การคบคิดกันโกงภาษีในกรณีขายหุ้นชินให้กับเทมาเส็กกำลังทำให้ผู้บริหารในกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังอยู่ไม่เป็นสุข เพราะกำลังเดินเข้าใกล้ประตูคุกเข้าไปทุกทีแล้ว
คงเหลือแต่ว่าติดคุกอย่างเดียวหรือติดคุกและถูกยึดทรัพย์ด้วยเท่านั้น
คือถ้าหากยังดึงดันไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง คือไม่เรียกเก็บภาษีตามหน้าที่ที่ต้องทำ นอกจากจะต้องมีความผิดถึงติดคุกแล้ว อาจจะต้องรับผิดถึงขั้นถูกยึดทรัพย์ชดใช้ค่าภาษีอีกหลายหมื่นล้านด้วย
แต่ถ้าทำหน้าที่เสียให้ถูกต้องและหลวงได้รับค่าภาษีแล้วก็ไม่ต้องถูกยึดทรัพย์ และโทษติดคุกก็อาจจะได้รับการบรรเทาโทษหรืออาจได้รับการรอลงอาญาได้
จะตัดสินใจอย่างไหนก็เลือกกันเอาเองเถิดพ่อเจ้าพระคุณ!
ทำไมเราถึงบอกว่ากำลังใกล้คุกตะรางและใกล้ถูกยึดทรัพย์เข้าไปทุกที?
ก็เพราะว่าการดึงดันไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่ยอมจัดเก็บภาษีตามหน้าที่ที่ต้องทำ กลับไปขย้ำขยี้รีดภาษีจากชาวบ้านจนเดือดร้อนปั่นป่วนทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วริอ่านขัดขืนไม่ไปให้ถ้อยคำกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตามหน้าที่ซ้ำเข้าไปอีก ยิ่งทำให้การทำผิดถลำลึกแบบเดียวกับพวกสามหนาห้าห่วง
ไปหลงเชื่อใครก็ไม่รู้ยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินไม่มีอำนาจหน้าที่เรียกพวกสรรพากรไปชี้แจงเรื่องจัดเก็บภาษีและมีเรื่องที่ขอให้วินิจฉัยเพื่อจะอาศัยคุ้มกะลาหัวอีกหลายข้อ
ซ้ำรอยเดียวกับพวกสามหนาห้าห่วงที่หลงให้เขาหลอกว่าจะคุ้มกะลาหัวให้พ้นคุกพ้นตะรางได้ จึงตะบึงดึงดันเดินหน้าเรื่อยไป และในที่สุดก็ต้องถูกศาลตัดสินให้ติดคุก!
ไม่เชื่อกฎหมาย ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ดันไปหลงเชื่อใครก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มกะลาหัวได้
แล้วเป็นไงหล่ะ? ในที่สุดก็หนักกว่าเก่า เพราะสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเขาไม่ได้เป็นทาสระบอบทรราชใด ๆ เขาเป็นที่ปรึกษากฎหมายแผ่นดินที่มีเกียรติภูมิสูงมาก เพราะเป็นสถาบันที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งด้วยพระองค์เอง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยในหลายเรื่อง พอสรุปได้ดังนี้
ประการแรก สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมีอำนาจเรียกเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรไปให้ถ้อยคำได้ และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรก็ต้องไปให้ถ้อยคำในการตรวจสอบนั้น โดยขอบเขตการตรวจสอบและวิธีการตรวจสอบต้องเป็นไปตามที่ผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินกำหนด
ประการนี้ก็จ๋อยราวกับเห็นผีในเวลากลางวันแล้ว!
ประการที่สอง ตรงนี้สำคัญมาก เพราะมีการวินิจฉัยว่าการปฏิบัติที่ผ่านมานั้นมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีตามกฎหมายภาษีและผูกพันกรมสรรพากรว่ากรณีการขายหุ้นแบบนี้ต้องประเมินเงินได้ ณ วันเวลาที่ได้หุ้นมา แต่กรณีรายหุ้นชินนั้นได้เปลี่ยนวิธีการใหม่เป็นว่าให้ถือเอาวันเวลาขายซึ่งไม่รู้ชาติไหน และไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ตรงนี้แหละติดตะรางแน่! เพราะคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีนั้นมีผลผูกพันตามกฎหมาย หากจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องแก้กฎหมายเท่านั้น เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะไปเปลี่ยนคำวินิจฉัยเอาเองตามใจชอบไม่ได้
รายนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงการคำนวณเงินได้เอาตามใจชอบ ผิดกฎหมายและผิดคำวินิจฉัย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนบางคนเท่านั้น จึงผิดกฎหมายชัด ๆ มีโทษอาญาสถานหนักและถึงขั้นยึดทรัพย์อีกด้วย
ประการที่สาม วินิจฉัยว่าการตอบข้อหารือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในทางภาษีอากร จึงต้องมีความรับผิดชอบ
พูดง่าย ๆ ก็คือจะมาแก้ตัวส่งเดชว่าการตอบข้อหารือที่ตอบไปว่าการขายหุ้นชินรายนี้ไม่ต้องเสียภาษีนั้นเป็นการตอบส่งเดช ไม่มีผลอะไรไม่ได้
มีผลเป็นการทำผิดกฎหมายเพราะช่วยกันโกงภาษีนั่นเอง!
แต่การกระทำเช่นนั้นไม่มีผลทำให้หมดภาระในการเสียภาษีเพราะถ้ามีภาระต้องเสียภาษี ถึงจะคบคิดกันฉ้อโกงโดยการตอบหารือแบบนี้ก็ไม่คุ้มกะลาหัวแต่ประการใด จะต้องเสียภาษีต่อไปตามที่ถูกประเมิน
ประการที่สี่ วินิจฉัยว่าภาระการที่จะต้องเสียภาษีนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เวลาซื้อขายหุ้นชินนอกตลาด แต่สามารถยื่นแบบเพื่อเสียภาษีได้ในเดือนมีนาคมของปีถัดไปคือปี 2550
แต่เนื่องจากการซื้อขายหุ้นแบบนี้ผู้เสียภาษีจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายและต้องยื่นเสียภาษีภายใน 7 วันนับแต่เกิดรายการซื้อขาย จึงต้องยื่นเสียภาษีภายใน 7 วันนับแต่วันซื้อขายหุ้น
เมื่อไม่เสียภาษีตามกำหนดนี้ก็ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยและค่าปรับด้วย
ความจริงจำนวนภาษีนั้นไม่ใช่เฉพาะที่เกิดจากรายการแอมเพิ้ลริชอย่างเดียว แต่เกิดจากการขายทั้งหมด คือทั้ง 73,000 ล้านบาท เพราะมีการโอนนอกตลาดหุ้นมาก่อนทั้งสิ้น
เห็นหรือยังพระเดชพระคุณทั้งหลายว่ากรรมมีจริง! กฎหมายก็มีความศักดิ์สิทธิ์และความยุติธรรมก็มีอยู่ในประเทศนี้บ้าง ดังนั้นเมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยอย่างนี้จึงผูกพันฝ่ายบริหารคือกรมสรรพากรและกระทรวงการคลัง
จึงต้องหน้าจ๋อยไปให้ถ้อยคำต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอยู่ในขณะนี้
ต้องไปชี้แจงว่าทำไมจึงไม่เก็บภาษี ฮึ!
อีกไม่กี่วันก็คงจะมีคำวินิจฉัยจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ถึงวันนั้นก็คงมีการส่งเรื่องไปดำเนินคดีกับคนโกงภาษี รวมทั้งคนที่ช่วยโกงภาษีด้วย
เวลาจึงเหลือน้อยเต็มทีที่จะสำนึกผิดแล้วรีบดำเนินการจัดเก็บภาษีให้ถูกต้องครบถ้วนก็จะไม่ต้องถูกยึดทรัพย์ และจะได้รับบรรเทาโทษในคดีอาญาด้วย
บทเรียนที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร กระทรวงการคลังกลุ่มนี้ควรจะได้ตระหนักก็คืออย่าไปเชื่อใครว่าจะคุ้มกะลาหัวได้ ควรที่จะเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ตามหน้าที่จะดีกว่า
ก็ต้องบอกฝากไปถึงนายยรรยง พวงราช และคณะในกระทรวงพาณิชย์ให้ดูตัวอย่างไว้ให้ดี เพราะกำลังเข้าแถวเดินตามคนพวกนี้อยู่แล้วเหมือนกัน!
ข่าวจากผู้จัดการ