บาปหรือกรรมชั่ว
บาปก็คือกรรมชั่ว กรรมไม่ดี ที่เกิดจาก ๓ ทาง
ก็คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ สรุปก็คือบาปเกิดมาจาก ๓ ทาง -
บาปทางกาย (๑) บาปทางวาจา (๑) และ บาปทางใจ (๑) บาป คือ สิ่งที่ละเมิดศีลห้าทั้งหลาย
ศีลห้านี่ ใช้ได้ทุกสถานการณ์เมื่อเราจะพูดถึงธรรมะ เพราะ
ศีลห้านับเป็นบาทเป็นฐานของการมีชีวิตที่ดี เป็นคนดีตาม
ธรรมชาติ ไม่แหวกกฏธรรมชาติ ดังนั้นข้อแรกที่จะใช้พิจารณา
ได้ง่ายๆ ก็คือ
เมื่อความคิด (ใจ) คำพูด (วาจา) หรือการกระทำ (กาย) ใดออกจาก
ขอบเขตของศีลห้า ความคิด คำพูดหรือการกระทำนั้นๆ ก็เป็น
'บาป' อย่างไม่ต้องสงสัย อาทิ หากเราคิดจะฆ่าใคร หรือพูดด่าว่าใคร
หรือพูดโกหก หรือประพฤติผิดในกาม หรือแม้แต่คิดจะประพฤติผิด
อะไรก็ตาม นี่ก็คือบาปเกิดแล้ว
(๒)
บาป ก็คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจทั้งหลาย
(ข้อนี้เป็นบาปอย่างละเอียดลงไป- อ่านไว้เล่นๆ นะคะ
ไม่ต้องซีเรียส
กับข้อนี้มาก)
นอกไปจากการล่วงละเมิดศีลห้าแล้ว บาปก็คือความไม่สบายกาย
ไม่สบายใจทั้งหลาย อาทิ หากความคิด คำพูด หรือการกระทำใดๆ
เมื่อคิดหรือพูดหรือทำแล้ว ก่อให้เกิดความขุ่นมัว ไม่สบายใจ เป็นทุกข์
ทำให้ใจเกิดอารมณ์ด้านลบทั้งหลาย อาทิ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ
หงุดหงิดใจ ขุ่นมัว ไปจนถึงโกรธมีโทสะรุนแรง เกิดอาการทุรนทุราย
ต่างๆ ใจไม่นิ่ง ไม่เป็นสุข ไม่สงบ ร้อนรนหรือเศร้าหมอง หงุดหงิด
รำคาญใจ ไม่ชอบใจ หรือคิดไม่ดี คิดร้าย หรือพูดให้ร้ายกับใคร ฯลฯ
ก็นับว่า ความคิด คำพูดหรือการกระทำนั้นๆ 'เป็นบาป' (สรุปก็คือ
เมื่อไหร่ใจไม่นิ่ง แต่เกิดความคิดหรือคำพูดหรือการกระทำหรือ
อารมณ์ใดๆ ก็ตามที่เป็นไปในทางลบ เป็นทุกข์แม้แต่เพียงน้อยนิด
ใจไม่สงบแม้แต่นิด ฯลฯ นั่นก็คือเป็นบาป)
.....
ยกตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
-บาปทางกาย
ในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ง่ายๆ ก็เช่นตบยุง ตีแมลงสาป ฆ่ามด ฯลฯ
อันนี้ผิดศีลข้อหนึ่งทั้งหมดเลย ถามว่าก็ยุงจะมากัดลูกซึ่งเป็นเด็กอ่อน
ก็ตอบว่า เรามีวิธีป้องกันก่อนได้ไม่ให้มียุง เช่น ติดมุ้งลวด ยุงก็เข้ามาไม่ได้
เรามีวิธีป้องกันก่อนเพื่อไม่ให้มีมดและแมลงสาปและหนู ด้วยการเก็บที่ทาง
และสิ่งของให้สะอาดเป็นระเบียบเสมอเสียก่อน อาหารรับประทานแล้ว
ก็เก็บล้างภาชนะทันทีไม่ทิ้งไว้ มดก็ไม่ทราบจะมาขึ้นอะไร เราก็ไม่ต้อง
ทำบาป ฯลฯ
-บาปทางวาจา
อันนี้ ครูบาอาจารย์บอกว่าเป็นบาปที่ง่ายที่สุด เพราะอุปกรณ์อย่างเดียว
คือปาก พูดออกไปปุ๊บก็บาปปั๊บ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ (ตั้งใจก็บาป
มากหน่อย ไม่ตั้งใจจะให้ร้ายหรือทำร้ายใจใคร ก็บาปลดลงหน่อย เพราะ
ไม่ได้เจตนา)
พูดอย่างไรถึงบาป ก็มี ส่อเสียด เพ้อเจ้อ โปรยประโยชน์ และ มุสา
ให้ตนเองหรือผู้อื่น สัตว์อื่น ต้องเดือดร้อน กล่าวคือ พูดเหล่านี้แล้วตัวเอง
ก็เดือดร้อนเพราะเป็นบาป แล้วยังอาจทำให้คนอื่นที่ได้ยินได้ฟังเกิดเดือดร้อน
เป็นทุกข์หรืออาจไปให้ร้ายให้โทษกล่าวตู่กล่าวโทษกล่าวหาบุคคลที่สาม
เข้าให้อีก ก็ทำให้เค้าอาจต้องเดือดร้อนได้รับทุกข์โทษภัยไปด้วย
อาทิเรามีอคติอยู่กับคนๆ หนึ่ง แล้วเกิดมีของสำคัญในที่ทำงานหาย
เราไม่มีข้อมูลอะไรแต่เราเที่ยวพูดว่าสงสัยคนที่เราไม่ชอบหน้านั้นแหละ
จะเป็นคนขโมยไป แล้วจับพลัดจับผลูด้วยคำพูดของเราที่ปกติมีน้ำหนัก
น่าเชื่อถือ ก็อาจทำให้คนๆ นั่นถูกสงสัย (ทั้งที่เค้าบริสุทธิ์) อันนี้ก็บาปแล้วค่ะ
เพราะเราโกหก (๑) เราทำให้คนๆ นั้นที่เราไม่ชอบต้องเกิดความ
ทุกข์ใจและเสียชื่อเสียงเพราะถูกกล่าวหา (๑) เราพลอยทำให้คนอื่นๆ
ที่ไม่รู้อะไร เกิดจิตเป็นลบกับคนๆ นั่นที่เรากล่าวหา (๑) และสมมุติหาก
คนๆ นั้นถูกจับ ต้องรับโทษ ทั้งที่ไม่ได้ทำ สมมุติถูกตัดสินจำคุกหกเดือน
อันนี้ก็เพิ่มอีกบาปใหญ่คือทำให้เค้าต้องเสียอนาคต เสียชื่อ ไปติดคุก
ต้องทุกข์ทรมาน ฯลฯ
-บาปทางใจ
อันนี้ละเอียดมากขึ้นไปอีก อาจมองให้เห็นได้ยาก เพราะใจมนุษย์นั้น
เปี่ยมไปด้วยกิเลสและความไม่รู้ แต่ที่จริงก็สามารถดูง่ายๆ ได้เลยค่ะ
คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดอะไรที่ให้ผลเป็นอารมณ์ด้านลบ
อารมณ์ใดๆ ที่จิตใจเศร้าหมองไม่ผ่องใสแม้แต่เพียงน้อยนิด
แม้เพียงเศษเสี้ยว อันนั้นก็บาปทั้งนั้น หรือคิดไม่ดีทั้งกับตัวเอง
หรือกับคนอื่นชีวิตอื่นก็บาปทั้งนั้น อาทิ เห็นคนแต่งตัวแบบที่
เราคิดว่าน่าเกลียด ก็เห็นปุ๊บใจก็คิดว่า "ยี้...น่าเกลียดจังยายคนนี้
แต่งตัวไร้รสนิยม" อันนี้ก็บาปเรียบร้อยแล้ว หรือคิดว่าคนโน้นคนนี้
ไม่ดี หรือ รู้สึกเกลียด รู้สึกโกรธ รู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจ อิจฉา
อยากได้ของคนอื่น อยากเป็นอย่างคนอื่นที่เราคิดว่าดีกว่าเรา
หรือร้อนรน ใจทุรนทุรายในเรื่องต่างๆ ฯลฯ
http://www.geocities.com/kratoos/00036.html