ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 08:19
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  "ฉากลา" อังเดร อากัสซี และอื่น ๆ (รวมมิตร) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
"ฉากลา" อังเดร อากัสซี และอื่น ๆ (รวมมิตร)  (อ่าน 2048 ครั้ง)
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« เมื่อ: 05-09-2006, 14:27 »

วันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1969 The Beatles ปิดฉากการแสดงบนเวทีด้วยคอนเสิร์ตสุดท้ายบนยอดตึกแอปเปิ้ล ในย่านซาวิลล์โรว์ กรุงลอนดอน ซึ่งนับเป็นการแสดงคอนเสิร์ต ‘อำลา’ ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก เพราะขึ้นไปเล่นบนยอดตึก ไม่ยอมให้แฟนเพลงได้ชมแม้แต่คนเดียว

เหตุผลที่อ้างในตอนนั้น พวกเขาบอกว่าจำเป็นต้องยุติการแสดงบนเวที เพราะแฟน ๆ ของพวกเขาไม่ได้ตั้งใจมาฟังดนตรี แต่มาแข่งกันส่งเสียงกรี๊ดด้วยความคลั่งไคล้เสียมากกว่า ดนตรีที่อุตส่าห์เล่นด้วยความตั้งใจจึงไม่มีคุณค่าใด ๆ เหลืออยู่

ก็เป็นเหตุผลที่พอรับฟังได้ระดับหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วทุกคนก็รู้กันดีว่า ช่วงเวลานั้นสมาชิกในวงระหองระแหงกัน สาเหตุทั้งมาจากความเบื่อหน่ายที่อยู่ร่วมกันมานานและสาเหตุอื่น

แล้วหลังจากนั้นอีก 1 ปี วงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็ถึงกาลอวสาน ไม่มีคอนเสิร์ตอำลาอย่างเป็นทางการ ไม่มีการแถลงข่าวยุบวง แต่ละคนต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตน ความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีต่อกันแทบไม่มีเหลืออยู่

การประกาศอำลาและมีคอนเสิร์ตอำลาอย่างจริง ๆ จัง ๆ มีให้เห็นไม่บ่อยครั้งนัก ที่เป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมาถึงความยิ่งใหญ่อลังการ ก็เห็นจะเป็นวงร็อคยุคปลายซิกซ์ตี้ต่อเซเวนตี้ อย่าง The Band ที่จัดคอนเสิร์ตอำลาภายใต้ชื่องานว่า The Last Waltz มีศิลปินร็อคระดับหัวกะทิมาร่วมแจมบนเวทีมากมาย มีการเขียนบทวางสคริปต์เพื่อถ่ายทำเป็นภาพยนตร์โดยใช้ผู้กำกับระดับ มาร์ติน สกอร์เซซีส์ ควบคุม

คอนเสิร์ตปิดฉากการร่วมงานอันยาวนานระหว่าง ‘เดอะ บอส’ บรูซ สปริงทีน กับวงแบ๊กอัพคู่บารมีของเขา The E-Street Band เมื่อไม่กี่ปีก่อน แม้จะเทียบความยิ่งใหญ่ในด้านรูปแบบการจัดกับ The Last Waltz ไม่ได้ แต่ก็เป็นคอนเสิร์ตอำลาที่เรียบง่ายประทับใจแฟนเพลง

“ฉากลา” จะว่าไป ในแง่ดีงาม ก็เป็นการแสดงไมตรีจิตมิตรภาพ ความรัก ความห่วงใยต่อกัน เป็น “วาระสุดท้าย” ในกาละนั้น ๆ แต่ถ้าจะมองโลกในแง่ร้าย “ฉากลา” ก็อาจมีค่าแค่การจัดฉาก-ฉากหนึ่งขึ้นมา เพราะการลาจากนั้น มันอาจไม่จริง ยกตัวอย่าง เช่น คาราวาน จัดคอนเสิร์ตอำลา ถึง 2 ครั้ง แต่หลังจากนั้น ก็กลับมารวมวงกันใหม่ แยก ๆ รวม ๆ อยู่อย่างนั้น จน “ฉากลา” ที่แฟนเพลงหลายคนได้เสียน้ำตาให้วงดนตรีที่ตนรัก หมดความหมายและความศักดิ์สิทธิ์ไป

ในวงการกีฬาก็เช่นกัน นักกีฬาหลายคนประกาศอำลาเลิกเล่น ไปในเวลาอันเหมาะสม แต่แล้ววันดีคืนดีก็ประกาศกลับคืนสังเวียนอีกครั้ง

ยอดนักชกอย่าง โจ หลุยส์, มูฮัมหมัด อาลี, ชูการเรย์ เลียวนาร์ด และอีกหลาย ๆ คน “กลืนน้ำลายตัวเอง” กลับมาชกใหม่ ทั้งที่ประกาศแขวนนวมอย่างเป็นทางการ และก็ไม่มีใครกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ที่ผ่านเลยไปได้ เหมือนกลับมาทำลายประวัติศาสตร์ที่ตัวเองสร้างไว้อย่างไรอย่างนั้น

หรือบางที “ฉากลา” ที่คาดหวังไว้ก็ไม่งดงามตามใจคิด ซีเนอดีน ซีดาน ปิดฉากชีวิตนักฟุตบอลด้วยการถูกไล่ออกในนัดสุดท้าย คงเป็นภาพฝันอันเลวร้ายติดตัวเขาไปตลอดชีวิต อลัน เชียเรอร์ ประกาศมากว่า 2 ปี ว่าจะปิดฉากการเป็นนักฟุตบอลไว้กับนิวคาสเซิล เขาหวังจะได้ลงเล่นนัดสุดท้ายเป็นการอำลาอย่างยิ่งใหญ่ในถิ่น เซนต์เจมส์ปาร์ค แต่ก่อนจะปิดฤดูกาลไม่กี่แม็ทช์ เขากลับโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในสนาม ไม่สามารถจะหายทันกลับมาเล่นเกมที่เหลือได้ ปิดฉากอาชีพนักฟุตบอลไปแต่คราวนั้นอย่างไม่คาดคิด

นักกีฬาทุกคนคงหวังได้รับ “ฉากลา” ยิ่งใหญ่ เหมือนที่ อังเดร อากัสซี ได้รับเมื่อไม่กี่วันก่อน

อากัสซี ประกาศจะ “อำลาสนาม” ในเทนนิสแกรนด์สแลมรายการสุดท้ายของปี ยูเอส โอเพน ซึ่งหมายความว่า ทุก ๆ แม็ทช์ที่อากัสซี ลงแข่ง มีความเป็นไปได้ว่า จะมี “ฉากลา” เกิดขึ้น หากอากัสซีแพ้ แฟนเทนนิส จึงแห่แหนเข้าไปชมทุกแม็ทช์ที่เขาลงแข่ง

ในที่สุด อากัสซีก็ได้ “อำลา” ในรอบ 3 ยูเอส โอเพน หลังจากเขาพ่ายให้ เบนจามิน เบคเกอร์
หลังจบการแข่งขัน แฟนเทนนิส ลุกขึ้นปรบมือให้เกียรติเขายาวนาน อากัสซีกล่าวทั้งน้ำตากับแฟน ๆ ว่า

“แม้ว่าคะแนนบนสกอร์บอร์ดจะบ่งบอกว่าผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่มันไม่ได้บ่งบอกถึงสิ่งที่ผมค้นหาตลอดระยะเวลา 21 ปี ที่ลงเล่นที่นี่ นั่นคือความซื่อสัตย์จากพวกคุณที่คอยให้กำลังใจในทุก ๆ ครั้งที่ผมลงเล่นที่นี่ ผมจะจดจำพวกคุณไว้ตลอดชีวิตของผม”

และเมื่อมาให้สัมภาษณ์ในห้องแถลงข่าว หลังจากตอบคำถามผู้สื่อข่าวจบแล้ว อากัสซีได้กล่าวว่า “ขอผมถามพวกคุณบ้างได้ไหม” เมื่อนักข่าวบอกว่า ได้ อากัสซี จึงถามขึ้นว่า

“เมื่อผมเลิกเล่นเทนนิสไปแล้ว พวกคุณยังจะจดจำผมได้ไหม”

นักข่าวทุกคนอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพร้อมใจกันโดยไม่ได้นัดหมาย ลุกขึ้นปรบมือให้กับอากัสซีแทนคำตอบ
อากัสซีร้องไห้ นักข่าวหลายคนร้องไห้ รวมทั้งแฟนเทนนิสในอาเธอร์แอชสเตเดียม ที่ได้ยินคำถามนี้ ก็ร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ ตื้นตันใจ

“ฉากลา” ของ อังเดร อากัสซี จบลงอย่างสวยงาม ยิ่งใหญ่
แต่ฉากลา ลิขิต ไม่ได้ ทุกคนอยากได้อยากเป็นอย่างอากัสซี แต่บางคนก็ไม่ได้เป็น เป็นไปไม่ได้
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 05-09-2006, 14:54 »

มีรูปมั่งไหมคะ.. อยากดูอะ

บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #2 เมื่อ: 05-09-2006, 15:13 »

ขออนุญาตแปะลิงก์ของแฟนเทนนิสในห้องศุภชลาศัยแทนค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S4680977/S4680977.html

http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S4680507/S4680507.html

และ

http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S4662097/S4662097.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2006, 15:52 โดย aiwen^mei » บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #3 เมื่อ: 05-09-2006, 15:54 »

เข้ามาแฟร์เวลล์โป๊งเหน่งแห่งวงการเทนนิสด้วยครับ

แอกาซี่ไม่ใช่นักเทนนิสที่เก่งที่สุดในยุคของเขา แต่มีความเป็นมืออาชีพไม่น้อยหน้าราชาแกรนด์สแลมอย่างแซมพราส ถ้าไม่ไปติดบ่วงสวาทของแม่สาวบรู๊คชิลด์อยู่พักใหญ่ เขาน่าจะมีแกรนด์สแลมเพิ่มไว้ประดับบารมีได้อีกสองสามรายการ แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ บ่วงสวาทแบบนั้น ติดไปสักพักก็ไม่เสียชาติเกิดหรอก   Mr. Green Laughing Mr. Green

ยังไงก็ขอให้โชคดีมีความสุขตลอดไปครับ   Very Happy
บันทึกการเข้า
ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #4 เมื่อ: 05-09-2006, 16:07 »

เก่งมาจากไหน ก็แพ้หุ่นอย่างน้อง บรู๊คชิลด์   Laughing Laughing
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #5 เมื่อ: 05-09-2006, 16:16 »

เก่งมาจากไหน ก็แพ้หุ่นอย่างน้อง บรู๊คชิลด์   Laughing Laughing



เดี๋ยวนี้เธอไปทำมาหากินอะไรครับ ไม่ได้ข่าวนานแล้ว

ว่าแต่ว่าใกล้ออกทะเลอีกแล้ว พอดีกว่า   Mr. Green Laughing
บันทึกการเข้า
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #6 เมื่อ: 05-09-2006, 16:25 »

ได้ยินข่าวเหมือนกันค่ะ แต่จำไม่ได้แล้ว  Mr. Green ยังเห็นเธอสวมบทบาทนักแสดงในซีรีส์เรื่องหนึ่งทางช่อง Hallmark ไม่นานนี้เองค่ะ
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #7 เมื่อ: 05-09-2006, 16:35 »

ได้ยินข่าวเหมือนกันค่ะ แต่จำไม่ได้แล้ว  Mr. Green ยังเห็นเธอสวมบทบาทนักแสดงในซีรีส์เรื่องหนึ่งทางช่อง Hallmark ไม่นานนี้เองค่ะ

ขอบคุณครับ
แต่ถึงไม่ทำอะไรเธอก็คงไม่เดือดร้อนเพราะป่านนี้คงรวยแล้วมั้ง  Laughing
บันทึกการเข้า
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #8 เมื่อ: 05-09-2006, 19:38 »

อังเดร อากัสซี่ ปิดฉาก 21 ปีแห่งความทรงจำ

มติชน วันที่ 05 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10405



แม้จะไม่ใช่ตอนจบที่ **ยิ่งใหญ่** เหมือนกับเมื่อคราว **พีต แซมพราส** เพื่อนนักหวด
ร่วมรุ่นคว้าแชมป์ **ยูเอสโอเพ่น 2002** เป็นแกรนด์สแลมที่ 14 ก่อนปิดฉากชีวิตนักเทนนิส
อาชีพของตัวเอง แต่ **ตอนจบ** ของ **อังเดร อากัสซี่** หนึ่งในนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อีกคนหนึ่งของวงการสักหลาดโลกก็เต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมที่ยากจะลืมเลือนสำหรับเจ้าตัวและ
แฟนๆ ทุกคน

ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า กองเชียร์ 23,000 คนในอาร์เธอร์แอช สเตเดียม วันนั้น ต่างเป็น
กำลังใจให้สิงห์เฒ่าวัย 36 ปี ที่แบกสังขารกัดฟันสู้กับอาการเจ็บหลังวิ่งไล่ตามทุกช็อตทุกลูก
ของคู่แข่งขัน

ขณะเดียวกัน ที่อีกฟากของคอร์ต **เบนจามิน เบ๊คเกอร์** นักหวดหนุ่มชาวเยอรมันผู้เป็น
**ตัวประกอบ** คนสำคัญของฉากนี้ก็สมควรได้รับเครดิตจากแฟนๆ ทั่วโลก ในฐานะที่
สามารถคุมสติไม่ให้เตลิดเปิดเปิงไปกับเสียงโห่ฮาของแฟนๆ ในสนามทุกครั้งที่เขาได้แต้ม

เกมที่เต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมนี้สิ้นสุดลงด้วยความปราชัยของอดีตนักเทนนิสหมายเลข 1 ของ
โลก และเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 8 รายการ 5-7, 7-6 (7-4), 4-6, 5-7 ใช้เวลาแข่งขัน
ไป 3 ชั่วโมงเศษ

และทันทีที่เบ๊คเกอร์เสิร์ฟเอซปิดแมตช์ ผู้ชมทั้ง 23,000 คนในสนามต่างก็พร้อมใจกันยืน
ปรบมือและส่งเสียงเชียร์กึกก้องราวกับว่าอากัสซี่คว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้แล้วก็ไม่ปาน!

และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้หนุ่มใหญ่วัย 36 ปล่อยให้น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้นานเอ่อล้นออกมา...
จนทำให้หลายๆ คนในสนามและผู้ที่ชมอยู่ทางบ้านอีกหลายสิบหลายร้อยเผลอปาดน้ำตาตาม
ไปด้วย...

ก่อนจะไปบรรยายถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำนั้นต่อ ขออนุญาตกลับไปย้อนถึงเรื่องราวชีวิต
ฉบับย่อของหนึ่งใน **ตำนาน** ที่มีสีสันที่สุดของวงการสักหลาดโลกกันสักเล็กน้อย...

**อังเดร เคิร์ค อากัสซี่** เกิดในครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่าน (ปนยุโรปตะวันตก)
ที่รัฐเนวาดา เมื่อปี 1970

ตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ความ อากัสซี่ก็ถูกกำหนดอนาคตไว้แล้วว่าจะต้องเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นแชมป์
**แกรนด์สแลม** ทั้ง 4 รายการให้ได้ เพราะนั่นคือความใฝ่ฝันอันสูงสุดของ **เอ็มมานูเอล**
พ่อของเขาซึ่งเป็นอดีตนักมวยโอลิมปิคทีมชาติอิหร่าน

เอ็มมานูเอล หรือ **ไมค์** พัฒนาเทคนิคการสอนเทนนิสของเขาด้วยการใช้พี่ชาย 2 คน
ของอากัสซี่เป็น **หนูทดลอง** และเริ่มให้ลูกชายคนใหม่ของเขาคุ้นเคยกับกีฬาชนิดนี้
ด้วยการผูกลูกสักหลาดไว้เหนือเปลของอากัสซี่แทนโมบาย และให้เขาหัดจับไม้พลาสติคตี
ลูกโป่งตั้งแต่ยังเดินไม่แข็งเสียด้วยซ้ำ

พออายุ 5 ขวบ อากัสซี่ก็หัดเล่นเทนนิสจริงจัง และมีโอกาสได้ซ้อมมือกับตำนานของโลก
สักหลาดอย่าง **จิมมี่ คอนเนอร์ส** และเมื่อเริ่มปีกกล้าขาแข็ง พ่อก็ส่งเขาไปเรียนวิชากับ
ครูดัง **นิค บอลเลตเทียรี่** ที่ฟลอริดา ตอนอายุ 14

อากัสซี่เทิร์นโปรในอีก 2 ปีให้หลัง ซึ่งนับจากนั้นชีวิตนักเทนนิสของเขาก็เต็มไปด้วยสีสันซึ่ง
ต่างก็เป็น **ไฮไลต์** ไม่ว่าจะในด้านบวกหรือลบก็ตาม

ช่วงแรกๆ นั้น แฟนเทนนิสต่างรู้จักอากัสซี่ในนาม **เจ้าหนูบลูยีนส์** ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์
แสบซ่า ผมยาวสยายสไตล์นักร้องเพลงร็อค ใส่ตุ้มหูกับเสื้อสีฉูดฉาด จนถูกเรียกขานเป็น
**กบฏ** ของวงการเทนนิสในยุคที่ยังไม่มีใครกล้าแหกกฎมากมายขนาดนั้น

พอดีกับที่ **แคนอน** จับอากัสซี่ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ขายกล้องภายใต้สโลแกน "Image is
Everything" มุมมองของใครต่อใครเลยเป็นไปในทางนั้นหมด

อย่างไรก็ตาม อากัสซี่ไม่ได้มีดีแค่บุคลิกภายนอกอย่างเดียว ฝีมือของเขาเองก็โดดเด่นไม่แพ้กัน
ด้วยสไตล์การเล่นเบสไลน์ที่เหนียวแน่น อากัสซี่ก้าวไปคว้าแชมป์แกรนด์สแลมแรกที่
**วิมเบิลดัน** เมื่อปี 1992 ต่อเนื่องด้วยยูเอสโอเพ่นปี 1994

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 8 ปีแรกของชีวิตนักเทนนิสอาชีพ อากัสซี่กลับเมินการแข่งขัน
**ออสเตรเลียน โอเพ่น** แกรนด์สแลมแรกของปี เช่นเดียวกับการไม่ยอมร่วมแข่งวิมเบิลดัน
ระหว่างปี 1988-1990 โดยให้เหตุผลว่า "ระเบียบจัด" เกินไป (แต่หลายคนวิจารณ์ว่าน่าจะ
เป็นเพราะเขากลัวสไตล์การเล่นไม่เข้ากับคอร์ตหญ้ามากกว่า)

ปี 1995 อากัสซี่คว้าแชมป์ออสเตรเลียน โอเพ่นหนแรกได้สำเร็จ พร้อมกับไต่ขึ้นสู่บัลลังก์มือ 1
ของโลกได้อย่างงดงาม

แต่ยืนหยัดอยู่ในแถวหน้าของวงการได้ราว 2 ปี ชีวิตของอากัสซี่ก็ดิ่งลงจนถึงก้นเหว เพราะ
ในปี 1997 นอกจากจะคว้าแชมป์รายการสำคัญๆ ไม่ได้เลยแล้ว อันดับโลกของหนุ่มอเมริกัน
ยังร่วงไปอยู่ที่ 141 ของโลก ซ้ำร้ายชีวิตคู่กับดาราสาว **บรู๊ค ชีลด์** ก็มาล่มเอาพร้อมๆ
กันอีก เลยกลายเป็นฝันร้ายสองต่อสำหรับเจ้าตัวเลยทีเดียว

...ถึงอย่างนั้น ชีวิตนักเทนนิสที่ใครๆ คิดว่าคงจะปิดฉากลงอย่างบริบูรณ์แล้วก็กลับมามี
ความหวังอีกครั้ง เขาเริ่มต้นด้วยการโกนหัว แล้วกลับไปไต่เต้าจากรายการระดับชาลเลนเจอร์
จนสามารถจบปี 1996 ในอันดับ 6 ของโลก (ทั้งที่เริ่มต้นปีในอันดับ 141)

หลังจากนั้นเขาก็เดินหน้ากวาดแชมป์แกรนด์สแลมถึง 5 รายการ คือ ออสเตรเลียน โอเพ่น
ปี 2000, 2001, 2003 เฟร้นช์โอเพ่น 1999 และยูเอสโอเพ่น 1999 จนกลับไปอยู่บนยอดสุด
ของวงการเทนนิสโลกได้อีกครั้ง พร้อมกับการสร้างผลงานเป็นนักเทนนิสชายหนึ่งใน 5 คน
ของโลกที่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย

พร้อมๆ กับที่ชีวิตในสนามกลับสู่ขาขึ้น ชีวิตส่วนตัวของเขาก็สดใสไม่แพ้กัน เมื่ออากัสซี่พบรัก
กับ **สเตฟฟี่ กราฟ** อดีตราชินีสักหลาดโลกชาวเยอรมัน จนตัดสินใจจูงมือกันเข้าสู่ประตู
วิวาห์ในเดือนตุลาคม 2001 และมีพยานรัก 2 คน คือ **ยาเดน กิล** กับ **แจ๊ซ แอล**

ภาพลักษณ์ของอากัสซี่ในวันนี้เปลี่ยนจากเพลย์บอยสุดซ่าเป็นแฟมิลี่แมนตัวจริงเสียงจริง
เรียกว่าไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็จะเห็นแต่ภาพครอบครัวอบอุ่นชนิดที่ใครต่อใครต้องอิจฉา

ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันเหล่านี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับความเรียบง่ายแต่แรงดีไม่มีตกของ
อัจฉริยะร่วมยุคอย่างแซมพราส และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวอเมริกันและแฟนเทนนิส
ทั่วโลกรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับแต่ละแมตช์แต่ละเกมของอากัสซี่มากกว่านักหวดหลายๆ คน

...ตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านจุดสูงสุดและต่ำสุดของชีวิตนักเทนนิสอาชีพมาจนถึงรอบสาม
ของการแข่งขันยูเอสโอเพ่น 2006 อากัสซี่ในวัย 36 ปี จึงตัดสินใจโค้งคำนับและส่งจูบ
สุดท้ายให้กับแฟนๆ รอบสนามพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

เขาใช้เวลาหลายนาทีต่อจากนั้น บอกเล่าความในใจด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นว่า "คะแนน
บนสกอร์บอร์ดอาจจะบอกว่าผมแพ้ แต่มันไม่ได้สื่อความหมายถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอตลอดเวลา
21 ปีที่ผ่านมาเลย ทุกๆ คนคือกำลังใจที่มีค่ายิ่งสำหรับผมทั้งในและนอกสนาม พวกคุณทุกคน
ต่างอวยพรให้ผมแม้ในวันที่ตกต่ำที่สุดของชีวิต นี่คือความอบอุ่น คือที่พึ่งพิงที่ผมค้นพบ และจะ
บันทึกความทรงจำอันมีค่านี้ไปตลอดชีวิตของผม"

...กล่าวกันว่า ไม่มีนักเทนนิสคนใดปรากฏตัวในโลกสักหลาดได้เข็ดฟันเท่ากับเขา และไม่มีใคร
โบกมือลาสถานที่แห่งเดียวกันนี้ไปได้เหมือนกับลูกผู้ชายที่มานะพยายามกว่าใครคนนี้

และเมื่อถูกถามว่า เขาตั้งใจจะทำอะไรต่อจากนี้ อากัสซี่ก็ยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
มั่นคงกว่าเดิมว่า...

"แรกสุดเลย ผมคงต้องไปอธิบายกับลูกๆ ก่อนว่าทำไมผมถึงร้องไห้เป็นเด็กๆ อย่างนี้ เพราะ
พวกเขาต้องไม่ชอบใจแน่ๆ ที่เห็นผมในสภาพนี้น่ะครับ!"

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01spo20050949&day=2006/09/05

ไปดีมีสุขนะจ๊ะ หายเจ็บแล้วกลับมาเล่นประเภทคู่ผสมกับศรีภรรยาอย่างที่เคยประกาศไว้
หลังได้แชมป์ Ausrtralian Open ปี 2003 (แต่แผนการพับไปเพราะ Steffi ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2)
ก็ได้ จะรอดู  Very Happy
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
หน้า: [1]
    กระโดดไป: