"มาร์ค" เอาใจคนกรุง ชูรถไฟฟ้า ปชป. 7 สาย
"อภิสิทธิ์" เปิดตัว "รถไฟฟ้าประชาธิปัตย์" หนึ่งในวาระประชาชนเป็นนโยบายเร่งด่วน
ถ้าได้เป็น รบ. ทุ่มลงทุนรถไฟฟ้า 7 สาย 2.6 แสนล้าน แล้วใช้รถเมล์ด่วนเป็นระบบรอง
ชี้เน้นสร้างโครงข่ายครอบคลุมเป็นระบบ ใช้ระบบรัฐลงทุนแล้วให้เอกชนเช่า-บริหาร
เย้ย"แม้ว"อยู่ 5 ปีไม่มีระบบขนส่งแท้จริง
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวเตรียมการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์
ว่าพรรคได้เปิดนโยบายวาระประชาชนด้านขนส่งมวลชน โดยเมื่อเวลา 09.30 น. นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ทีมงานด้าน กทม.
และอดีต ส.ส. อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขา-
ธิการพรรค รวมทั้งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น ได้เปิดตัว
นโยบายด้านขนส่งมวลชนในคอนเซ็ปท์ "รถไฟฟ้าประชาธิปัตย์" โดยมีคณะของพรรคประชาธิปัตย์
มาร่วมงานอย่างคับคั่ง ซึ่งนายอภิสิทธิ์และคณะได้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสจากสถานีหมอชิตไปยัง
สถานีพญาไท โดยขบวนรถไฟฟ้าที่คณะโดยสารได้ตกแต่งสกรีนนโยบายวาระประชาชนทั่วทั้ง
ภายนอก และภายในรถไฟฟ้าทั้งขบวน ทำให้เป็นที่สนใจของประชาชนตลอดเส้นทาง จากนั้น
คณะทั้งหมดได้เดินเท้าต่อจากสถานีรถไฟฟ้าพญาไท มาแถลงเปิดนโยบายที่ดีดาบาร์
ถนนศรีอยุธยา
นายอภิสิทธิ์แถลงว่า หลังจากมีนโยบายวาระประชาชนเฉพาะด้านออกมาแล้ว พรรคยังมีวาระ
ประชาชนในมิติของพื้นที่ด้วย คือ นโยบายสำหรับคน กทม. และแยกตามภาคต่างๆ โดยจะพูด
ประเด็นปัญหาเฉพาะของแต่ละแห่ง ครั้งนี้ในวาระประชาชนของชาว กทม. ปัญหาสำคัญคือ
ด้านการจราจร ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยพรรค
ได้รวบรวมข้อมูลจราจร และบริเวณสี่แยกที่มีรถหนาแน่นมากๆ เพื่อนำมาปรับเป็นนโยบาย
ขนส่งมวลชนที่เหมาะสมกับประชาชน
"วาระประชาชนด้านขนส่งมวลชนของพรรคอยู่บนหลักคิดที่ต้องครอบคลุมทั่วพื้นที่เป็นโครงข่าย
มีระบบหลัก ระบบรองที่จะป้อนผู้โดยสารเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายเพื่อให้เข้าถึงระบบได้สะดวก
ที่สำคัญค่าโดยสารต้องเป็นไปตามระยะทาง และเป็นอัตราที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้" นายอภิสิทธิ์
กล่าว และว่า 4 ปีที่ผ่านมาระบบขนส่งมวลชนยังไม่มีการพัฒนาเป็นรูปธรรม โดยช่วง 5 ปีของ
รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีการดำเนินการด้านขนส่งมวลชนเลย มีเพียงช่วงใกล้เลือกตั้งเมื่อ
ปี 2548 ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการรถไฟฟ้า 10 สาย ในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ พอถึง
เวลาจริงลดลงเหลือ 7 สาย และถึงขณะนี้เหลือเพียง 3 สาย และวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนของ
โครงการว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ อีกทั้งยังมีปัญหาการเมืองภายในพรรคเองทำให้เป็นอุปสรรค
จึงมีเพียงขนส่งมวลชนที่เชื่อมไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น ไม่มีความชัดเจนเรื่องขนส่ง
มวลชนทั้งระบบ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการทันทีตามนโยบายด้านขนส่ง
มวลชน ถ้าได้เป็นรัฐบาลคือจัดเก็บค่าโดยสารอย่างเป็นธรรม ยกเลิกการจัดเก็บค่าโดยสาร
ซ้ำซ้อน และจะเก็บเพียงครั้งเดียว เพราะผู้โดยสารต้องจ่ายค่าโดยสารสองต่อเมื่อเปลี่ยนจาก
โครงการหนึ่งไปอีกโครงการหนึ่ง เช่น จากรถไฟฟ้าไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเท่ากับเสียค่าแรกเข้า
ซ้ำซ้อน ทั้งนี้ หากได้เป็นรัฐบาลจะเร่งลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเส้นทางขนส่งมวลชน
7 สาย จำนวน 139 กิโลเมตร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 265,150 ล้านบาท หรือคิดเป็นงบฯลงทุน
1,908 ล้านบาทต่อกิโลเมตร ซึ่งทั้ง 7 สายจะเชื่อมต่อเป็นวงแหวน และมีขาต่อขยายไปทิศ
ต่างๆ อยู่บนหลักการที่ทำให้มีการขนส่งคนใน กทม.ได้มากที่สุด โครงการทั้ง 7 สาย จึงเป็น
ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจจะขนส่งประชาชนได้เพิ่มขึ้น 1.5-2 ล้านคนต่อวัน รวมทั้งประหยัด
พลังงาน และแก้ปัญหาจราจรใน กทม.
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า วิธีการลงทุนใน 7 โครงการนี้ พรรคประชาธิปัตย์ขอเสนอ
แนวทางใหม่โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเป็นหน้าที่ของรัฐบาลแทน เพราะถ้าให้เอกชนลงทุน
โครงสร้างพื้นฐาน นักลงทุนมักต้องการผลตอบแทนรวมประมาณร้อยละ 10-15 และต้องรับภาระ
ทั้งก่อสร้างโครงสร้างหลัก งานระบบ การวางรากสถานี และซื้อรถไฟ จะทำให้โอกาสคุ้มทุน
เป็นไปได้ต่ำมาก และไม่มีใครกล้าลงทุน ดังนั้น นโยบายของพรรคคือรัฐบาลทำโครงสร้างพื้นฐาน
ส่วนเอกชนจะเปิดให้เช่าระบบโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวจากรัฐบาล และสามารถจะต่อเติมส่วน
ที่เหลือ อาทิ ราง หัวรถไฟ ระบบต่างๆ และการบริหารจัดการ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า สำหรับแหล่งเงินทุนที่รัฐบาลจะก่อสร้างเองนั้นจะกู้เงินจากสถาบัน
การเงินข้ามชาติ อาทิ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากเจบิค (Japan Bank for International
Cooperation) หรือจากงบฯของประเทศ และงบฯ กทม. จากนั้นเมื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
7 สายเสร็จ จะสามารถใช้เป็นทุนให้เกิดรายได้ และพัฒนาให้เป็นงบฯลงทุนส่วนต่อขยายได้อีก
คือ 1.ให้เอกชนเช่าโครงสร้าง 7 สาย เพื่อนำรายได้จากการเช่ามาต่อยอดทำส่วนต่อขยาย
2.นำโครงสร้างพื้นฐานนี้มาทำเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 3.นำมาเป็นหลักทรัพย์ในการกู้เงิน
4.ใช้เป็นหลักทรัพย์ออกพันธบัตร 5.แปลงรายได้เป็นหุ้น ทั้งนี้ เมื่อรวมกับเงินลงทุนจากภาค
เอกชน และเงินกู้จากสถาบันการเงินพิเศษหรือรัฐบาลจะทำให้สร้างส่วนต่อขยายได้ครอบคลุม
ทั่วพื้นที่
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในส่วนเอกชนจะเป็นผู้มีส่วนบริหารแต่ละเส้นโดยตรง ซึ่งรัฐบาลจะจัดให้มี
ผู้ควบคุมอิสระเข้ามาควบคุมระบบต่างๆ โดยจะดูแลทั้งในด้านผลตอบแทนที่สมควรแก่นักลงทุน
และค่าใช้บริการที่เหมาะสมกับประชาชน โดยจะคำนวณค่าสัมปทานแบบใหม่เพื่อตัดโอกาส
ไม่ให้เจ้าของสัมปทานทำกำไรมากเกินควร นั่นคือแบ่งค่าสัมปทานเป็น 2 ส่วน คือ
1.องค์กรกำกับดูแลของรัฐเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสาร
2.ผู้ประกอบการมีรายได้จากระบบสัมปทานเหมือนที่ใช้กับอุตสาหกรรมไฟฟ้า
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาจราจรระบบรองนโยบายที่จะผลักดัน
ทันทีคือนำรถเมล์ด่วน (บีอาร์ที) เข้ามาทดแทนรถโดยสารปรับอากาศบนเส้นทางสายหลัก
เพื่อให้เป็นโครงข่ายเดียวกัน รวมทั้งปรับแนวเส้นทางรถ ขสมก.ที่ทับซ้อนใหม่ อาทิ สุขุมวิท
พหลโยธิน พญาไท เป็นต้น และทำระบบตั๋วต่อตั๋วระหว่าง ขสมก.กับระบบรถไฟฟ้ามาใช้ ซึ่ง
ถ้าประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลจะโอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ขสมก.ให้ กทม.ดูแลเพื่อ
ให้เกิดความเชื่อมโยง และทำเส้นทางรถไฟฟ้ากับ ขสมก.ให้เชื่อมโยงเป็นโครงข่าย
ด้านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า กทม.จะผลักดัน
โครงการเชื่อมต่อเส้นทางเพื่อสอดรับกับนโยบาย อาทิ ปรับสภาพผิวทางเท้า บาทวิถี เพื่อให้
สะดวกต่อผู้ขับขี่จักรยาน หรือผู้ที่โดยสารรถ ขสมก.และต่อระบบรถไฟฟ้า
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10397
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0115280849&day=2006/08/28
7 สายสีรุ้ง รึเปล่านี? ท่าจะโดน ทรท. ว่าลอกนโยบายอีกแล้ว