ผงะ!ครัวเรือนรายได้ไม่ถึงหมื่นหนี้ท่วม แฉกู้กองทุนหมู่บ้านใช้จ่ายประจำวัน-ซื้อรถ-บ้าน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนทั่วประเทศจำนวน 1,187 ตัวอย่าง
รายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่า 10,000 บาท ไปจนถึงมากกว่า 90,000 บาท พบว่าครัวเรือนส่วนใหญ่ 75.7% มีหนี้สิน โดยมีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน 116,839.8 บาท ผ่อนชำระเดือนละ 4,917 บาท แบ่งเป็นหนี้ในระบบประมาณ 73.9% และหนี้นอกระบบ 26.1% บาท โดยเป็นการกู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านและบุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติพี่น้องมากที่สุด ขณะที่สัดส่วนการกู้เงินจากนายทุนลดลง
ทั้งนี้ สถานภาพหนี้ภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจระดับชาติที่น่าวิตก เนื่องจากส่วนใหญ่การผ่อนชำระหนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ารายได้ แต่ที่มีปัญหาคือกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีหนี้สินเฉลี่ย 117,407 บาท ซึ่งสูงกว่ารายได้ถึง 11.7 เท่า ครัวเรือนที่มีรายได้ตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท มีหนี้สินเฉลี่ย 108,632 บาท สูงกว่ารายได้ 7 เท่า โดยกลุ่มที่มีรายได้สูงจะมีสัดส่วนหนี้ในอัตราที่ลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่าภาระการก่อหนี้ในอนาคตมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ เนื่องจากประชาชนมีความกังวลว่าเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ระมัดระวังในการก่อหนี้มากขึ้น โดยส่วนใหญ่กู้เงินเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อการลงทุน และซื้อสินทรัพย์ถาวร
"รัฐบาลต้องดูแลครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ซึ่งการดูแลราคาสินค้า โดยเฉพาะโครงการธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ ที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงประเด็นการใช้นโยบายด้านการเงินในการดูแลอัตราดอกเบี้ยไม่ให้สูงมากกว่าปัจจุบัน รวมถึงการใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณ 1-2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1-2.25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2550 ที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 8.4 ล้านล้านบาท" นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ในปี 2549 นี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ คาดว่าขนาดครัวเรือนที่เป็นหนี้จะอยู่ที่ 19.3 ล้านครัวเรือน จำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน 116,840 บาท ขนาดหนี้สินครัวเรือนโดยรวมอยู่ที่ 2,255,012 ล้านบาท จีดีพีอยู่ที่ 7,750,000 ล้านบาท สัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพีอยู่ที่ 29.10% ซึ่งไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ (เอ็นพีแอล)
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า
ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังมีปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย โดยให้เหตุผลว่าราคาสินค้าแพงขึ้น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และราคาน้ำมันแพง ซึ่งจะใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการขายและจำนำสินทรัพย์ที่มี รองลงมาคือการกู้ยืม การขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง และการนำเงินออมออกมาใช้นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำการสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แหล่งเงินกู้สำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ กองทุนหมู่บ้าน ญาติพี่น้อง และบัตรเครดิต โดยวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ได้แก่ การใช้จ่ายประจำวัน รองลงมาคือการลงทุน ซื้อยานพาหนะ ซื้อที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล และอื่นๆ เช่น ชำระหนี้ เพื่อความบันเทิง และซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
หน้า 8<
http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03eco01310849&day=2006/08/31