จากกระทู้
http://forum.serithai.net/index.php?topic=6356.0ขอวิเคราะห์ต่อนะครับ ในสถานการณ์ที่แตกต่าง
ผมเป็นมือสังหารผู้มากประสบการณ์และมีอิทธิพลสูง ผ่านสนามรบมามากมาย และมีเพื่อนเป็นนายทหารหลายเหล่าหลายคน
มีลูกน้องคนสนิทมากมายที่มีวิชาความรู้ในการทำสงคราม
ถ้าผมคิดจะสังหารผู้นำประเทศนี้..
สิ่งที่ผมจะคิดอย่างแรก คือ..
1)
ระบบรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างไรถ้าผมอยู่มาจนอายุปูนนี้ เคยร่วมก่อการรัฐประหาร และลอบสังหารอดีตผู้นำในอดีตจนล้มเหลวมาแล้ว ไม่มีบทเรียนว่า ระบบรักษาความปลอดภัยของผู้นำประเทศมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร แสดงว่า ผมเป็นนักเรียนที่โง่มาก ทำข้อสอบชุดเดิมแท้ๆ ยังสอบตกอยู่นั่นแหละ
ระดับชั้นของการรักษาความปลอดภัยรอบๆ ตัวผู้นำมีกี่ชั้น ผมย่อมมีประสบการณ์มากกว่าใคร เพราะถ้าใครมีมากกว่าผม มันก็ต้องเป็นคนที่เคยทำผิดพลาดแบบผมมาแล้ว คนทำสำเร็จผมยังไม่เคยพบ
ผมมีเพื่อนนายทหารมากมาย อดีตนายตำรวจก็เยอะ จะต้องรู้ว่า จำนวนคนในแต่ละกะที่ดูแลความปลอดภัยมีเท่าไร และกะไหนที่ "โล่ง" ที่สุด เครื่องมือเครื่องไม้ในการติดตาม สอดแนม และสืบหาข้อมูลของเขาเป็นอย่างไร
ถ้าผมก้าวเท้าออกไป จะมีกล้องกี่ตัวจับความเคลื่อนไหวของผม รถของผม และโทรศัพท์ที่ผมใช้ติดต่อ
ถ้าระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ไม่มีช่องว่างเลย ผมจะยกเลิกทันที ไม่ต้องไปคิดเรื่องก้าวต่อไป
แต่เท่าที่เห็น ขนาดนักข่าวจำนวนมากๆ สามารถเอาไมค์ไปจ่อปากได้ ผมก็เห็นว่ามันมีช่องว่างแล้ว
2)
วิธีการปืน ระเบิด หรือ คาร์บอมบ์ การตัดสินใจของผมอยู่ที่ อะไรง่ายที่สุดแล้วได้ผลดีที่สุด เรื่องการจัดหา ผมไม่มีปัญหา มีลู่ทางเยอะ แต่เมื่อ ผมไม่ได้ลงมือเอง จึงต้องแน่ใจว่า การใช้อาวุธนี้จะไม่ย้อนกลับมาถึงตัวผมหากเกิดความผิดพลาด ดังนั้น ที่ผมคิดออก คือ อาวุธต้องไม่มาจากหน่วยงานที่ผมรับผิดชอบ (อาวุธทุกอย่างของกองทัพมีหมายเลขกำกับ เช็คได้ว่า มาจากที่ไหน)
ในบรรดาอาวุธที่เอ่ยมา ปืน เป็นอาวุธที่กระทำการได้คล่องตัวที่สุด แต่ต้องอาศัยความแม่นยำสูง ปืนอานุภาพสูงในปัจจุบันที่กองทัพไทยมี สามารถยิงจากระยะไกลได้อย่างแม่นยำ ถ้าเป้าหมายอยู่ในสภาพที่ไม่ถูกบดบัง ปืนสามารถยิงมาได้จากทุกทิศทาง ใครก็ป้องกันไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ยืนบนเวทีปราศรัญ ที่รอบข้างเป็นทุ่งโล่งและอาคารระดับต่ำ
การใช้คาร์บอมบ์ในการก่อการร้าย เท่าที่ทราบมา เป็นการทำลายล้างคนหมู่มากเพื่อต้องการให้เกิดความสูญเสียในเชิงปริมาณ ไม่ใช่เป้าหมายโดดๆ คนใดคนหนึ่ง
ถ้าใช้การพลีชีพวิ่งเข้าชน คนที่ไปพลีชีพต้องไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทของผมแน่ จะบ้าเรอะ.. ขืนทำอย่างนั้น ผมจะมานั่งวางแผนทำไมล่ะ ในการก่อการร้ายที่ใช้ระเบิดพลีชีพ คนพลีชีพเป็นสมาชิกของลัทธิ ตายแล้วก็ตายเลย ไม่มีใครสืบสาวต่อไปหรอกว่า เขาถูกใครจ้างมา เพราะไม่นานก็จะมีคนออกมาประกาศความรับผิดชอบ
แต่กรณีลูกน้องผม แม้จะถูกระเบิดจนแหลกเหลว แต่ตรวจดีเอ็นเอ ก็จะรู้ได้ว่ามาจากสังกัดไหน เพราะถ้าเป็นคนของกองทัพ มีประวัติอย่างละเอียดเก็บไว้อยู่แล้ว ผมคงหนีไม่พ้น
นอกจากนี้ การตระเตรียมระเบิดแบบลูกโซ่ในคาร์บอมบ์ยังยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าอาวุธชนิดอื่นๆ
ในการลอบสังหารผู้นำประเทศที่เคยประสบมา คาร์บอมบ์เป็นวิธีที่ได้ผลน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และส่วนใหญ่ใช้การจุดชนวนโดยการตั้งนาฬิกาปลุก หรือไม่ก็โทรศัพท์มือถือ
3)
สถานที่ถ้าผมยังสติดีอยู่ ผมจะไม่เลือกเป้าหมายใน กทม. เด็ดขาด เพราะรู้ๆ อยู่ว่า กล้องส่องทางไกลเป็นร้อยๆ และเป็นขุมกำลังของผู้นำประเทศ
บังเอิญผู้นำคนนี้เดินทางบ่อย โดยเฉพาะค้างแรมต่างจังหวัดครั้งละหลายๆ วัน
ผมเคยรบในสมรภูมิชายแดนมาแล้วเช่นตาพระยา รู้ทางหนีทีไล่ดีที่สุดในประเทศนี้ ผมคงไม่เลือกก่อการในสถานที่ที่มีการจราจรคับคั่ง เพราะ
ไม่มีทางเลยที่จะไม่ทิ้งเบาะแสให้ตามจับผมคงเสียสติไปแน่ๆ ถ้าอดีตแม่ทัพภูธรและชายแดนอย่างผม เลือกก่อการสังหารครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โดยเลือกสถานที่ที่แออัดยัดเยียดเช่นนี้
4)
มือสังหารผมมีลูกน้องในสายบังคับบัญชามากมายก็จริง แต่ถ้าผมเลือกลูกน้องที่รับราชการอยู่ โอกาสรอดของเขาและของผมคงยาก ไม่ว่างานจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
คนๆ นี้ นอกจากจะต้องเก่ง กล้า และซื่อสัตย์ที่สุดต่องานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยังจะต้อง
ไม่ใช่ลูกน้อง ของผม ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ผมนึกถึงคนสั่งการเรื่องนี้ ที่จะไม่ใช่ผมสั่งการเอง แต่ผมจะมอบหมายให้คนสนิทที่พรางหน้าพรางตาไปว่าจ้างมืออาชีพที่ไว้ใจได้ที่สุด โดยมืออาชีพนั้น รับงานโดยไม่รู้ว่า ใครเป็นคนว่าจ้างจะปลอดภัยกับทุกๆ คน
ผมมีเพื่อนเป็นนายทหาร ทำงานอยู่ภาคใต้ ผมเองก็เคยอยู่มาก่อน หาคนๆ นี้ไม่ได้เชียวหรือจึงต้องใช้ลูกน้องคนสนิท
ถ้าผมหาไม่ได้ ผมเลิกล้มความตั้งใจดีกว่าครับ
จาก..ผม
(ใครคนหนึ่งที่คิดวางแผน)