การเมืองหลังม่าน กับชนวนความรุนแรง
โดย จุฬาลักษณ์ ภู่เกิดบรรยากาศการต่อสู้ในทางการเมืองขณะนี้ มีสภาพที่ขัดแย้งดำรงอยู่ประการหนึ่งคือ ขณะที่ถนน
ทุกสายมุ่งสู่การเลือกตั้ง แม้ยังไม่แน่ชัดว่าจะทันวันที่ 15 ตุลาคม ตามกำหนดเดิมหรือไม่ แต่ก็
เป็นที่ยอมรับ ร่วมกันว่าต้องมีกระบวนการเลือกตั้งเป็นทางออก
แต่ยังมีบางกลุ่มก่อกระแส สร้างปรากฏการณ์เสมือนไม่ต้องการให้ไปถึงจุดนั้น
ปรากฏการณ์ที่ว่าคือ จงใจสร้างเงื่อนไขและชนวนแห่งความรุนแรง อันมีแนวโน้มนำไปสู่
สถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ นำไปสู่อุบัติเหตุอันน่าเศร้าเสียใจ และหมิ่นเหม่ที่อาจนำไปสู่
เหตุการณ์เช่นที่เคยอุบัติขึ้นมาแล้วเมื่อ 30 ปีก่อนในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ขณะที่เวลานี้พรรคการเมืองที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ "บอยคอต" ไม่ลงเลือกตั้งเมื่อวันที่
2 เมษายน พากันเตรียมตัวกันอย่างคึกคัก แม้กระทั่งคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบทบาทสนับสนุน
อย่างเข้มแข็งเบื้องหลังขบวนการพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง ก็ยังเลือกกระโจน
ลงสู่สนามการเมืองในนามพรรคการเมืองน้องใหม่ใต้ชายคาเจ้าพ่อวังน้ำเย็น
แต่ดูเหมือนว่าในเวลาเดียวกัน "การเมืองหลังม่าน" ก็ยังมีอิทธิพลครอบงำ โดยพยายามตั้ง "ธง"
ไว้ในแต่ละเรื่อง ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งบรรลุเป้าหมายและพลาดเป้า
น่าแปลกที่ว่าสภาวการณ์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ผู้คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อยรับรู้และพูดถึง
"การเมืองหลังม่าน" และ "ธง" ที่ว่าอย่างเปิดเผย ในระดับหนึ่ง
รับรู้กระทั่งว่าเป้าหมายหลักคือ ยังไงก็ต้องไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย
มีที่ยืนอยู่ในการเมืองไทย
ที่น่าคิดก็คือ เป็นการยอมรับทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า "การเมืองหลังม่าน" ที่ว่าเป็นขบวนการของอำนาจ
อื่นที่ไม่ใช่อำนาจอธิปไตยที่มาจากปวงชนชาวไทย ทั้งพยายามที่จะมิให้ขบวนการตามระบอบ
ประชาธิปไตยที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้จริง
ยอมรับและรับรู้โดยที่ไม่สามารถตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์อะไรได้เพราะผู้เกี่ยวข้องอยู่ใน "เงามืด"
อาจมีบางส่วนเท่านั้นที่ตั้งคำถามว่าทำไมปรากฏการณ์เช่นนี้จึงเกิดขึ้นได้ในยุคสมัยนี้ และสิ่งนี้
น่ากลัวกว่าหรือไม่เมื่อเทียบกับระบอบทักษิณ เพราะเป็นสิ่งที่สำแดงพลังเล่นงานจนทั้งตัว พ.ต.ท.
ทักษิณและพรรคไทยรักไทยสะบักสะบอม และฐานเสียง 19 ล้านเสียงก็กำลังอยู่ในภาวะระส่ำระสาย
ความรุนแรงที่สะท้อนผ่านเหตุปะทะกันทั้งที่สยามพารากอน และเซ็นทรัลเวิลด์นั้น ภาพที่ถูกจับจ้อง
คือ ภาครัฐหรือฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณ เป็นผู้กระทำการรุนแรงต่อฝ่ายต่อต้าน แต่น้อยนักที่จะมีใคร
สนใจว่าการใช้ยุทธวิธี "ดาวกระจาย" หรือการจัดตั้ง "หน่วยพลีชีพ" ออกปฏิบัติการเช่นนี้ตามที่มี
การชี้แนะผ่านวิทยุชุมชนสถานีหนึ่งจากผู้ได้รับฉายา"ซีไอเอเมืองไทย"มาพักใหญ่เป็นส่วนหนึ่ง
ของความรุนแรงหรือตั้งใจจะให้รุนแรงหรือไม่
เช่นเดียวกันความรุนแรงที่แฝงอยู่ในเนื้อหาการปลุกผีคอมมิวนิสต์ของบิ๊กทหารระดับผู้นำเหล่าทัพ
ซึ่งก็มีการส่งสัญญาณจากคนหน้าเดิมและ สื่อเดิมมาก่อนหน้าเช่นกันว่า ทหารกำลังจับตาอดีต
ผู้ร่วมขบวนกับพรรค คอมมิวนิสต์ที่อยู่ในซีกรัฐบาลอย่างไม่ค่อยสบายใจนักและอาจมีมาตรการ
อย่างใดอย่างหนึ่งออกมา
ทำให้อดนึกไปถึงการปลุกระดมของนายทหารคนหนึ่งผ่านเครือข่ายชมรมวิทยุเสรี และวิทยุ
ยานเกราะในช่วงก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ไม่ได้
ส่วนใครคือผู้มีอำนาจแฝงอันเหลือเฟือดำเนินการสอดประสานให้สถานการณ์ขับเคลื่อนไปตาม
ทิศทางเป็นลำดับ กลับไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกหรือสนใจ
มีแต่แนวโน้มความรุนแรงล่าสุดที่มีการจับกุมผู้เตรียมลอบทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อวันที่ 24
สิงหาคมที่ผ่านมาเท่านั้น ที่ตามข่าวโยงใย ไปยังนายทหารดังแห่ง "ขบวนการ จปร.7" ที่เคย
ก่อคดีลอบถล่มขบวนรถ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีมาแล้วที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่
ลพบุรีเมื่อราวปี 2525 ซี่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นฝีมืออดีตทหารกลุ่มนี้จริง หรือใครมาสวมรอย
แทรกซ้อน หรือเป็นเพียงการจัดฉากของใครบางคนเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง
ในสถานการณ์ที่ความขัดแย้งรุนแรงขมวดปมงวดเข้ามาทุกทีเช่นนี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีสิทธิ
เพลี่ยงพล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ จากแรงกดดันทุกทิศทางจนอาจจะไม่สามารถยืนระยะอยู่ได้อีกต่อไป
แต่ในอีกทางผู้อยู่เบื้องหลัง "การเมืองหลังม่าน" ก็จะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องเผยตัวตน
ออกมาทีละน้อยให้สังคมรับรู้
นี่อาจถือเป็นคุณูปการที่เป็นผลลัพธ์สุดท้ายท่ามกลางความเสียหายหนักหน่วงในทุกบริบท
ในช่วงวิกฤต 1 ปีที่ผ่านมา
ที่มา มติขน วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10395
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act05260849&day=2006/08/26
คุณูปการแบบนี้ ไม่รู้คุ้มหรือเปล่า?