มีกฎหมายต้องบังคับใช้
แม้คนในครอบครัวของนายกรัฐมนตรี จะได้ขายหุ้นในบริษัทชินคอร์ป ให้แก่ บริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์ไปแล้ว ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2549 เป็นเงิน 73,300 ล้านบาท แต่ก็ยังมีปัญหาคาราคาซังอยู่ ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังตรวจสอบว่า บริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไทย และเป็นผู้ซื้อหุ้นชินคอร์ปรายใหญ่ เป็นบริษัทไทยจริง หรือเป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทนบริษัทต่างประเทศ
อันที่จริง กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้สอบสวนแล้ว และสรุปว่า บริษัทกุหลาบ แก้วเป็นผู้ถือหุ้นแทนต่างชาติ หรือเป็นเพียงนอมินี และเสนอให้ดำเนินการตามกฎหมาย เพราะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 แต่กระทรวงพาณิชย์ กลับตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา เพื่อสอบสวนอีก จึงมีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการเตะถ่วง เพื่อช่วยเหลือผู้ทำผิดกฎหมายหรือไม่?
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์กำลังมะงุมมะงาหรา ทำการสอบสวนเรื่องนี้เป็นรอบที่สอง บรรดาผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ต่างฟันธงแล้วว่าบริษัทกุหลาบแก้วเป็นนอมินีของต่างชาติ และถ้าเป็นจริงก็จะมีผลกระทบในวงกว้าง เพราะจะทำให้บริษัทชินคอร์ปมีฐานะเป็นบริษัทต่างชาติไปด้วย บริษัทในเครือจึงอาจถูกยกเลิกสัมปทานต่างๆที่ได้รับจากรัฐบาลไทย เช่น กิจการโทรคมนาคมและดาวเทียม
พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคน ต่างด้าว ห้ามคนต่างด้าวถือหุ้นในกิจการหลายอย่างเกิน 49% เช่น กิจการโทรคมนาคม การเดิน อากาศ ดาวเทียม เป็นต้น ส่วนกิจการโทรทัศน์ คือไอทีวี ก็อาจได้รับผลกระทบด้วย เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 39 ระบุว่า เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อ มวลชนอื่น ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย ห้ามเป็นของต่างชาติ
ผลการวิจัยของนักวิจัย จากสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่า ขณะนี้ ประเทศอื่นๆได้เปิดธุรกิจบริการทุกอย่างให้ต่างชาติหมดแล้ว เหลืออยู่แต่เพียงประเทศไทยที่ยังปิดกั้นอยู่ แต่เป็นการปิดกั้นแบบปากว่าตาขยิบ กล่าวคือมีกฎหมายปิดกั้นจริง แต่ไม่ได้บังคับใช้โดยเคร่งครัด ตัวอย่างเช่นกิจการโทรคมนาคม ห้ามต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% แต่ในความเป็นจริง ต่างชาติถือหุ้นถึง 65.07%
ปัญหาขณะนี้ก็คือ จะต้องตรวจ สอบเรื่องนี้อย่างโปร่งใส และตรงไปตรงมา ไม่ให้ ถูกกล่าวหาว่าพยายามเตะถ่วง หรือช่วยเหลือผู้ทำผิดกฎหมาย และตราบใดที่ยังมีกฎหมายอยู่ ก็จะต้องใช้บังคับโดยเคร่งครัด แต่ถ้าเห็นว่ากฎหมายล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของต่างประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะต้องแก้ไขกฎหมายเสียใหม่
จงอย่าได้พยายามใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือ ในการแก้ไขหรือตัดสินปัญหาทุกอย่าง การเลือกตั้งอาจจะเป็นเครื่องตัดสินว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับนโยบายของรัฐบาลหรือของพรรคต่างๆ แต่ถ้ามีการกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมาย จะใช้การเลือกตั้งตัดสินไม่ได้ แม้จะด้วยคะแนนเสียงกี่สิบล้านเสียงก็ตาม การกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมาย จะต้องตัดสินด้วยกระบวนการยุติธรรม.
-------------------------------
http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics01&content=18197--------------------------------
ผมคัดบทบรรณาธิการ ไทยรัฐมาให้อ่านกัน เพียงอยากจะช่วยกันจับตามองครับ