือไว้ให้กับนายพานทอง-
    แท้ และ น.ส.พิณทองทา ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัท Ample Rich ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว
    หุ้นชินคอร์ปที่บริษัทได้ซื้อไว้เป็นทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัท Ample Rich มิใช่เป็นหุ้น
    ของบริษัท Ample Rich เป็นผู้ออกเอง กรณีนี้จึงไม่เข้าลักษณะตามคำวินิจฉัยของคณะ
    กรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการเสียภาษี
    ในกรณีได้รับแจกหุ้น หรือได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ ลงวันที่
    7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538


กรณีนี้เป็นการขายจากนิติบุคคล ไปยังพนักงานไม่ใช่หรือครับ ? อีกอย่าง สรรพากรมีออพชั่นการประเมิณรายได้จากราคาจริง เหมือนกรณีนับชามก๊วยเตี๋ยว ดังนั้น กรณีนี้โอ๊คกับเอม จึงเกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นทันที ถึงแม้จะเป็นหุ้นก็สามารถใช้กฏนี้ได้เพราะเป็นการขายนอกตลาดหลักทรัพย์

กรณีนี้ออกกฏไว้เพื่อใช้ป้องกันการซื้อของจากบริษัท จำนวนมากๆ แล้วแจกพนักงานเพื่อเลี่ยงภาษีครับ
บันทึกการเข้า
PJSOFT
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 154


« ตอบ #28 เมื่อ: 01-10-2006, 03:40 »

ขอขยายความคุณ the_architect นะครับ....

ถ้าหุ้นนั้น เป็นของพ่อ "แต่เพียงผู้เดียว" แล้วให้ลูก ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นข้อยกเว้น ที่คุณกาลมะชนพูดถึง....

แต่หุ้นที่ว่า มันเป็นของทักษิณคนเดียวหรือครับ เขาถือในนามของกลุ่มทุนต่างหาก ก็เลยเป็นลักษณะของการเอาหุ้นของบริษัท โอนให้คนในบริษัท ซึ่งไม่เข้าข้อยกเว้นที่ว่า....

ถึงโอนได้ โดยอ้างว่าโอนเฉพาะส่วนของตัวเอง แต่เวลาเปิดบริษัทจะมีชื่อผู้ถือหุ้น 7 คน พี่แม้วไม่มีสิทธิ์โอนหุ้นลมอีก 6 คนออกไปด้วย (ขั้นต่ำก็คือ 6 หุ้น) ซึ่งนั่นหมายถึงยักยอกทรัพย์ ใช่หรือไม่....

จริงๆแล้วผมไม่สันทัดกรณี แต่เป็นการตั้งข้อสงสัยส่งเดช รบกวนผู้สันทัดด้วยนะครับ....

บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #29 เมื่อ: 01-10-2006, 09:05 »

ระวังหน้าแหก เถอะพ่อคุ๊ณ เก่งกันจริงๆ สงสัยจบดอกเตอร์ มาจาก ชายแดน

ฝ่ายทักษินเขามี มีมือ กฏหมายด้านภาษีอันดับ1ของประเทศ เกรียรตินิยมอันดับ1 จากจุฬา จ้าง ชม.ละ 4หมื่น

เขาทำอะไร เขารู้ดีหมดแล้ว ไม่งั้นจะทำ ทำไม..

ไปด่าเขาไว้เยอะ จะมาขอโทษเขาหรือเปล่า

สตง. ก็ สตง เถอะ ไปทำอะไรข้ามขั้นตอน หรือเกินกว่า กติกากฏหมาย ได้เจอฟ้องกลับ ใช้หนี้ หัวหลิม

55

ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร พอนับได้ว่า เป็นมือกฏหมายด้านภาษีอันต้น ๆ ได้มั๊ย "ผมพูดตามบทที่เค้าเขียน" ได้ยินเค้าพูดหรือปล่าว .....อย่าหลับหู หลับตา...ออกจากกะลา มาเถอะ
บันทึกการเข้า
THX
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 569



« ตอบ #30 เมื่อ: 01-10-2006, 09:15 »

นักบัญชี ยังทำได้เลย
บันทึกการเข้า



พวกเรา..เรารู้สึกว่าจะมีสายลับปลอมมาในหมู่ของพวกเราโดยไม่รู้ตัว=__='



( づ ̄ 3 ̄ )づ~~~♡♡♡ ~~
hison
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217


« ตอบ #31 เมื่อ: 07-11-2006, 23:00 »

 

กรมสรรพากร ขอโทษประชาชนผู้เสียภาษีีสักคำเถอะครับ
บันทึกการเข้า
p
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,264


« ตอบ #32 เมื่อ: 07-11-2006, 23:18 »


"ความรักและภักดี" ทำให้คนหูหนวก และตาบอดได้จริงๆ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ


Wink
บันทึกการเข้า

ถ้ามัวคิดแต่จะโกงและเอาเปรียบคนอื่น จะสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้อย่างไร
type
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


« ตอบ #33 เมื่อ: 07-11-2006, 23:23 »

จบ ป.4 มึนตึ๊บ  เรื่องแบบนี้ ม่ายแน่นขอศึกษาหล่ะกันนะจ๊ะ
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 07-11-2006, 23:24 »

ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ ลองอ่านข่าววันนี้ดูละกันครับ
.........................................................
มติชน วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10468

"โอ๊ค"ส่อเจอภาษี-ค่าปรับ ร่วมหมื่นล้าน สรรพากรออกหมายเรียก

กรณีแอมเพิลริชขายหุ้นชิน1บาท เจอหลักฐาน"แม้ว"ให้อ้อซื้อที่ดิน




กรมสรรพากรออกหมายเรียก"โอ๊ค"ให้เสียภาษี 5.8 พันล้าน จากการซื้อขายหุ้นชิน พร้อมค่าปรับที่ไม่ยอมยื่นชำระตามกำหนดอีกเท่าตัว รวมเป็นเงินกว่า 1 หมื่นล้าน ให้เวลาชี้แจง 15 วัน ไม่มาประเมินภาษีทันที พบแล้วหนังสือยินยอมของ"ทักษิณ"ให้"พจมาน"ซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ



**สรรพากรไล่บี้ภาษี"โอ๊ค"1หมื่นล้าน

แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพากร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของกรมสรรพากร ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบการเสียภาษี ถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร เนื่องจากกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่า การที่บริษัท แอมเพิล ริช จำกัด ได้ขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่นายพานทองแท้ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดเฉลี่ยอยู่ที่หุ้นละ 47-49 บาท ถือว่าส่วนต่างราคาหุ้นดังกล่าวเป็นรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี ตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากร

"การออกหมายตรวจสอบของกรมสรรพากรจะกระทำต่อเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าผู้ถูกประเมินภาษีไม่เสียภาษีที่ควรจะต้องเสียภายในเวลาที่กำหนด โดยกรณีของนายพานทองแท้นั้น ได้ครบกำหนดการชำระภาษีดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งตามกฎหมาย นอกจากจะถูกประเมินภาษีแล้ว นายพานทองแท้ยังต้องเสียค่าปรับ 1.5% ต่อเดือนและเงินเพิ่มอีก 1 เท่าตัวของภาษีที่จะต้องจ่าย รวมแล้วประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากภาษีที่ต้องจ่าย 5.8 พันล้านบาท" แหล่งข่าวกล่าว

**ไม่มาชี้แจงภายใน15วันออกหมายจับ

แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากนี้นายพานทองแท้จะต้องเข้าชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีภายใน 15 วันหลังจากได้รับหมายเรียก หากพ้นกำหนดไม่มาชี้แจง กรมสรรพากรก็สามารถออกหมายจับได้ อย่างไรก็ตาม หากนายพานทองแท้มาพบกรมสรรพากรภายในกำหนดก็สามารถอุทธรณ์การตรวจสอบครั้งนี้ได้

แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรกล่าวว่า การออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีดังกล่าว ได้มีการหารือระหว่างข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างเคร่งเครียดเพื่อหาทางออกกรณีการจัดเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ โดยมีข้อถกเถียงกว้างขวางระหว่างฝ่ายกฎหมาย และฝ่ายตรวจสอบที่ทำหน้าที่ประเมินภาษี และมีการเสนอให้ทำเรื่องหารือคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีที่มีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน แต่นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร เห็นว่าไม่จำเป็น เพราะสามารถสรุปในขั้นกรมสรรพากรได้ เพราะมีความชัดเจนทั้งเรื่องระยะเวลา และข้อเท็จจริงที่สามารถตอบคำถามเรื่องนี้ได้ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบและฝ่ายกฎหมายได้รายงานให้อธิบดีกรมสรรพากรรับทราบแล้ว และได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการเรียกมาตรวจสอบ

**อธิบดีสรรพากรบอกทำตามกม.

นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวได้มีการดำเนินการไปตามปกติ ตามขั้นตอนของกฎหมายไม่มีหยุดนิ่ง แต่ถ้าถามตนว่า กรมสรรพากรทำอะไร อย่างไรนั้น ตนเปิดเผยไม่ได้ เพราะเรามีมาตรา 10 ของประมวลรัษฎากรที่ค้ำคออยู่ จะมาเปิดข้อมูลผู้เสียภาษีเป็นรายๆ นั้นเราทำไม่ได้ มันผิดกฎหมาย และที่สำคัญ กรณีการออกหมายไม่ใช่หน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประเมินภาษี ซึ่งเขามีหน้าที่ที่ต้องทำตามคำแนะนำของฝ่ายกฎหมาย ซึ่งเขาก็ปรึกษาหารือกัน เป็นการดำเนินงานตามปกติ

"ผมคงไม่ตอบว่าเขาทำอะไร เพราะแต่ละขั้นตอนของกรมสรรพากรให้คุณให้โทษคนได้ คนจ้องมองอยู่ แต่ยืนยันว่าทุกอย่างผมทำตามกฎหมาย" นายศิโรตม์กล่าว

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0101071149

ข่าวหญิงอ้อ ตามไปอ่านตามลิ้งค์ที่ให้นะครับ
บันทึกการเข้า

p
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,264


« ตอบ #35 เมื่อ: 07-11-2006, 23:37 »

มติชน วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10468

... พบแล้วหนังสือยินยอมของ"ทักษิณ"ให้"พจมาน"ซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ

ก็ไหนว่าไม่รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้
แล้วมีหนังสือยินยอมได้อย่างไร


 
บันทึกการเข้า

ถ้ามัวคิดแต่จะโกงและเอาเปรียบคนอื่น จะสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้อย่างไร
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 07-11-2006, 23:44 »

แหม...ซื้อขายส่วนตัวระดับ พันล้าน จะไม่ให้สามีรับรู้ก็เกินไปหน่อย..

หลักฐานมีแน่นอน เพราะ มติชนลงดักเอาไว้แล้ว เกรงแต่ว่า ฝั่งคนถูกกล่าวหาจะไปดึงออกจากแฟ้มข้อมูล เท่านั้นเอง

คตส.ควรจะรีบเข้าไปตรวจหรือขอสำเนาเอกสารมาไว้โดยเร็ว...
บันทึกการเข้า

willing
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 186



« ตอบ #37 เมื่อ: 08-11-2006, 00:01 »

รู้เรื่องนี้ ขึ้นอีกเยอะเลย
ขอบคุณ ที่ขุดมาให้อ่านครับ
บันทึกการเข้า

Even If I am a minority of one, truth is still the truth. - Mohandas Gandhi
*bonny
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,459



« ตอบ #38 เมื่อ: 08-11-2006, 08:30 »

คนที่จะถูกเชือดคิวต่อไปคือ..

ดร.สุวรรณ วลับเสถียร

(ถูกทักษิณเชือดนะ)
บันทึกการเข้า

ประเทศชาติมีภัย  เสรีไทยร่วมกอบกู้
p
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,264


« ตอบ #39 เมื่อ: 08-11-2006, 08:46 »

คนที่จะถูกเชือดคิวต่อไปคือ..
ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
(ถูกทักษิณเชือดนะ)

ถ้าเป็นไปตามที่ว่านี้
เราก็จะได้บทเรียนที่ล้ำค่าไว้สอนลูกสอนหลาน
ว่า ...
แม้ว่าจะเก่งสุดยอดจนหาที่เปรียบไม่ได้
ก็ไร้เกียรติ์และไร้ศักดิ์ศรี ถ้าไร้ซึ่งคุณธรรมและจรรยาบรรณ

 Smile
บันทึกการเข้า

ถ้ามัวคิดแต่จะโกงและเอาเปรียบคนอื่น จะสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้อย่างไร
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #40 เมื่อ: 08-11-2006, 09:08 »

คนเรานี่หนา แม้กระทั่งกฎหมายก็หาช่องลอดให้ได้ จนหลายๆ คนสนับสนุน ว่าไม่ต้องเสียภาษีให้กับประเทศหรอก ถึงขั้นเถียงแทนด้วยซ้ำ

แต่หาทำอะไรถูกต้องแล้ว จะกลัวทำไม

ทำไมกฎหมายอันเดียวกัน คนถึงตีความไปได้หลายอย่างจังครับ

ก็ถึงว่ากฎเค้าร่างมาดีแค่ใหน คนจั*** ก็หาทางเลี่ยงอยู่ดี แต่จะเลี่ยงได้ไม่ได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบหล่ะครับ ถ้าไม่มีภาคประชาชนกับนักวิชาการออกมาพูดเรื่องนี้ เราจะได้ภาษีจาก คนพวกนี้หรือเปล่า
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #41 เมื่อ: 08-11-2006, 09:20 »

นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร นับเป็นลูกผู้ชายที่ยืดได้ หดได้ ตัวจริง 
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 08-11-2006, 10:49 »

มติชน วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10468

... พบแล้วหนังสือยินยอมของ"ทักษิณ"ให้"พจมาน"ซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ

ก็ไหนว่าไม่รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้
แล้วมีหนังสือยินยอมได้อย่างไร


 

ทักษิณจะอ้าง เหมือนกับในคดีโกงเชค ว่า "ไม่ใช่ลายเซ็นผม" 
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
ScaRECroW
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,000


สุสูสัง ลภเต ปัญญัง - ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา


เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 08-11-2006, 12:33 »

มติชน วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10468

... พบแล้วหนังสือยินยอมของ"ทักษิณ"ให้"พจมาน"ซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ

ก็ไหนว่าไม่รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้
แล้วมีหนังสือยินยอมได้อย่างไร


 

ทักษิณจะอ้าง เหมือนกับในคดีโกงเชค ว่า "ไม่ใช่ลายเซ็นผม" 


ไม่แน่นะครับ บางทีมันอาจจะอ้างว่า "ไม่ใช่เมียโผม"
บันทึกการเข้า

Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.

ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่?
ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน
ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #44 เมื่อ: 08-11-2006, 12:43 »


"ความรักและภักดี" ทำให้คนหูหนวก และตาบอดได้จริงๆ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ


Wink
ฮา.........
บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #45 เมื่อ: 08-11-2006, 12:52 »


...

ไม่แน่นะครับ บางทีมันอาจจะอ้างว่า "ไม่ใช่เมียโผม"

  ทั่นเหลี่ยมต้องหูขาดแน่ 

บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
อมพระมาพูด
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 918


สนิมเกิดแต่เนื้อในตน


« ตอบ #46 เมื่อ: 08-11-2006, 12:55 »

 

ทำถูกต้องตั้งแต่ต้น ก้อไม่มีปัญหาแล้วใครแนะนำทักสินวะ ?
บันทึกการเข้า

พึงทำความเพียรในวันนี้ ใครเล่าจะรู้วันตายในวันพรุ่ง
นายเกตุ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,289



« ตอบ #47 เมื่อ: 08-11-2006, 13:04 »

หัดขี้โกงตั้งแต่เด็กๆ สงสัยพ่อแม่ไม่สั่งสอน
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: 08-11-2006, 15:22 »

นี่ดีกว่า หม่อมอุ๋ย กำลังหา "แพะ" ซักตัว
...................................
หม่อมอุ๋ย'อุ้มกรมสรรพากร โยนจนท.ทำพลาด

กรุงเทพธุรกิจ 8 พฤศจิกายน 2549 13:10 น.

รัฐมนตรีคลังปกป้องอธิบดีกรมสรรพากร ชี้เพิ่งพบช่องเรียกเก็บภาษีทายาท"ทักษิณ" โยนจนท.ตอบหนังสือ"โอ๊ก-เอม"โดยไม่ปรึกษาอธิบดีและปลัด เตรียมนำกฎหมายสัดส่วนการถือหุ้นต่างด้าว ถกแก้ในสนช.ป้องกันนอมินี

     

       ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กรมสรรพากร จะเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ ชินวัตร และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร กรณีการซื้อขายหุ้นชิน ว่า อธิบดีกรมสรรพากรได้รายงานว่า ออกหนังสือไปแล้วแจ้งให้ทั้งสองต้องมาเสียภาษี หลังจากที่รอมา 6-7 เดือน ถามว่าทำไม่ต้องรอ เขาแจ้งว่าที่ต้องรอเพราะภาษีตามหลักฐานใหม่ เป็นภาษีที่เข้าข่ายเสียภาษีได้ในเวลา 6 เดือน หลังจากเปลี่ยนแปลง ถึงต้องรอให้ผ่านวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นก็ตั้งเรื่อง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ เพราะต้องผ่านหน่วยงานตรวจสอบ และหน่วยงานด้านกฎหมาย เมื่อเรียบร้อยหมดแล้ว ก็จัดการทันทีถือว่าเป็นการทำหน้าที่ปกติ

       ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เงื่อนไขจะเปลี่ยนหรือไม่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ไม่รู้ ตอบไม่ได้ แต่บังเอิญมันมาเปลี่ยนตอนนี้

       เมื่อถามว่าข้าราชการทำตัวแบบนี้จะมีความผิดหรือไม่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ตอนแรกภาคเอชนถามไปว่า ถ้าเป็นกรณีอย่างนี้จะต้องเสียภาษีหรือไม่ ก็มีการตอบออกไปจริง ซึ่งมีการเช็คแล้ว คนตอบไม่ใช่ตัวอธิบดี และไม่ได้ปรึกษาอธิบดีและปลัด ซึ่งอันนี้ยืนยันจะดูต่ออย่างละเอียดแน่นอน ไม่ต้องห่วง เพราะคำตอบมันผูกพันกรรมสรรพากร เท่าที่ดูตอนนั้นมันไม่มีทางเก็บภาษีได้ แต่อธิดีกรมสรรพากรมารู้ที่หลัง และทำอะไรไม่ได้ ก็พยายามหาข้อมูลอื่น จนเจอช่องที่สามารถเก็บภาษีได้ พอตนเองเข้าไปก็เล่าให้ฟัง ตนจึงได้บอกให้เริ่มตั้งขบวนการที่จะเก็บภาษีได้เลย ถือว่าได้ผลสมประโยชน์แล้ว

       "ผมจะไปดูเรื่องที่ตอบไป ทำไมไม่ปรึกษาอธิบดีก่อน จะดูต่อไม่หยุดแค่นี้ เพราะหากหยุดก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ถ้าใครทำอะไรไว้ให้กรรมสรรพากรเสียประโยชน์ จะต้องดูกันอย่างละเอียดและถูกต้อง เพราะการเก็บภาษีที่ควรจะเสียเป็นนโยบายที่ถูก "

       รมว.คลังระบุอีกว่าที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ตรวจสอบเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งให้ฟ้อง ไม่เกี่ยวกับ กลต. เพราะสำนวนพร้อมอยู่แล้ว คตส.คงจัดการเอง เพราะเขาดูละเอียด

       เมื่อถามถึงการแก้กฎหมายต่างด้าวเรื่องการหือหุ้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ต้องพูดกันให้ชัดว่า บริษัทต่างชาติหมายถึงอะไร เพราะเดิมที่กฎหมายเขียนไว้ มันตีความได้ร้อยแปด และคำว่านอมีนี หรือตัวแทน ต้องพูดให้ชัดเพราะตีความได้เยอะมาก นอกจากนี้ต้องดูเรื่องโทษด้วย ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก จากนั้นเมื่อออกกฎหมายมาแล้ว ต้องมีช่วงเวลา และเมื่อกฎหมายใหม่ออกมาชัด ก็ต้องให้เวลาทุกคนปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายใหม่

       "กฎหมายธุรกิจต่างด้าวเป็นกฎหมายที่สืบเนื่องมากจากคำประกาศคณะปฏิวัติ ซึ่งบริษัทต่างด้าวเดิมเคยทำตามคำประกาศคณะปฎิวัติ พอมีกฎหมายนี้ขึ้น ก็ไม่ได้ตีความว่าตรงหรือไม่ตรง ปล่อยให้คาราคาซัง ซึ่งเรื่องนี้อาจนำเข้าสภาฯพิจารณาแก้ย้อนหลังทีเดียวจบ เพื่อให้การลงทุนอยู่ได้ และต่อไปนี้จะไม่มีศรีธนญชัย เพราะมันจะออกมาค่อนข้างชัดว่าอะไรเป็นอะไร " ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว
บันทึกการเข้า

hison
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 217


« ตอบ #49 เมื่อ: 13-11-2006, 10:45 »

เรื่องนี้ สุดท้ายจบที่ศาล

ขอให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่สรรพากรทุกคนที่เกี่ยวข้อง ขอให้ทำตามหน้าที่ที่ถูกต้อง นะครับ

ขอรวมข้อมูลไว้ที่เดียวกันเพื่อ เป็นการศึกษาไปในตัว
...............................................................................................................................................

ป.ป.ช.ตั้งข้อหาศิโรตม์ละเว้นหน้าที่ แฉปมลึก กลับลำบี้ภาษีโอ๊ค-เอม

 

เบื้องหลัง "สรรพากร" กลับลำเก็บภาษี "โอ๊ค-เอม" ที่แท้ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อหาละเว้นเก็บภาษีกรณีคุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้บรรณพจน์ หวั่นโดนอีกคดี ป.ป.ช.นัดประชุมสรุปสำนวนสัปดาห์นี้ก่อนส่งชุดใหญ่เชือด ขณะที่ "หม่อมอุ๋ย" ตั้ง "อรัญ ธรรมโน"สอบอีกชุดนักกฎหมายหวั่นเก็บภาษีผิดมาตรา

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความคืบหน้าการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรละเว้นการเรียกเก็บภาษีกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร โอนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ในชื่อของนางดวงตา วงศ์ภักดี แม่บ้าน จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้นาย บรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมานว่า อนุกรรมการจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการชุดที่มี น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการ เพื่อสรุปสำนวนในสัปดาห์นี้ หลังจากเรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และล่าสุดผู้ต้องหาทั้งหมดได้ส่งคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรมาให้อนุกรรมการแล้ว

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า คดีนี้มีผู้เรียกมารับทราบข้อกล่าวหา มีจำนวน 10 คน ประกอบด้วย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร นางเบญจา หลุยเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวง การคลัง นางสาวจำรัส แหยมสร้อยทอง ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย นางสาวโมรีรัตน์ บุญญศิริ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย นางสาวกุลฤดี แสงสายัณห์ นิติกร 7 นางสาวปราณี สุกลพจน์ วรชัย นักวิชาการสรรพากร 7 และผู้เกี่ยวข้องอีกประมาณ 4 คน ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เป็นไปได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากรตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้เป็นผลทำให้กรมสรรพากรวินิจฉัยกรณีบริษัทแอมเพิลริช ขายหุ้นชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้นให้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ในราคาหุ้นละ 1 บาท ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่หุ้นละ 47 บาท ถือว่ามีรายได้พึงประเมินและออกหมายเรียกนายพานทองแท้มาชำระภาษี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้วินิจฉัยว่าไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งคดีนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพราะไม่อยากเป็นผู้ต้องหาอีกหนึ่งคดีนั่นเอง เห็นได้จากนายศิโรตม์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ต้องเรียกเก็บภาษีนายพานทองแท้ว่า "ไม่อยากนอนในคุก" และแม้ว่ากรมสรรพากรจะกลับลำ แต่ไม่มีผลต่อคดีการโอนหุ้น 738 ล้านบาท เพราะต่างกรรมต่างวาระกัน

ป.ป.ช.ชี้คดีบรรณพจน์ "ละเว้น"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีการโอนหุ้น 738 ล้านบาท สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัทชินคอร์ป มีคำสั่งซื้อหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (หรือชินคอร์ป) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 164 บาท ผ่านโบรกเกอร์คือ บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด โดยมีนางสาวดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ขาย ซึ่งการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์นั้น ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องเสียค่าธรรมเนียมให้แก่โบรกเกอร์ร้อยละ 0.5 ของมูลค่าหุ้นที่ซื้อขาย ทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมทั้งสองฝ่ายรวมร้อยละ 1 หรือเท่ากับ 7.38 ล้านบาท

ในการไต่สวนของ ป.ป.ช. นายบรรณพจน์ให้การไว้ว่า ไม่ได้เป็นผู้ซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าว แต่คุณหญิงพจมานเป็นคนแบ่งหุ้นให้ สอดคล้องกับคำให้การของนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุ การคุณหญิงพจมาน ที่บอกว่า เป็นการซื้อขายผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคุณหญิงพจมานเป็นผู้สั่งให้ตนดำเนินการขายหุ้นในชื่อของนางสาวดวงตาให้แก่นายบรรณพจน์ แต่คุณหญิงพจมานเป็นผู้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นแทนนายบรรณพจน์ทั้งหมด เมื่อโบรกเกอร์ได้รับเงินค่าหุ้นแล้วก็ออกเช็คสั่งจ่ายค่าหุ้นให้แก่นางสาวดวงตา เป็นเช็คขีดคร่อม A/C Payee Only แต่นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชี คุณหญิงพจมานที่ธนาคารไทยพาณิชย์

ป.ป.ช.เห็นว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการให้โดยเสน่หาซึ่งผู้รับโอนหุ้นต้องนำราคาหุ้นที่รับโอนมูลค่า 738 ล้านบาท มาคำนวณรวมเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี แต่การใช้วิธีการซื้อขาย หุ้นผ่านระบบการของตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งเสียค่าธรรมเนียมให้โบรกเกอร์ร้อยละ 1 ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้แทนการยกให้โดยเสน่หาในส่วนที่เกิน 4 ล้านบาท ในอัตราร้อยละ 37 อันเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้ของตนหรือบุคคลใกล้ชิด

กรมสรรพากรกลับอ้างว่าการโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการให้โดยเสหน่หา ได้รับการยกเว้นภาษี เงินได้ตามมาตรา 42 (10) เข้าลักษณะเป็นการ ได้รับอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาไม่ต้องเก็บภาษี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า กรมสรรพากรจะต้องกลับไปทบทวน กรณีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซื้อหุ้น 738 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว เพราะไม่มีใครเชื่อว่าเงิน 738 ล้านบาท ตามที่คุณหญิง พจนมานอ้างว่าให้ในโอกาสวันแต่งงานและวันเกิดลูกชาย ฟังไม่ขึ้น เพราะเหตุการณ์ไม่ได้ให้หลังจาก 1 วัน 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือนหลังวันแต่งงาน แต่นี่เป็นเวลาเกือบ 2 ปี

"อุ๋ย" ลุยต่อตั้ง "อรัญ ธรรมโน" สอบอีกชุด

หลังจากการกลับลำของนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร ในการออกหนังสือเรียกให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร มายื่นเสียภาษีเงินได้กลางปีจากการ ซื้อ-ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้กรมสรรพากรได้ตอบข้อหารือว่าไม่ต้องเสียภาษีกรณีที่ซื้อหุ้นจากบริษัท แอมเพิลริช จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท และขายต่อให้กับเทมาเส็กในราคา 49 บาท/หุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อประเด็นดังกล่าว ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขั้นตอนต่อไปกระทรวงการคลังจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป โดยมีนายอรัญ ธรรมโน อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรม การ และกรรมการที่เหลืออีก 3 คน จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก อาทิ ตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด นักวิชาการ เป็นต้น

"คณะกรรมการชุดนี้จะมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด เหตุใดในอดีตกรมสรรพากรถึงไม่กล้าที่จะดำเนินการจัดเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ป ทำไมครั้งนี้เพิ่งจะมาเรียกเก็บ เมื่อคณะกรรมการชุดนี้สรุปเรื่องราวข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้วจะส่งให้ คตส.พิจารณาด้วย ไม่ต้องห่วง ผมทำอะไรถ้าถูกก็ต้องเป็นถูก ผิดก็ต้องเป็นผิด" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

นัก กม.หวั่นเก็บภาษีผิดมาตรา

ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพากรเปิดเผยว่า ก่อนอื่นต้องขอชมนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง และนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร ที่ตัดสินใจออกหมายเรียกให้นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา มายื่นเสียภาษีกลางปีที่เพิ่งจะพ้นกำหนดการเสียภาษีไปเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ตามประมวลรัษฎากรระบุไว้ว่า ผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40 (5)-(Cool มีหน้าที่ที่จะต้องมายื่นแบบเสียภาษีกลางปี

ในกรณีของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ได้ซื้อหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทแอมเพิลริชในราคาหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด (ณ วันที่มีการซื้อ-ขายหุ้น 47 บาท) และต่อมานำไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ราคา 49 บาท คาดว่าอธิบดีกรมสรรพากรจะอาศัยอำนาจตามมาตรา 40 (Cool ประเมินภาษีการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งหมวดนี้ถือว่าเป็นหมวดที่กว้างมากแบบครอบจักรวาล ได้แก่ เงินได้จากการทำธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือเงินได้อื่นๆ นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40 (1) ถึง 40 (7) แห่งประมวลรัษฎากร

"แต่ก็มีนักกฎหมายบางท่านในกรมสรรพากรคิดว่าไม่น่าจะใช้มาตรา 40 (Cool น่าจะเป็นมาตรา 40 (2) เพราะเท่าที่ดูเอกสารหลักฐานต่างๆ พบว่านายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา มีฐานะเป็นกรรมการในบริษัทแอมเพิลริชถึงซื้อหุ้น ชินคอร์ปได้ในราคา 1 บาท ในขณะที่ราคาตลาด ณ ขณะนั้นอยู่ที่ 47 บาท ทำไมไม่ไปขายให้ นักลงทุนรายอื่นราคา 1 บาทบ้าง"

ติงให้ดูเคส "อรัญ" วินิจฉัย

กรณีดังกล่าวน่าจะไปตรงกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 นายอรัญ ธรรมโน ปลัดกระทรวงการคลัง ที่เคยวินิจฉัยไว้เมื่อปี 2538 ระบุว่า "กรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำหุ้นไปแจกให้พนักงานลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษา หรือบุคคลผู้รับทำงาน ให้ในลักษณะทำนองเดียวกัน หรือนำหุ้นไปขายให้กับบุคคลดังกล่าวตามข้อตกลงพิเศษในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด กรณีนี้ย่อมถือได้ว่าบุคคลดังกล่าวได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว จึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้นไม่ว่าหุ้นดังกล่าวจะมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอน และไม่ว่าหุ้นดังกล่าวจะเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือนอกตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย"

ดังนั้นเมื่อถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 ขั้นตอนต่อไปต้องมาดูว่าอยู่ในเงินได้ประเภทใดในมาตรา 40 ซึ่งแยกประเภทเงินออกเป็น 8 ประเภท โดยเฉพาะมาตรา 40 (2) คือ เงินได้ที่เกิดจากการรับทำงานให้ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ซื้อ-ขายหลักทรัพย์ ค่าส่วนลด เงินอุดหนุนในงานที่ทำให้ เป็นต้น หากกรมสรรพากรใช้อำนาจตามกฎหมายถูกต้องประเทศชาติจะได้เงินภาษีเข้ารัฐไม่ต่ำกว่า 5,800 ล้านบาท แต่ถ้าอธิบดีกรมสรรพากรใช้อำนาจเก็บภาษีผิดมาตราหรือผิดประเภท ก็จะเป็นการเปิดช่องให้นายพานทองแท้และพินทองทา มาฟ้องกลับกรมสรรพากรเก็บภาษีผิดมาตราได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือยอมเสียภาษีไปก่อนแล้วมาขอคืนภาษีที่หลัง เพราะเสียภาษีผิดประเภทได้

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า หลังจากที่กรมสรรพากรออกหมายเรียกและประเมินภาษีนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เท่าที่ทราบจากทนาย ความของครอบครัวชินวัตรจะอุทธรณ์ให้ยกเลิกการประเมินภาษี เนื่องจากก่อนหน้านี้กรมสรรพากรตอบข้อหารือว่ากระบวนการซื้อขายหุ้นดังกล่าวไม่ต้องเสียภาษี เหตุใดมาเก็บภาษี และ 2.ขอให้กรมสรรพากรงดเบี้ยปรับเต็มจำนวน (2 เท่าของวงเงินที่ต้องเสียภาษี)

"ถ้าหากมีการยื่นอุทธรณ์ หลังยื่นทางกรมสรรพากรจะนำเรื่องเข้าสู่สำนักอุทธรณ์ภาษีที่มีนางสาวจำรัส แหยมสร้อยทอง เป็นผู้อำนวยการ เดิมทีนางสาวจำรัสเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและมีส่วนรับทราบในการตอบข้อหารือดังกล่าวด้วย ทั้งนี้สำนักอุทธรณ์จะต้องสรุปสำนวนข้อเท็จจริงส่งให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งประกอบด้วย 1.ตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด 2.ตัวแทนจากกระทรวงมหาดไทย 3.ตัวแทนจากกรมสรรพากร ผลการพิจารณาถือเป็นสิ้นสุด โดยใช้มติไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 หากชี้ขาดว่าต้องเสียภาษี ผู้ถูกประเมินสามารถร้องต่อศาลภาษีอากรกลางได้ ในกระบวนการนี้สามารถต่อสู้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา คาดว่าใช้เวลายืดเยื้อหลายปี ซึ่งการต่อสู้ในชั้นศาล อาจจะมีการหยิบประเด็นการเรียกเก็บภาษีผิดมาตรา ผิดประเภท ขึ้นมาต่อสู้ได้" แหล่งข่าวกล่าว

ส่วนนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ตอบข้อถามที่ว่า ในการประเมินภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ได้รับรู้หรือไม่ และกรมสรรพากรใช้กฎหมายถูกมาตราถูกประเภทหรือไม่ โดยตอบว่า "ผมรับรู้ แต่ในรายละเอียดเป็นอำนาจของอธิบดีโดยตรง"

คตส.บี้ "ศิโรตม์"

ในวันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน นายสัก กอแสงเรือง กรรมการคตส. ได้กล่าวหลังเชิญนายศิโรตม์เข้าชี้แจงว่า ทางนายศิโรตม์ได้ชี้แจงว่า สาเหตุที่ออกหมายเรียกเพราะได้ข้อมูลการไหลของเงินจาก ธปท.และ ก.ล.ต.เพิ่มเติม ซึ่งข้อมูลนี้ทางสรรพากรส่งให้ คตส. ภายใน 7 วัน นอกจากนี้ นายศิโรตม์เล่าว่า ได้ไปให้ปากคำกับ ป.ป.ช.อยู่ตลอด และขณะนี้ ป.ป.ช.ได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้ คตส.แล้ว กำลังดูรายละเอียดอยู่

ส่วนนายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ กรรมการ คตส. กล่าวเพิ่มเติมว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้ออกหมายเรียกให้เสียภาษีตามมาตรา 19 และ 23 ซึ่งเป็นมาตราที่ครอบจักรวาล เหตุเพราะต้องเรียกผู้เสียภาษีมาสอบสวนเพิ่มเติม

นอกจากนี้ได้ชี้แจงขบวนการตอบหนังสือข้อหารือว่า ขบวนการได้มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นอธิบดี โดยแบ่งหน้าที่ให้รองอธิบดีฝ่ายกฎหมาย รองอธิบดีฝ่ายบริหารและรองอธิบดีฝ่ายตรวจสอบ เป็นผู้คอยตอบข้อหารือกับผู้เสียภาษี เมื่อตอบไปแล้วภายใน 1 เดือนจะรายงานให้อธิบดีทราบ ยกเว้นรายไหนที่สงสัยจะเรียกดูได้ ดังนั้นนายศิโรตม์จึงไม่ได้ลงนาม แต่เจ้าหน้าที่ลงนามปฏิบัติหน้าที่แทนอธิบดี และชี้แจงเพิ่มว่า ตนไม่เห็นด้วยหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตอบ ข้อหารือไปแล้ว

ขณะเดียวกันได้สอบถามถึงการใช้อำนาจของอธิบดีในการเรียกประเมินภาษีครั้งนี้ หากเป็นมาตรา 40(2) ไม่ต้องยื่นภาษีกลางปี แต่ต้องยื่นเสียประจำปี แต่ถ้าเป็น 40(Cool ต้องเสียกลางปี ซึ่งเป็นอำนาจอธิบดีที่จะตีความ ส่วน คตส.เห็นด้วยหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่ง คตส.มีคำตอบแล้ว แต่เปิดเผยไม่ได้

ส่วนกรณีคุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์ กรมสรรพากรตอบข้อหารือไปโดยใช้มาตรา 42(10) ยกเว้นภาษีเพราะถือว่าเป็นการให้โดยขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งตนได้ยกตัวอย่างให้นายศิโรตม์ฟังว่า ในสมัยตนเคยมีกรณีตัวอย่างที่มีคนเอาเช็ค 3 ใบ มูลค่า 15 ล้านบาท โดยอ้างว่าเข้ามาตรา 42(10) แต่กรมสรรพากรวินิจฉัยว่าไม่เข้าข่าย ซึ่งนายศิโรตม์นั่งนิ่งรับฟังเป็นข้อมูล

ทั้งนี้ กรณีคุณหญิงโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์ ทางกรมสรรพากรมีอำนาจในการตรวจสอบประเมินภาษีย้อนหลังได้ อายุความ 10 ปี ขณะนี้เหลือเวลาอีก 1 ปี 2 เดือน
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: