ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 17:31
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ฝรั่งเศสเองยังมีการจัดโซนนิ่ง วอลมาร์ตยังอยู่ไกลเมืองถึง 40 กิโลเมตร 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ฝรั่งเศสเองยังมีการจัดโซนนิ่ง วอลมาร์ตยังอยู่ไกลเมืองถึง 40 กิโลเมตร  (อ่าน 1638 ครั้ง)
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« เมื่อ: 06-09-2006, 09:22 »

ขีดเส้น15วันแก้ค้าปลีกนอกทุบโชห่วย

ขู่เกณฑ์ม็อบ2พันคนปิดล้อมกระทรวงพาณิชย์

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. นายพันธ์เทพ สุลีสถิร กำนัน ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านการขยายสาขาของห้างค้าปลีกข้ามชาติ พร้อมคณะตัวแทนจากจังหวัดต่างๆ ประมาณ 30 คนได้เดินทางมายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ แต่นายสมคิดไม่ได้เดินทางเข้ากระทรวง จึงมอบหมายให้นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นผู้รับหนังสือแทน โดยเนื้อหาของหนังสือร้องเรียนแต่ละฉบับส่วนใหญ่เรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องค้าปลีกรายย่อยและคุมกำเนิดการขยายสาขาของค้าปลีกต่างชาติ

นายพันธ์เทพ กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยถูกรุกรานจากทุนต่างชาติมาก รุกเข้ามาในอำเภอ เช่น อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร อ.สามชุก อ.สองพี่น้อง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ และอื่นๆ เราต้องการให้รัฐหยุดการขยายสาขาในเขตอำเภอทันที เพราะก่อนหน้านี้มีการขยายสาขาในเขตพื้นที่จังหวัดแล้วรวมทั้งหามาตรการคุ้มครองค้าปลีกรายย่อยของไทยด้วย

"เรามาเรียกร้องศักดิ์ศรีและสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ของคนไทย วันนี้ไปอยู่ที่ไหนปล่อยให้ต่างชาติมารุกราน เราจะปล่อยให้เค้ากลืนชาติเราไปทั้งประเทศหรืออย่างไรรัฐบาลต้องคุ้มครองคนไทย ขนาดในฝรั่งเศสเองรัฐบาลยังมีการจัดโซนนิ่ง ไม่ให้เปิดทุกๆ ที่ ส่วนวอลมาร์ตของสหรัฐเอง ก็อยู่ไกลเมืองถึง 40 กิโลเมตร ดังนั้น รัฐบาลต้องหยุดระงับการขยายสาขาก่อนจนกว่ากฎหมายค้าปลีกที่กระทรวงพาณิชย์ร่างขึ้นจะมีผลบังคับใช้พวกเราจะให้เวลากระทรวงพาณิชย์ภายใน 15 วัน หากไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจเราจะนำผู้ชุมนุมจากทุกจังหวัดประมาณ 1-2 พันคน มาปิดล้อมกระทรวงพาณิชย์ ปิดทางเข้าออกทั้งหมด" นายพันธ์เทพกล่าว

นายพันธ์เทพ กล่าวอีกว่า เมื่อห้างเทสโก้ฯ ดังกล่าว มีการขยายสาขาจะทำให้ร้านค้าปลีกที่เป็นของคนไทยเดือดร้อน และเห็นว่าค้าปลีกต่างชาติขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว และมาอย่างรีบร้อน และไม่เข้าใจว่ารัฐบาลมีการปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ได้อย่างไร ให้ธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติสามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจได้อย่างเสรี จึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นของคนไทย ด้วยการออกกฎหมายควบคุมธุรกิจข้ามชาติ ระงับการก่อสร้างเพื่อขยายธุรกิจค้าปลีกมายังท้องถิ่นโดยเร็ว แต่หากรัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกคนไทยจะต้องล้มหายตายจากอีกจำนวนมาก

น.ส.วรนุช พัฒนะธนัง ตัวแทนค้าปลีก-ส่ง จ.อยุธยา กล่าวว่า ขณะนี้ห้างคาร์ฟูร์กำลังจะเปิดสาขาที่อ.อุทัย ขณะที่ค้าปลีกรายย่อยไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็กำลังจะเปิด เพราะมีกระแสข่าวระบุว่าผู้ใหญ่ทางกระทรวงมหาดไทยเป็นคนสั่งมาให้เปิดได้ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็กำชับมาเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้ากลุ่มดังกล่าวได้เดินทางไปยื่นถวายฎีกาที่วัดพระแก้ว จากนั้นเดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับผู้ตรวจการรัฐสภา และในช่วงบ่ายเดินทางมายื่นหนังสือที่กระทรวงพาณิชย์

หน้า 8<
http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03eco01060949&day=2006/09/06

 Rolling Eyes
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
Metrosexual
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 79


« ตอบ #1 เมื่อ: 06-09-2006, 11:08 »

ผมคิดว่ารัฐบาลสนใจเรื่องภาษีที่จัดเก็บได้มากกว่านะ

ถ้าปล่อยให้มีโชว์ห่วยกระจาย ร้านย่อย ๆ มันเก็บภาษีได้น้อย

มีพวกโลตัส คาร์ฟู มันฟันได้เป็นกอบเป็นกำ

ครอบครัวไหนจะล่มสลายก็ช่างมัน ดันซวยเอง

มาเกิดในประเทศที่เห็นแต่ด้านดีของการเปิดเสรี (ที่ไม่ต้องควบคุม)

บันทึกการเข้า
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #2 เมื่อ: 06-09-2006, 11:12 »

ถ้าไม่เริ่มควบคุมวันนี้ อนาคต ต้องแย่แน่นอนครับ

มันค่อยๆ กลืน อย่างเนียนๆ แต่ระยะยาวจะเห็นผลครับ แล้วจะมาเสียใจภายหลัง เหมือนเดิม คนไทย  Crying or Very sad
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 06-09-2006, 15:02 »

สายเกินไปแล้ว  ทุนต่างชาติได้โอกาศที่เปิดให้โดยรัฐบาลทรราชย์ เข้ามายึดครองพื้นที่การค้าของคนไทยไปหมดแล้ว  มาตรการใดๆทางกฎหมายไม่สามารถใช้แก้ไขได้อีกแล้ว

แม้นจะหันมาใช้มาตรการทางสังคม ก็คงไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากไทยเราสังคมอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว แม้แต่การรณรงค์ให้ใช้ของไทยเราเอง ยังไม่เคยประสบผลสำเร็จ การต่อต้านร้านค้าต่างชาติเหล่านี้ จึงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะแม้แต่ประชาชนที่เดือดร้อนจากร้านค้าเหล่านี้ ยังต้องเข้าไปซื้อของในร้านเหล่านี้  สำนึก เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนมากมีน้อย หาไม่ไอ้โจรชั่ว มันคงไม่ได้คะแนนเสียงโง่ๆอยางมากมายหรอกค่ะ

โปรดยอมรับความจริงไว้ว่า เมื่อครั้งมีผู้ทูลขอพระราทานรัฐธรรมูญ และการปกคองประเทศแบบประชาธิปไตย จากล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่เจ็ด ทรงมีพระราชปรารภว่า คนไทยยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง แม้แต่ในสมัยรัชกาลที่หก เคยทรงสร้างเมืองดุสิตธานีไว้เพื่อสอนวิธีการปกครองแบบใหม่แก่ข้าราชบริพารของพระองค์ คนเหล่านั้นที่เป็นบุคคลระดับแนวหน้าของระเทศ ก็ยังไม่เข้าใจถึงวิธีการปกครองตนเองเลย และล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ คนไทยโดยมากก็ยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง ช่วยเหลือตนเอง และดูแลตนเองได้เลย

การเลือกตั้งทุกคร้งจึงอุดมไปด้วยการซื้อเสียง นโยบายหลักของพรรคการเมืองจึงเป็นการแจก ให้ฟรี ช่วยเหลือ อุ้มชู เอื้ออาทร  เมื่อพิจารณาจากคำที่ว่า รัฐบลเป็นอย่างไรประชาชนเป็นอย่างนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า ภาพรวมของคนไทยนั้นคือคนปัญญาอ่อน ขาดสติที่จะดูแลตนเอง อ่อนแอเกินกว่าจะช่วยเหลือตนเอง และเหมาะแก่การเป็นทาสด้วยประการทั้งปวง

หากยังปล่อยให้รากหญ้าควายๆเหล่านั้น ได้ชี้นำการปกครองประเทศนี้ ก็ได้เป็นทาสกันทั้งประเทศแหละค่ะ
บันทึกการเข้า
ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 592


เตือนให้นึกถึง Icarus ผู้ไม่ประมาณตน


« ตอบ #4 เมื่อ: 06-09-2006, 17:16 »

ในต่างประเทศ เท่าที่ผมสังเกต

1. groceries store เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขายอาหารและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน มีอยู่ทั่วทุกแห่งหนเหมือนกัน ขนาดเล็กกว่าพวก lotus เยอะ

2. Super center เหมือนกับ lotus carefourre bigc Kmart Walmart ครับ ขายทุกอย่าง  เชื่อไหม ประเภท 2 นี้ ในเขต LA ซึ่งมีพื้นที่เท่ากับ กทม และปริมณฑล มี Walmart นับได้ 2 แห่ง Kmart อีก 10 แห่ง

3. discount store พวกนี้ขายสินค้าเฉพาะทางจริงๆ เช่นของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องกีฬา ของแต่งบ้าน นับรวมกันผมว่า มีไม่เกิน 30 แห่ง

-----------------------------------------------------------------------------------
ในบ้านเรา เมื่อกี้ผมนั่งนับ lotus แบบเป็น super center เลยนะ เฉพาะ กทม.ไม่รวมปริมณฑล มีทั้งหมด..... 23 แห่ง

นี่ขนาดยังไม่รวม lotus express  bigc  carefourre นะเนี่ย  Shocked
บันทึกการเข้า
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #5 เมื่อ: 06-09-2006, 17:48 »

จะมีประเทศไหนที่รัฐปล่อยปละ ไม่มีการควบคุมแบบเมืองไทยบ้าง ? แต่คงรู้กันว่า เป็นเพราะค่าเก๋าเจี๊ยะ ก้อนโต
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
HILTON (ปาล์มาลี)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,310



« ตอบ #6 เมื่อ: 06-09-2006, 22:01 »

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเพราะ การลงทุนในรูปแบบ Big supermarket  ไม่ได้ช่วยอะไรต่อชุมชนมากนัก  เป็นมันเป็นแค่สถานที่ให้สินค้ามาวางขาย   โดยหักทั้งค่าวางสิ้นค้า  และกำไรในราคาสินค้า  กินสองทาง แล้วยังทำเพิ่มเติมโดยจัดสรร พื้นที่เพื่อจัดร้านค้าอีก  กำไรเหล่านี้จะหมุนกลับเข้าไปก็แค่การไปซื้อที่ดินเท่านั้น    และส่วนของกำไรจะกลับไปบริษัทแม่    การจ้างงานก็เป็นแค่ งานเป็นกะเท่านั้น  และกลุ่มแรงงานก็ระดับ ม3เท่านั้น  สิ่งที่ทำลายก็พวกธุระกิจขนาดเล็ก  และขนาดกลางร่วมถึงผู้ประกอบการรายใหม่
บันทึกการเข้า
ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 592


เตือนให้นึกถึง Icarus ผู้ไม่ประมาณตน


« ตอบ #7 เมื่อ: 07-09-2006, 18:24 »

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเพราะ การลงทุนในรูปแบบ Big supermarket  ไม่ได้ช่วยอะไรต่อชุมชนมากนัก  เป็นมันเป็นแค่สถานที่ให้สินค้ามาวางขาย   โดยหักทั้งค่าวางสิ้นค้า  และกำไรในราคาสินค้า  กินสองทาง แล้วยังทำเพิ่มเติมโดยจัดสรร พื้นที่เพื่อจัดร้านค้าอีก  กำไรเหล่านี้จะหมุนกลับเข้าไปก็แค่การไปซื้อที่ดินเท่านั้น    และส่วนของกำไรจะกลับไปบริษัทแม่    การจ้างงานก็เป็นแค่ งานเป็นกะเท่านั้น  และกลุ่มแรงงานก็ระดับ ม3เท่านั้น  สิ่งที่ทำลายก็พวกธุระกิจขนาดเล็ก  และขนาดกลางร่วมถึงผู้ประกอบการรายใหม่

ไอ้พวกบ้าอำนาจทั้งหลาย มันเล่นตลกฝืดให้เราดูครับ

ธุรกิจที่ไม่สร้างรายได้เข้าประเทศ (ซ้ำร้ายยังดูดเงินออกนอกประเทศ) อย่างไอ้ lotus carefourre ทั้งหลายนี้
พวกมันเสือกปล่อยปละละเลยให้เปิดสาขาเยอะขนาดนั้นได้ยังไงวะ  Evil or Very Mad  กทม มีโลตัสอย่างเดียว 23 แห่ง

น่าท้อแท้ใจมั้ย?
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #8 เมื่อ: 07-09-2006, 18:40 »

เรามาเรียกร้องศักดิ์ศรีและสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ของคนไทย วันนี้ไปอยู่ที่ไหนปล่อยให้ต่างชาติมารุกราน เราจะปล่อยให้เค้ากลืนชาติเราไปทั้งประเทศหรืออย่างไรรัฐบาลต้องคุ้มครองคนไทย ขนาดในฝรั่งเศสเองรัฐบาลยังมีการจัดโซนนิ่ง ไม่ให้เปิดทุกๆ ที่ ส่วนวอลมาร์ตของสหรัฐเอง ก็อยู่ไกลเมืองถึง 40 กิโลเมตร ดังนั้น รัฐบาลต้องหยุดระงับการขยายสาขาก่อนจนกว่ากฎหมายค้าปลีกที่กระทรวงพาณิชย์ร่างขึ้นจะมีผลบังคับใช้พวกเราจะให้เวลากระทรวงพาณิชย์ภายใน 15 วัน หากไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจเราจะนำผู้ชุมนุมจากทุกจังหวัดประมาณ 1-2 พันคน มาปิดล้อมกระทรวงพาณิชย์ ปิดทางเข้าออกทั้งหมด" นายพันธ์เทพกล่าว...


ผมไม่เคยได้ยินว่า วอลมาร์ตหรือห้างดีสเคาน์สโตร์ต้องอยู่ห่างถึง 40 กิโลเมตร
น่าจะเป็น 6 ไมล์หรือ 9 กิโลเมตรมากกว่า....
Exclamation

นอกจากนี้ต้องมีประชาพิจารณ์ด้วยจึงจะตั้งได้  เมื่อปีที่แล้ว วอลมาร์ต"ย่อส่วน"จะเข้าไปตั้งสาขาในตัวเมืองบอสตัน เป็นห้างสรรพสินค้าเก่าแห่งหนึ่ง  ชาวบอสตันคัดค้าน ต่อต้าน จนวอลมาร์ต"ถอนทัพ" ไปตั้งที่อื่น.....  Exclamation

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
mini
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 407


« ตอบ #9 เมื่อ: 07-09-2006, 19:00 »

สายเกินไปแล้ว  ทุนต่างชาติได้โอกาศที่เปิดให้โดยรัฐบาลทรราชย์ เข้ามายึดครองพื้นที่การค้าของคนไทยไปหมดแล้ว  มาตรการใดๆทางกฎหมายไม่สามารถใช้แก้ไขได้อีกแล้ว

แม้นจะหันมาใช้มาตรการทางสังคม ก็คงไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากไทยเราสังคมอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว แม้แต่การรณรงค์ให้ใช้ของไทยเราเอง ยังไม่เคยประสบผลสำเร็จ การต่อต้านร้านค้าต่างชาติเหล่านี้ จึงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะแม้แต่ประชาชนที่เดือดร้อนจากร้านค้าเหล่านี้ ยังต้องเข้าไปซื้อของในร้านเหล่านี้  สำนึก เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนมากมีน้อย หาไม่ไอ้โจรชั่ว มันคงไม่ได้คะแนนเสียงโง่ๆอยางมากมายหรอกค่ะ

โปรดยอมรับความจริงไว้ว่า เมื่อครั้งมีผู้ทูลขอพระราทานรัฐธรรมูญ และการปกคองประเทศแบบประชาธิปไตย จากล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่เจ็ด ทรงมีพระราชปรารภว่า คนไทยยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง แม้แต่ในสมัยรัชกาลที่หก เคยทรงสร้างเมืองดุสิตธานีไว้เพื่อสอนวิธีการปกครองแบบใหม่แก่ข้าราชบริพารของพระองค์ คนเหล่านั้นที่เป็นบุคคลระดับแนวหน้าของระเทศ ก็ยังไม่เข้าใจถึงวิธีการปกครองตนเองเลย และล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ คนไทยโดยมากก็ยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง ช่วยเหลือตนเอง และดูแลตนเองได้เลย

การเลือกตั้งทุกคร้งจึงอุดมไปด้วยการซื้อเสียง นโยบายหลักของพรรคการเมืองจึงเป็นการแจก ให้ฟรี ช่วยเหลือ อุ้มชู เอื้ออาทร  เมื่อพิจารณาจากคำที่ว่า รัฐบลเป็นอย่างไรประชาชนเป็นอย่างนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า ภาพรวมของคนไทยนั้นคือคนปัญญาอ่อน ขาดสติที่จะดูแลตนเอง อ่อนแอเกินกว่าจะช่วยเหลือตนเอง และเหมาะแก่การเป็นทาสด้วยประการทั้งปวง

หากยังปล่อยให้รากหญ้าควายๆเหล่านั้น ได้ชี้นำการปกครองประเทศนี้ ก็ได้เป็นทาสกันทั้งประเทศแหละค่ะ
แล้วเมื่อไหร่จะพร้อมละครับ รอให้พร้อมกันเอง ค่อยเป็นประชาธิปไตยเหรอครับ

ส่วนเรื่องดุสิตธานี ผมเห็นด้วยกับบทความนี้มากกว่า

----------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1249

นิธิ เอียวศรีวงศ์

ดุสิตธานี

(ถ้าจำไม่ผิด) เมื่อตอนที่ผมสอบเข้าจุฬาฯ และสอบออกจากจุฬาฯ ผมเจอข้อสอบประวัติศาสตร์ไทยเดียวกันอยู่ข้อหนึ่ง

นั่นก็คือพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีมีส่วนอย่างไรในการวางรากฐานประชาธิปไตยให้แก่ประเทศไทย

ผมคิดว่าผมทำได้ดีทั้งตอนขาเข้าและขาออก เพราะผมชอบอ่านประวัติศาสตร์ จึงได้เห็นแนวคิดอย่างนี้แพร่หลายในหนังสือประวัติศาสตร์มานานแล้ว ทั้งความคิดนี้ยังถูกตอกย้ำระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ฉะนั้น จึงน่าจะยิ่งทำได้ดีขึ้นไปอีกตอนขาออก

ไม่ใช่เพียงเพราะผมคุ้นเคยกับแนวคิดอย่างนี้เท่านั้นที่ทำให้ผมทำข้อสอบได้ดี แต่เพราะอีตอนนั้นผมก็เชื่ออย่างนี้จริงๆ เสียด้วย จึงสามารถเขียนคำตอบได้อย่างเมามัน

แม้เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เชื่ออย่างนี้อีกแล้ว แต่ในช่วงหนึ่งของชีวิตได้เคยผ่านกระแสเชี่ยวกรากของแนวคิดอย่างนี้มาในอดีต จึงทำให้เข้าใจนักการเมืองในปัจจุบัน ที่สถาปนาพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไว้ที่หน้ารัฐสภา และพากันไปถวายสักการะในวันที่ 24 มิถุนายน ทุกปี โดยแทบจะไม่มีใครนำพวงมาลาไปวางที่อนุสาวรีย์ ท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ธรรมศาสตร์เลย

ก็นักการเมืองไม่ได้มีอาชีพทางประวัติศาสตร์เหมือนผม เขาจึงไม่จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์มากไปกว่าที่ได้เคยเรียนมา อีกทั้งการเชื่อมต่อระหว่างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับระบอบที่มาหลังจากนั้น ยังทำให้วิถีการเมืองของแต่ละคนราบรื่นดี และในความเป็นจริงก็มีอะไรที่เชื่อมต่อกันมากระหว่างสองระบอบนี้จริงๆ เสียด้วย

เพียงแต่ไม่อาจเรียกสิ่งนั้นว่าประชาธิปไตยได้เท่านั้น

หนึ่งในสิ่งที่เป็น "ประจักษ์พยาน" ขอบการวางรากฐานประชาธิปไตยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็คือดุสิตธานี (ที่ไม่เกี่ยวกับโรงแรม) ผมอยากพูดถึงดุสิตธานีเพราะมันสะท้อนอะไรที่ผมกล่าวข้างต้นนั้นได้ชัดเจนดีที่สุด

ยิ่งกว่านี้ดุสิตธานียังเป็นกรณีของการ "ลากเข้าความ" ที่หน้าตาเฉยที่สุด ของบรรดาประจักษ์พยานทั้งหลายซึ่งใช้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว

ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงสร้างดุสิตธานี ไม่มีใครพูดหรือคิดว่าดุสิตธานีเป็นบทเรียนประชาธิปไตย ตรงกันข้าม ส่วนใหญ่ของข้าราชการสำนักคิดว่า "ในหลวง" ท่านโปรดเล่นเมืองตุ๊กตา

แม้จะเรียกว่า "เล่น" แต่ดูจะวิจิตรพิสดารกว่าการเล่นของคนทั่วไป นับตั้งแต่ "เมืองตุ๊กตา" นั้น ไม่ได้ทำอย่างหยาบๆ แต่ย่อส่วนตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางอย่างประณีต ยิ่งกว่านั้นยังเปิดรับสมัครราษฎรของเมืองในหมู่ข้าราชบริพาร พร้อมทั้งจัดการปกครองอย่างเทศบาลนครของยุโรป ซึ่งทำให้มีการเลือกตั้งคนที่จะเข้าไปทำหน้าที่ "นคราภิบาล"

รวมทั้งมีการประชุมของผู้แทนเพื่อออกกฎระเบียบสำหรับใช้ในเมืองตุ๊กตานี้ด้วย

ไม่ว่าเมืองนี้จะชื่ออะไร และจำลองนครยุโรปมาได้ใกล้เคียงอย่างไรก็ตาม แต่มันเป็นเมืองตุ๊กตาอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันไม่ "จริง"

ไม่ใช่ไม่ "จริง" เพราะเข้าไปอาศัยหลับนอนในนั้นไม่ได้ หรือเข้าไปทำมาหากินเลี้ยงชีพในนั้นไม่ได้เท่านั้น แต่ไม่ "จริง" ที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในเมืองนั้นไม่ได้ตัดขาดออกไปจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมไทยภายนอกดุสิตธานี

แน่นอนว่า ไม่มีใครลืมหรอกว่าเอดิเตอร์ของดุสิตสมิตนั้นไม่ใช่ราษฎรสามัญ แต่คือพระเจ้าอยู่หัวในสังคมข้างนอกซึ่งชีวิตจริงของทุกคนยืนอยู่ตรงนั้น

ไม่มีใครลืมว่านคราภิบาลคือเจ้าพระยายมราช รวมทั้งไม่ได้ลืมความสัมพันธ์ที่เป็นจริงระหว่างเจ้าพระยายมราชกับพระเจ้าอยู่หัวในสังคมนอกดุสิตธานี

ทุกคนในดุสิตธานีล้วนสำนึกได้ดีว่าของจริงของแต่ละคนคืออะไร และด้วยเหตุดังนั้นความสัมพันธ์ในดุสิตธานีจึงเป็นแค่ของหลอก

ฉะนั้น ราษฎรของดุสิตธานีทุกคนจึงรู้ดีว่า "ฟรี เปรส" (Free Press) ของดุสิตธานีนั้นใครฟรี และแต่ละคนพึงฟรีได้แค่ไหน

เช่นเดียวกับการอภิปรายในสภานคราภิบาล ความเห็นของราษฎรในเรื่องภาษี หรือประสิทธิภาพของการทำงานของคณะผู้ปกครอง ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ "การปกครองตนเอง" เป็นไปได้มากกว่า "ตุ๊กตา" ย่อมมีไม่ได้ในดุสิตธานี

อันที่จริง อาจไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไรกันให้มากความเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของเมืองตุ๊กตากับประชาธิปไตย ถ้าเราสำนึกว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งทรงสร้างดุสิตธานีขึ้นนี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทความที่พยายามชี้ให้เห็นอย่างตรงๆ เลยว่า เมืองไทยนั้นไม่อาจใช้ระบบรัฐสภาได้

นอกจากเจ้าจะใช้เงินเข้าสู่สภาแล้ว ในสภานั้นเองก็จะตีกันวุ่นหรืออภิปรายเลอะเทอะจนไม่ได้สาระอะไร เก็บการบริหารรัฐกิจไว้กับ "มืออาชีพ" ดีกว่า

ถ้าจะมีพระราชประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดกับเมืองตุ๊กตานี้มากกว่าเรื่องทรงพระสำราญ ก็เป็นการฝึกการบริหาร หรือความพยายามที่จะปฏิรูประบบราชการของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั่นคือการฝึกให้ข้าราชการ โดยเฉพาะที่เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิด สามารถประสานงานกันเพื่อภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง

ความร่วมมือกันเพื่อการประสานงาน (Coordination) เป็นจุดอ่อนของระบบราชการสมัยใหม่ไทยนับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงสถาปนาขึ้นมาแต่แรกแล้ว

ความแตกร้าวชิงดีชิงเด่นกันอย่างหนักในหมู่เสนาบดีซึ่งมีหลักฐานอ้างถึงไว้หลายแห่ง เป็นเพียงปลายยอดของปัญหาเท่านั้น

เพราะที่จริงแล้ว แม้ในหมู่ข้าราชการระดับล่างลงมา ก็พากันยึด "สังกัด" มูลนายของตนอย่างเหนียวแน่น และมุ่งจะขยายอำนาจและผลประโยชน์ของกรมหรือกระทรวงที่ตนสังกัดมากกว่ามุ่งไปที่ภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นพระบรมราโชบาย

ในปลายรัชกาลที่ 5 ถึงขนาดที่ข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมร่วมกับเสนาบดีลาออกประท้วงพระเจ้าอยู่หัวกันเลย

ผมไม่แน่ใจว่า ดุสิตธานีต้องการฝึกการบริหารแบบใหม่อย่างนี้จริงหรือไม่ เพียงแต่ว่าถ้าจะพยายามมองหาจุดประสงค์อื่นให้ได้แล้ว อย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่การปฏิรูประบบราชการเท่านั้น

และการปฏิรูประบบราชการไม่ได้เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับการวางรากฐานประชาธิปไตย คนที่อยู่ภายใต้ผู้ว่าซีอีโอในปัจจุบันก็คงเข้าใจดี

แนวคิดเรื่องดุสิตธานีคือการสอนประชาธิปไตยแก่คนไทยนั้น เพิ่งมาโฆษณากันหลัง 24 มิถุนายน 2475 เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับยุทธวิธีของฝ่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ในการตอบโต้กับการเถลิงอำนาจของคณะราษฎร (และคณะอะไรอื่นๆ ซึ่งตามมา)

นั่นก็คือการเสนอให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นฝ่ายสนับสนุนและปกป้องประชาธิปไตย ยิ่งกว่ากลุ่มอะไรอื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคณะราษฎร, คณะรัฐประหาร, คณะทหาร, หรือ คณะปฏิวัติ ฯลฯ ซึ่งผลัดกันเข้ามาถืออำนาจทางการเมืองของไทย

พระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติของ ร.7 ที่ทรงประกาศว่ายินดีจะสละพระราชอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ให้แก่คณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาเอาไปถือเป็นส่วนตัว ทำให้คณะราษฎรกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตย ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์กลับเป็นฝ่ายประชาธิปไตยไป

จากนั้นเป็นต้นมา ระบบการเมืองไทยก็กลายเป็นเผด็จการในรูปต่างๆ ตลอดมาเป็นส่วนใหญ่ จึงยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่ "แรง" ไม่น้อยไปกว่าพานรัฐธรรมนูญ

คนที่จะเข้ามาเป็นราษฎรของดุสิตธานีได้นั้น ไม่ใช่คนไทยธรรมดา นอกจากข้าราชบริพารแล้วก็มีคหบดีบางคนที่ได้เข้าไปอยู่ด้วย แต่ดุสิตธานีไม่มีสามัญชนคนธรรมดา

ใน ร.6 สามัญชนคนธรรมดาไม่ใช่คนที่ไร้หน้าตาเสียทีเดียว ถ้าเรากลับไปดูฎีการาษฎรที่ถวายความเห็นหรือร้องเรียนแก่ราชสำนัก หรือกลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ของสมัยนั้น จะเห็นได้ว่าสามัญชนคนธรรมดานั้นมีความเคลื่อนไหวในสังคมการเมืองของไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้

แต่คนเหล่านี้ไม่มีที่ของตนในดุสิตธานีเพราะดุสิตธานีไม่ใช่แบบจำลองของสังคมไทย ถ้าจะมีเวทีของการต่อรองเกิดขึ้นในดุสิตธานี เวทีนั้นก็เป็นเพียงเวทีของคนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจในระดับต่างๆ เท่านั้น

อันที่จริงการเกี้ยเซี้ยกันระหว่างคนมีอำนาจนั้นเป็นปรกติธรรมดาของโครงสร้างอำนาจทั้งหลาย เพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดในโครงสร้างนั้นจนตั้งอยู่ต่อไปไม่ได้

ประชาธิปไตยไทยหลัง 2475 สืบมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือเวทีเกี้ยเซี้ยระหว่างใครก็ตามที่ทะลุขึ้นมาอยู่ในวงของอำนาจได้ ไม่ได้รวมประชาชนส่วนใหญ่เอาไว้

ฉะนั้น จึงน่าจะเรียกว่าประชาธิปไตยไทยว่าประชาธิปไตยแบบดุสิตธานี

พูดอย่างนี้แล้ว ผมกลับต้องเปลี่ยนความคิดไป เพราะจริงนั่นแหละดุสิตธานีวางรากฐานประชาธิปไตยนี่หว่า
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #10 เมื่อ: 07-09-2006, 20:45 »

ผมคิดว่ารัฐบาลสนใจเรื่องภาษีที่จัดเก็บได้มากกว่านะ

ถ้าปล่อยให้มีโชว์ห่วยกระจาย ร้านย่อย ๆ มันเก็บภาษีได้น้อย

มีพวกโลตัส คาร์ฟู มันฟันได้เป็นกอบเป็นกำ

ครอบครัวไหนจะล่มสลายก็ช่างมัน ดันซวยเอง

มาเกิดในประเทศที่เห็นแต่ด้านดีของการเปิดเสรี (ที่ไม่ต้องควบคุม)





ถ้าหนึ่งร้านโชวห่วยกับหนึ่งห้างต่างด้าว ก็จะเป็นดั่งที่บอกมา...
ถ้าพิจารณาจากมูลค่าขายแล้ว
ร้านค้าโชวห่วยจำนวนหนึ่งเสียภาษีมากกว่าหนึ่งห้างต่างด้าว....

หนึ่งห้างต่างด้าว กว่าจะเสียภาษีได้
เขารู้จักข้อลดหย่อน ข้ออนุโลม ตามกติกา
ของกรมสรรพากร
จนกระทั่งรู้วิธีเลี่ยงภาษี หลบภาษี...

ห้างต่างด้าว มีสาขามาก บางสาขากำไร บางสาขาขาดทุน
เขานำรายได้มารวมกัน นำผลขาดทุนจากสาขาหนึ่งไปหักกลบกับสาขากำลัง....

นอกจากนี้ภาษีท้องที่บางชนิดนี้ เขาไม่ยอมเสียให้ท้องถิ่น
ทั้งที่เขา"ทิ้งขบะ"และอุจจาระให้ท้องถิ่นจัดการ ไม่ต้องจ่าย

................ฯลฯ

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 07-09-2006, 21:19 »

เมื่อกี้ดู ASTV เถ้าแก่คนเดียวกับที่ในข่าวที่คุณนทร์เอามา บอกว่า เกาะสมุยแห่งเดียว เกาะเดียว มี 7-11 ถึง 42 สาขา และมีห้างยักษ์ไปตั้งครบหมดแล้วทุกเจ้า !!



คุณลองนึกถึงคนเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ได้ไปเป็นลูกจ้าง ตอนนี้กำลังจะตายแล้ว บ่อโหล่วแล้ว

จะขายของอะไรที่นึกได้ ในห้างก็มีหมด ทั้งเครื่องไฟฟ้า ของกิน ผักสด เนื้อสัตว์ ของใช้ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ต้นไม้ ฯลฯ หรือไม่ก็จำเป็นต้องย้ายเข้าไปเช่าที่ในห้าง จ่ายค่าเช่าสุดโหด แล้วก็ต้องหลีกจากของที่ขายในห้าง มาขายอย่างอื่น เสร็จแล้วก็มาแข่งกันตายกันเอง เช่นเดียวกับธุรกิจข้างนอก มันก็ไม่รู้จะทำอะไรกันแล้ว ก็เลยออกมาทำแบบเดียวกัน เช่น ร้านอาหารตามสั่ง ร้านอัดล้างรูป มุ้งลวด ผ้าม่าน ตัดผม ก๊อกๆแก๊กๆ   ไปวันๆ ปริมาณคนขายมีมากกว่าผู้บริโภค

เนี่ย แล้วไอ้ชั่วเหลี่ยมกับไอ้พวกนักวิชาการเลียไข่บอกเศรษฐกิจดี ควายจริงๆ
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: