วิทยานิพนธ์ดีเด่นธรรมศาสตร์ชี้นายกแปลง 'สิทธิ' เป็น 'อำนาจ'
30 สิงหาคม 2549 17:30 น.
นายกฯทักษิณมีอำนาจล้นฟ้า ควบทั้งตำแหน่งฐานะนายกฯ ผู้คุมอำนาจรัฐ ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ แหล่งข่าว และสื่อมวลชนพร้อมเสร็จ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
วิทยานิพนธ์ดีเด่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีนี้ สะท้อนการแปลง 'สิทธิ' เป็น 'อำนาจ' ผ่านรายการวิทยุนายกฯทักษิณคุยกับประชาชน ในฐานะผู้นำที่มีอำนาจล้นเหลือเพราะเป็นทั้งฐานะนายกฯ ผู้ควบคุมอำนาจรัฐ ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ แหล่งข่าว และสื่อมวลชนเอง สำนักงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดโครงการสัมมนาวิทยานิพนธ์ดีเด่นในรอบปีเมื่อวานนี้(29 ส.ค.) มีวิทยานิพนธ์ได้รับรางวัลจำนวนทั้งสิ้น 15 เรื่อง และหนึ่งในจำนวนนี้คือวิทยานิพนธ์ดีเด่น หัวข้อ "การแปลงสิทธิเป็นอำนาจผ่านรายการวิทยุนายกฯทักษิณคุยกับประชาชนศึกษากรณี:วิกฤติการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" จัดทำโดยจิราภรณ์ เจริญเดช บรรณาธิการเซค ชั่นจุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
มหาบัณฑิตสาขาการบริหารสื่อสารมวลชน คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่าในการทำวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ได้ศึกษาคำพูดของนายกฯ ในรายวิทยุนายกฯทักษิณคุยกับประชาชน ตลอดปี 2547 เป็นเวลา 52 สัปดาห์ โดยเปรียบเทียบข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ คือ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและมติชนตั้งแต่เดือนม.ค.- ธ.ค.2547 เช่นเดียวกัน
จากการศึกษาถ้อยคำ ภาษา ประโยคหรือการกระทำทางภาษา ของนายกฯ พบว่าการแปลงสิทธิอำนาจเป็นอำนาจ มี 2 รูปแบบ คือ 1. เชิงโครงสร้างอำนาจและ2. เชิงวัจนกรรม
ผู้ศึกษาพบว่าจากการพูดที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น พ.ต.ท.ทักษิณเสนอนโยบายสองด้านหลักคือ ด้านอ่อน จะมุ่งเน้นการพยายามแก้ปัญหาปัญหาความยากจน ให้การศึกษา เพื่อมีงานทำ และแก้ปัญหาหนี้สิน อันเป็นการพัฒนาทั้งระยะด่วนและระยะยาว ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นหมดไปได้ ขณะเดียวกันด้านแข็งก็ใช้กฎหมายปราบปรามอย่างเด็ดขาด ใช้หลักกฎหมายที่ยังไม่หมดอายุความ และให้โอกาสผู้กระทำผิดได้กลับตัว
ซึ่งผู้ฟังยังเห็นชัดเจนอีก หลายครั้ง ที่ว่าท่านได้แสดงความเป็นผู้นำด้วยการเสนอ สัญญา ยืนยัน รับรองว่าท่านจะพยายามแก้ปัญหาให้ได้ มีการพูดปลอบขวัญ กล่าวชม ยกย่อง การใหกำลังใจ ในขณะเดียวกันหากสื่อหรือคอลัมนิสต์เล่มไหนเขียนวิจารณ์การทำงานของนายกฯ ซึ่งแม้จะอ้างจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ท่านนายกฯ ก็มักจะระบุว่าสื่อเหล่านั้นอคติ ซึ่งในแง่นี้ดิฉันอยากให้ท่านได้รับรู้ว่าการทำวิจัยนี้ ดิฉันได้ศึกษาคำพูดของท่าน ที่ท่านสื่อออกไปในรายการของท่าน อย่างมีกรอบทฤษฎี และหลักวิชามาวิเคราะห์ให้เห็นการพูดแบบต่าง ๆ ของท่าน นั้นท่านอาจทราบหรือไม่ทราบว่าท่านกำลังใช้อำนาจอย่างไร และสังคมไทยเราก็ไม่อาจปฏิเสธว่านายกฯคนนี้มีเวทีพูดมากที่สุดเท่าที่เราเคยมีหลักฐานมา
สรุปสิ่งที่ค้นพบในการทำศึกษาคือ
การแปลงสิทธิอำนาจเป็นอำนาจโดยเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของนายกรัฐมนตรี ด้วยการผสานสิทธิอำนาจใน 3 อำนาจจาก 2 ฐานันดร คือ ฐานันดรแรกคือชนชั้นปกครอง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีสิทธิอำนาจเข้าถึงและตรวจสอบอำนาจรัฐทุกระดับ รวมทั้งสิทธิอำนาจในฐานะผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ แหล่งข่าว กับสามในฐานะสื่อซึ่งเป็นฐานันดรที่สี่ทำหน้าที่ผลิตสาร กำหนดวาระประเด็นทางสังคม ส่งสาร ไปยังสาธารณะซึ่งในที่นี้นายกฯได้ทำหน้าที่สื่อ กำหนดวาระประเด็นผ่านรายการวิทยุอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ผลการศึกษาการพูด ชี้ให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ในการสื่อสารของนายกรัฐมนตรี ใน 3 ยุทธศาสตร์ คือ การจัดการกับความจริง การแสดงอำนาจและการแสดงความเป็นผู้นำ
สิ่งที่ผู้คึกษาได้ค้นพบจากการศึกษาการแปลงสิทธิอำนาจเป็นอำนาจเชิง วัจนกรรมหรือการกระทำทางภาษานั้น สามารถนำมาสรุปเป็นแนวคิด ใหม่ คือ 1 Polity-policy แสดงถึง การกำหนดนโยบายเป็นการสื่อสารซึ่งอย่างน้อยนายกฯพูดถึง 19 นโยบายในระยะเวลา 10 เดือนของปี 2547 ผ่านการพูดในรายการ 2. Hetero-Strategy Speech Act แสดงถึงการใช้หลากหลายกลยุทธ์ในการพูด อย่างน้อยพบว่าจำนวน 17 กลยุทธ์ 3. Multi-formulations แสดงถึงความสามารถในการใช้ถอยคำหลาย ๆ คำ เพื่อสื่อความหมาย
การค้นพบนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสื่อมวลชนเพราะแสดงให้เห็นว่านายกฯพูดผ่านรายการวิทยุเพื่อให้ข้อมูลที่ประชาชนควรรู้ โดยการใช้อำนาจทั้งในฐานะรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญและแหล่งข่าว
รวมถึงยังทำหน้าที่เป็นสื่อกำหนดประเด็นทางสังคมเสียเอง ผศ.ดร.ทัศนีย์ บุญนาค อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อมวลชน มธ.ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาทำวิทยานิพนธ์ กล่าวว่า จากวิทยานิพนธ์นี้ ทำให้เห็นการใช้อำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่แค่ใช้อำนาจในการเป็นผู้บริหารประเทศ และอำนาจ ทางนิติบัญญัติเท่านั้น แต่ยังใช้อำนาจการสอบคือการเป็นสื่ออีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยนายกฯใช้อำนาจทั้งในเชิงโครงสร้างและเชิงวัจนกรรมที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ
การพูดของพ.ต.ท.ทักษิณมีทั้งยกย่อง ชมเชย ตำรวจ ทหาร ประชาชนที่ให้ความร่วมมือ แต่ก็มีตำหนิ อย่างทหารอบรมมาแล้วกลับมาก่อเหตุและคำมั่นสัญญาในการพัฒนาภาคใต้ในแง่งบประมาณ การศึกษา การมีงานทำภายใน 3 ปี ถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีความตั้งใจดี แต่ก็ต้องดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคปัญหา ทำให้เหตุการณ์ภาคใต้ยังไม่สงบ ซึ่งการพูดมีทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต วิทยานิพนธ์นี้ทำให้ดูว่าอะไรที่เป็นจริง มีช่องว่างที่ต้องแก้ไข เป็นการศึกษาในเชิงวิชาการเท่านั้นผศ.ดร.ทัศนีย์ กล่าว
นางสาวจิราภรณ์ได้นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าปัญหาภาคใต้ยังคงไม่สามารถแก้ไขได้ หากพิจารณาข้อเท็จจริงจากการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งเมื่อเทียบกับอดีต ในปี 2543 เกิดเหตุ 12 ครั้ง ปี 2544 เกิดเหตุ 50 ครั้ง ปี 2545 เกิดเหตุ 75 ครั้ง ปี 2546 เกิดเหตุ 110 ครั้ง และปี 2547 เดือนม.ค.-พ.ย.เกิดเหตุ 1,253 ครั้ง
และ เมื่อนับจากต้นปี 2547 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 30 เดือน เกิดเหตุ 4,967 ครั้ง มีคนบาดเจ็บคนตาย รวม 4,037 คน แบ่งเป็นคนตาย 2,379 คน บาดเจ็บ 1,568 คน และในสี่อำเภอ คือ จะนะ สะบ้าย้อย เทพา นาทวี ของ จ.สงขลามีคนบาดเจ็บกว่า 100 คนในปีนี้
ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ประธานเปิดการสัมมนาวิทยานิพนธ์ดีเด่นในรอบปี 2548 กล่าวว่า มธ.มีจุดมุ่งหมายจะพัฒนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย ในระยะยาวจะเน้นการรับนักศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีให้มากกว่านักศึกษาปริญญาตรี
ในปัจจุบันแต่ละปีมีนักศึกษาปริญญาโทและเอกทำวิทยานิพนธ์ออกมาประมาณ หนึ่งพันเล่ม แต่มีแค่ 20-30 เล่มเท่านั้นที่ได้รับยกย่องเป็นวิทยานิพนธ์ดีเด่น
http://www.bangkokbiznews.com/2006/08/30/w001_133469.php?news_id=133469หมัก-จืด แบ่งประเด็นกันให้ถูก เยอะเหลือเกิน