ความคิดเห็นที่ 51
ต่อครับ
ขั้นตอนของความเพลี่ยงพล้ำในการดำเนินนโยบายการเงิน ลำดับได้ดังนี้
1. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจเลือกที่จะไม่ให้เปิดตลาดทุนเสรี ตั้งแต่พ.ศ. 2533 แต่ธปท.ก็เลือกที่จะให้เปิด การตัดสินใจให้เปิดครั้งนั้น นับว่าเป็นผลพวงของแนวนโยบายที่เป็นมาโดยต่อเนื่องเป็นระยะยาวนาน และสะท้อนความต้องการของฝ่ายการเมืองในขณะนั้นอย่างเต็มที่ เมื่อนายวิจิตรเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ ก็สานต่อนโยบายนั้นอย่างขะมักเขม้นถึงขั้นเปิดวิเทศธนกิจ ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย
2.เมื่อธปท.เลือกที่จะเปิดตลาดเงินทุนให้เสรีแล้ว ธปท.ก็ควรเลือกที่จะให้อัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นมากกว่านี้ แต่ธปท.ก็เลือกที่จะรักษาช่วง (band) อัตราแลกเปลี่ยนที่แคบมากไว้ จะมาเริ่มพิจารณาก็ในเดือนเมษายน 2539 ซึ่งสายไปเสียแล้ว เพราะหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก็รุนแรง จนทำให้ธปท. กลัวที่จะดำเนินการใดๆ อีกต่อไป เพราะเกรงว่าจะส่งสัญญาณผิดให้กับตลาด
3.เมื่อธปท.เลือกที่จะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่แคบไว้เช่นนั้น ก็หมายความว่า แนวนโยบายทางด้านอุปสงค์รวม จะต้องมีความระมัดระวัง (CONSERVATIVE) เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในระยะตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา นโยบายการคลังเป็นเรื่องของรัฐบาลและรัฐสภาก็จริงอยู่ แต่ธปท. ก็มิได้ผลักดันอย่างจริงจังในรัฐบาลมีนโยบายเกินดุล ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงนั้น ส่วนนโยบายการเงินที่ดึงปริมาณเงินในประเทศก็ไร้ผล เพราะถูกลบล้างด้วยเงิน***้จากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
4. เมื่อธปท.ไม่สามารถใช้นโยบายการคลัง หรือการเงินได้ ก็ควรจะใช้มาตรการไม่ให้เงิน***้ไหลเข้าประเทศอย่างมากมายเสียตั้งแต่ต้น แต่มาตรการที่ประกาศเป็นมาตรการที่อ่อน และนำมาใช้เมื่อสายไปแล้ว คือหลังจากที่ไทยมีหนี้สินระยะสั้นในระดับสูงมากเกินไปเสียแ
จากคุณ : sam18 - [ 25 ส.ค. 49 17:20:31 ]
ความคิดเห็นที่ 52
ต่อ ครับ
ข้างบนเป็นบทสรุปของ สปร.เกี่ยวกับสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเป้นปัญหาที่เกิดจากการเปิดเสรีทางการเงินแบบผิดๆ ต่อไปนี้คือเหตุผล
การเงินระหว่างประเทศมีหลักการพื้นฐานที่เรียกว่า หลักการที่เข้ากันไม่ได้ของ 3 สิ่ง (Incompatibility of Trinity) คือ
1 . การใช้นโยบายการเงินที่เป็นของตัวเอง ( Independence Monetary Policy)
2. การคงอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ( Fixed Exchange Rate )
3. การเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี ( Freedom of Capital Movement )
ความหมายคือ ประเทศหนึ่งประเทศใดไม่สามารถจะทำทั้งสามสิ่งนี้ได้พร้อม ๆ กัน
เช่น ถ้าเราเลือกใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ( Fixed Exchange Rate )
และใช้นโยบายการเงินที่เป็นของตัวเอง ( Independent Monetary policy )
เราก็จะไม่สามารถปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรี ( Freedom of Capital Movement )ได้
เหมือนครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยใช้ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
และประเทศจีน มาเลเซีย กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน
เหตุผลง่ายๆคือการใช้เงินสกุลของตนเอง แต่ไปผูกติดกับเงินสกุลอื่น
ย่อมก่อให้เกิดค่าเงินที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง
เมื่อค่าเงินเพี้ยนจากความเป็นจริงมากๆ
ก็จะเปิดโอกาสให้สามารถทำกำไรจากค่าเงินได้
และยิ่งเมื่อมีองค์ประกอบที่สามเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน
คือเปิดเสรีให้เงินทุนสามารถไหลเข้าออกได้โดยไม่มีการควบคุม
การโจมตีค่าเงินก็สามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย
จากคุณ : sam18 - [ 25 ส.ค. 49 17:21:53 ]
ความคิดเห็นที่ 53
ต่ออีก ครับ
ตัวอย่างของการที่มีองค์ประกอบเพียงสองสิ่ง(ไม่ครบสาม)ที่เห็นง่ายๆคือ
ของไทยช่วงก่อนเปิดเสรี ที่เรามีเงินสกุลของตนเองและผูกติดค่าเงินไว้กับดอลล่า
แต่ไม่ได้เปิดเสรีทางการเงิน เราปลอดภัยและรอดพ้นจากการโจมตีมาได้
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศมาเลเซีย
มาเลเซียก็ตกเป็นเป้าการโจมตีค่าเงินเช่นเดียวกับไทย แต่มาเลเซียมีผู้นำที่ฉลาดและกล้าหาญ
โดยกล้าออกกฎหมายควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน
ทำให้มาเลเซียสามารถฝ่ามรสุมทางการเงินในช่วงเวลานั้นมาได้โดยไม่เสียหาย
.........เมื่อรัฐบาลสมัยนั้นจะเปิด BIBF ก็ไม่ได้คำนึงถึงหลักสากลว่าควรจะปล่อยค่าเงินลอยตัว
.....ไม่เช่นนั้นต่อให้เทวดามาบริหารก็พังอยู่ดี......
ทำตัวเหมือนพวกทันยุค รู้มาก แต่ไม่รู้จริงหรอกครับ
ข้างบนนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมการเปิด BIBF จึงมีส่วนสำคัญในการให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่โดยหลักการแล้ว ทุกอย่างจะต้องก่อตัวมาก่อน จนสถานะการณ์สุกงอม จึงจะเกิดปัญหาขึ้นได้
การก่อตัวของปํญหาในที่นี้เริ่มจาก
1. การขาดดุลย์การค้ามานับสิบปีตั้งแต่ช่วงรัตตะบานน้าชาติเป็นต้นมา ทั้งที่การส่งออกในช่วงนั้นบูมอย่างมาก แต่แท้จริงแล้วตัวเลขการนำเข้ากลับสูงกว่า เมื่อขาดดุลย์การค้า ค่าเงินมันก็น่าที่จะมีค่าน้อยลง แต่เนื่องจากเราเอาเงินบาทไปผูกติดกับ ยูเอสดี มันก็เลยคงที่อยู่ที่ประมาณ 25 บาท ... แต่ก็เป็นค่าที่ผิดจากฟามเป็นจริง
2. การเปิดเสรีทางการเงินแบบม่ายมีการควบคุมดูแลอย่างไกล้ชิด ทำให้มีการ***้เงินนอกเข้ามามากมาย ส่วนใหญ่เพื่อเก็งกำไรใน อสังหาฯ และตลาดทุน แต่ม่ายใช่การลงทุนในภาคการผลิต ........ ที่สำคัญต้องเข้าใจก่อนว่า การไหลของเงินนทุนนั้น มันมีธุรกรรมได้สามแบบ คือ IN-OUT, OUT-IN, และ OUT-OUT แต่หลังจากการเปผิดเสรีแล้ว ธุรกรรมแทบจะทั้งหมดมันเป้นแบบ OUT-In อย่างเดียวเท่านั้น นั่นหมายฟามว่า ***้เข้ามาลูกเดียว มันก็เลยม่ายสมดุลย์กัน ......... อีกส่วนก็คือ เราม่ายได้คำนึงถึงกฏเกณท์ (Incompatibility of Trinity) ตาม คคห. 10
3. การล้มลงของธนาคารกรุงเทพฯพณิชยการจากการดำเนินการอย่างม่ายโปร่งใส ทำให้เกิดฟามตื่นตระหนกในหมู่เจ้าหนี้ทั้งหลาย และเรื่มระแวงสงสัยในสถาบันการเงินต่างๆของไทย
4. เมื่อค่าเงินผิดเพี้ยนจากฟามเป็นจริงมากๆ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้นักเก็งกำไรค่าเงินสามารถเข้ามาโจมตีเพื่อหากำไรจากค่าเงินได้ และเผอิญ ธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงนั้นเอาเงินของประเทศเข้าทำการต่อสู้อย่างไร้สติ จนหมดหน้าตัก
5. และเมื่อเจ้าหนี้ทราบข่าวนี้ก็ทำการทวงหนี้คืนในทันที ในจำนวนหนี้ทั้งหมดในระยะนั้น ส่วนที่เป็นหนี้ระยะสั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ม่ายสามารถชำระคืนให้เจ้าหนี้ได้ทัน
รวมๆแล้วนี่คือสาเหตุของวิกฤติในครั้งนั้น
จากคุณ : sam18 - [ 25 ส.ค. 49 17:23:58 ]
ความคิดเห็นที่ 54
ต่ออีก ครับ
การล้มลงของเศรษฐกิจเกิดขึ้นในช่วงของรัฐบาลพลเอกชวลิตจริง แต่สาเหตุมันได้ก่อตัวมาจากหลายๆรัตตะบานก่อนหน้านั้น และมาสุกงอมเอาในช่วงของชวลิต การ***้เงินดูได้การไปลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ฉบับที่หนึ่งเซ็นในชาวของรัตตะบานชวลิต แต่ส่วนที่เหลือ ตั้งแต่ฉบับที่ 2-8 เป็นของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ต ที่รัฐบาลชุดนั้นประเคนให้ไปตามนิสัยของลูกที่ดีพึงจะปฏิบัติคต่อคุณพ่อไอเอ็มเอฟ ทำให้ประเทศไทยไร้ซึ้งศักดิ์ศรี และเกียรติศักดิ์เปรียบประดุจเหมือนการตกเป็นทาสของไอเอ็มเอฟ โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของสื่อมวลชนและประชาชน
ฟามเสียหายจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไปต่อสู้ค่าเงินที่เสียหายไป 33,000 ล้านยูเอสดี แต่ฟามผิดพลาดในการแก้ไขปัญหสเศรษฐกิจโดนรัตตะบาน ปชป.นั้นกลับมากฝ่ามากมายนัก.
เรื่องการ***้เข้ามาเป็นเงินทุนสำรองนั้นก็จริงครับ ส่วนหนึ่งนำไปเป็นเงินกองทุนสำรอง เพราะหากกองทุนบ่จี๊ มันก็ม่ายมีเครดิตในสายตาของชาวโลก ค่าเงินบาทก็ม่ายเป็นที่ยอมรับ ......แต่อีกส่วนก็ต้องไปใช้ช่วยหนุนโครงการณ์แก้ไขปัญหาเศณษฐกิจต่างๆ
กลับมาที่กล่าวค้างไว้ ...... การสูญเสียจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนั้น นอกจากการสูญเสียในการต่อสู้กับค่าเงินแล้ว การเสียหายจากการดำเนินนโยบายในการแก้่ปัญหาต่างๆนั้นกลับมากฝ่าอีก ... ม่ายว่าจะเป็น
1. .การปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งเป็นการถาวรโดยไม่มีมาตรการใดๆ รองรับ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายทางการเงินอย่างใหญ่หลวง และกระทบไปถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง นักธุรกิจชาวไทยต้องล้มระเนนระนาด และล้มหายตายจากไปบนถนนสายธุรกิจอย่างไม่มีวันจะหวนกลับคืนมาได้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยออกมารับผิดชอบประการใดหรือไม่
2.มาตรการ 14 สิงหาคมที่รัฐบาลชุดที่แล้วใช้เงินภาษีของประชาชนไปดำเนินมาตรการอุดหนุนพยุงสถานภาพของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เงินที่ใช้ในมาตรการดังกล่าวนี้ ถูก ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ โดยไม่เกิดผลใดๆ ต่อประชาชน อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดที่แล้ว ในอดีตเคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) มีผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรหรือเปล่า? ช่วยตอบอย่างเสียงดังฟังชัดให้ประชาชนทั้งประเทศได้ยินด้วย
3.รัฐบาลชุดที่แล้ว ได้ใช้มาตรการไม่ให้เงินไหลออกไปนอกประเทศด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์อย่างสูงลิบลิ่ว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงิน***้ในธนาคารพาณิชย์บางแห่งสูงกว่าร้อยละ 20 เป็นเหตุให้ภาคผู้ประกอบการที่แท้จริง ต้องประสบกับความล้มละลายไปโดยอัตโนมัติ
ในที่นี้ขอยกเพียงสามประการนี้มากล่าวถึงเท่านั้น
จากคุณ : sam18 - [ 25 ส.ค. 49 17:25:29 ]
ความคิดเห็นที่ 55
ตอนจบครับ
ขอลงลึกในรายละเอียดในเรื่องการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง เพราะส่วนนี้ทำให้เเราเสียหายไปประมาณ 600,000 ล้านบาทจาการปิดสถาบันการเงินและนำสินทรัพย์ของสถาบันเหล่านี้ออกขายในราคาถูกๆ
เรื่องก็คือ รัฐบาลชวลิตสั่งปิดสถาบันการเงิน 58 แห่งเป็นการชั่วคราวเมื่อเดือนตุลาคม 2540 เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ สำหรับการการปฎิรูปและฟื้นฟูสถาบันการเงินเหล่านั้นเพื่อให้เธถรกรรมต่างๆของธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ โดยตั้ง ปรส.ขึ้นมาเพื่อดำเนินการในครั้งนั้น..........เหมือนหมอที่วินิจฉัยโรคก่อนการลงมือรักษา
ครั้นรัฐบาลชวนเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน 2540 ก็ได้สั่งปิดถาวร 56 ใน 58 สถาบันการเงินเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1997
ในช่วงก่อนการประกาศปิดสถาบันการเงินแบบถาวรนั้น
ในช่วงต้นๆ สื่อต่างๆก็คาดเดาว่าอย่างเก่งก็คงปิดสักสิบกว่าราย
แล้วก็ลดลงมาเป็นคาดว่าจะมีสถาบันการเงินรอดได้ 16 แห่งในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนการประกาศ
เอาเข้าจริง สถาบันการเงินของไทยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย 56 ใน 58 แห่ง
อันนี้ในสายตาของรัฐบาลขณะนั้น
แต่ในสายตาบุคคลทั่วไปต่างงง รวมถึงตัวผมด้วย
หาเหตุผลไม่ได้ว่าที่ทำกันเช่นนี้มันเป็นการฟิ้นฟูหรือทำลายกันแน่
จนเมื่อเห็นวิธีการประมูลทรัพย์สินให้ต่างชาติในราคาถูกๆแล้ว ผมจึงได้ถึงบางอ้อว่า
กลุ่มนี้มันวางแผนไว้อย่างแยบยลจริงๆ
ล่าสุด ผลสอบ ศปร. 3 ออกมาแล้ว และได้ชี้ให้เห้นถึงฟามไม่ชอบมาพากลและความผิดพลาดของปรส.ตั้งแต่ต้นจนปลาย (ลองหาอ่านในหนังสือ เปลือยธารินทร์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผู้จัดการ ที่เดี๋ยวนี้กลายเป็น "หนังสือหายาก" ไปแล้ว)
ขอสรุปสั้น ๆ ด้วยภาษาชาวบ้านดังนี้
1. รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตั้งปรส.ขึ้นมาให้ทำหน้าที่ปฏิรูปสถาบันการเงินให้มีความแข็งแรงและฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบเพื่อเป็นกำลังทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป จึงให้หยุดกิจการ 58 สถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว แต่ครั้นเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นโยบายก็เปลี่ยนแปลงไปหมด มีการสั่งปิดตาย 56 สถาบันการเงินทันที และเปิดใหม่เพียง 2 แห่ง เสมือนเป็นการเริ่มต้นของแผนร้ายที่ถูกเรียกขานว่า ปล้นชาติ และ ขายชาติ โดยไม่ดำเนินการตามวัตถุประสงค์เดิม
2. เมื่อปิดสถาบันการเงินแล้วโอนทรัพย์สินและลูกหนี้ประมาณ 8 แสนล้านบาทไปให้ปรส.บริหารจัดการ โดยรัฐบาลรับใช้หนี้เงินฝากแก่ประชาชน ดังนั้นการบริหารจัดการจึงต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ คือจะต้องจัดการให้ได้รับผลตอบแทนที่ทัดเทียมกัน มิฉะนั้นรัฐบาลก็จะเสียหาย ซึ่งก็คือประชาชนเสียหาย
3. ผู้บริหารปรส. และธปท. จ้างฝรั่งมาเป็นที่ปรึกษา และกำหนดให้ขายทรัพย์สินทั้ง 8 แสนล้านบาทโดยเร็ว แต่ไม่ให้ลูกหนี้เดิมมีส่วนซื้อ และจะขายเป็นกอง ๆ ละประมาณหมื่นล้านบาท เท่ากับเป็นการเปิดทางให้เฉพาะต่างชาติซึ่งเป็นพรรคพวกเท่านั้น
4. ที่ปรึกษาฝรั่งเข้ามาตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่เป็นลูกหนี้ทั้งหมด รวบรวมเก็บข้อมูลทั้งหมด แล้วจัดกองลูกหนี้เองทั้งหมด จากนั้นก็กำหนดเงื่อนไขการขาย คือไม่ให้ลูกหนี้เข้าประมูล และเมื่อขายกองละหมื่นล้านบาทขึ้นไปก็เท่ากับกีดกันผู้ประมูลทั่วไปให้เหลือน้อยลง แต่คนที่รู้ไส้รู้พุงก็คือที่ปรึกษาฝรั่งนั้น
5. เมื่อประกาศประมูลก็มีผู้แสดงความสนใจหลายราย ต่อมามีการเปิดให้มีการตรวจกองลูกหนี้เพื่อจะได้รู้ฐานะและจะเสนอราคาได้ถูกต้อง หลังจากเปิดให้ตรวจแล้วมีการสลับกองลูกหนี้ ย้ายลูกหนี้กองนั้นไปไว้กองโน้น ทำให้ผู้สนใจที่มาตรวจดูกองลูกหนี้ไม่แน่ใจว่ากองหนี้ที่ตั้งใจจะประมูลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จึงทำให้มีผู้สละสิทธิ์ไม่เข้าประมูลหลายราย เหลือแต่พรรคพวกในขบวนการเดียวกันเท่านั้น
6. ในจำนวนผู้สนใจซื้อหนี้ มีบริษัทที่ที่ปรึกษาฝรั่งถือหุ้น 99.99 % รวมอยู่ด้วย และชนะการประมูลเพราะรู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว
ทรัพย์สิน 8 แสนล้านบาทจึงขาย***เพียง 2 แสนล้านบาท
เท่ากับชาติถูกปล้นไป 6 แสนล้านบาท !
เป็นมหาวีรกรรมในการปล้นชาติระดับโลกที่ต้องจารึกไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
7. พอชนะประมูลแล้วยังคิดโกงภาษีต่อไป โดยยกเว้นภาษีให้ แต่ต้องตั้งเป็นกองทุน ดังนั้นเมื่อถึงวันเซ็นสัญญา ผู้ชนะประมูลไม่ได้เซ็นสัญญา คงมีแต่ปรส.เซ็นชื่อข้างเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการทำสัญญาแบบไหน แล้วมีการโอนเงินเข้ามาชำระเงินงวดแรก หลังจากนั้นอีกหลายเดือนเมื่อมีการตั้งกองทุนเสร็จ ก็เอากองทุนเข้ามาทำสัญญา เป็นการโกงภาษีอีกต่อหนึ่ง
ความเสียหาย 6 แสนล้านบาท คนไทยทั้งประเทศต้องรับภาระอยู่จนถึงทุกวันนี้ และต้องรับผิดชอบต่อไปอีกนานหลายปี
ฟามจริงยังมีวีรกรรมของ ปรส.ในยุคของรัตตบาะที่แล้วอีกหลายเรื่อง เช่นเรื่องการขายสัญญา ลี๊สซิ่งของสถาบันการเงินให้กับ จีอี แคปปิตอลในราคาถูกๆ แต่หัวใจก็คือ จีอีแค๊ปปิตอลนั้นมีประธานชื่อว่า อานัน ปัญญารชุน พอมองภาพออกนะครับ ว่าขาประจำในเคสนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร................ ไว้โอกาสหน้าถามมาแล้วจะวิสัชนาให้ฟังครับ
การบริหารจัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในส่วนของการบริหารจัดการกองทุนฟื้นฟูฯ นั้น ศปร. เห็นว่าบทบาทของกองทุนฟื้นฟูฯผิดไปจากเจตนารมณ์ของกฏหมาย เนื่องจากไม่มีการแยกแยะระหว่างปัญหาสภาพคล่องและปัญหาฐานะการดำเนินงานของสถาบันการเงิน สิ่งนี้เป็นผลให้กองทุนละเลยหน้าที่ในการฟื้นฟูกิจการด้วยการเพิ่มทุนให้เพียงพอ และไม่เผชิญกับปัญหาหนี้เสียอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งเมื่อให้กู้เงินไปก็ไม่มีการติดตามดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงินในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ และแม้กระทั่งเมื่อมีการปิดสถาบันการเงินไปแล้ว กองทุนฟื้นฟูฯ ก็ไม่มีบทบาทในการเป็นผู้นำในการหารือกับเจ้าหนี้เพื่อฟื้นฟูกิจการแต่อย่างใด ในบางครั้งกลับไม่ยอมร่วมเจรจากับเจ้าหนี้อื่นเพื่อแก้ปัญา อันก่อให้เกิดผลเสียกับทั้งกองทุนฟื้นฟูฯ เจ้าหนี้ และสถาบันการเงินอื่นในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ในส่วนโครงสร้างของกองทุนฟื้นฟูฯ ในปัจจุบันก็มีปัญหาเนื่องจากขาดความอิสระการตรวจสอบในการประเมินฐานะของสถาบันการเงินก็ต้องอาศัยฝ่ายกำกับและตรวจสอบของ ธปท. ดำเนินการต่างๆ คณะกรรมการจัดการได้ก่อนทำให้ยาที่จะมีความเห็นทัดทานนโยบาย ธปท.ได้ ดังนี้จึงอาจสรุปได้ว่า ในช่วงวิกฤตการณ์ที่ผ่านมากองทุนฟื้นฟูฯ เป็นเพียงหน่วยงานที่ทำหน้าที่หาเงินและจ่ายเงินตามนโยบายของทางการเท่านั้น แต่ไม่มีส่วนร่วมในการประเมินและร่วมแก้ปัญหาแต่อย่างใด
ในส่วนการแก้ปัญหาสถาบันการเงินนี้ ศปร.เห็นว่า ธปท. ในฐานะผู้กำกับสถาบันการเงินและกองทุนฟื้นฟูฯ นั้นขาดวิสัยทัศน์ที่ชัด่เจนในการแก้ปัญหา และไม่มีการเตรียมแผนงานเพื่อรองรับในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ขึ้น เป็นผลให้มาตรการและแนวทางที่ดำเนินการไปมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง อันนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อ ธปท. เมื่อประกอบกับการขาดความเชื่อมั่นในสถาบันการเงิน จึงเป็นเหตุนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่ผ่านมา
3. ข้อเสนอแนะของ ศปร. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบการเงิน
ในการบริหารจัดการระบบการเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ศปร. มีความเห็นว่าควรมีการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารการเงินให้เหมาะสม เพื่อที่จะสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความอิสระ และมีบทบาทความรับผิดชอบที่ชัดเจน รวมถึงมีการถ่วงดุลที่เหมาะสม นอกจากนี้ จะต้องมีการให้ความสำคัญกับขั้นตอนและกระบวนการคัดเลือกผู้ที่จะเป็นผู้บริหาร รวมถึงคณะกรรมการขององค์กรนั้นๆ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลโดยตรงกับการบริหารงานภายใน และวัฒนธรรมขององค์กร
ในส่วนของโครงสร้างนั้น ศปร. เห็นว่าควรมีการแยกธนาคารกลางและการกำกับตรวจสอบดูแลสถาบันการเงินออกจากกัน ซึ่งจะเป็นผลดีในการช่วยลดการขัดแย้งด้านนโยบายและเป็นการง่ายต่อการสรรหาบุคลากรในระดับบริหาร ทั้งนี้เนื่องจากการหาบุคคลที่มีความสามารถทำงานทั้งสองด้านให้ดีเด่นคงทำได้ยาก อีกทั้งการแยกความรับผิดชอบที่เด่นชัดทำให้การประเมินผลทำได้ง่าย ในส่วนของกองทุนฟื้นฟูฯ นั้น ศปร.เห็นว่าควรมีการยกเลิกโดยเร็วโดยเฉพาะการรับประกันโดยไม่มีขอบเขต โดยแปลงมาเป็นส่วนงานทางด้านประกันเงินฝาก และรวมเข้ากับส่วนงานด้านกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ทั้งนี้เนื่องจากสถาบันประกันเงินฝาในฐานะผู้รับประกัน จำเป็นต้องมีการตรวจสอบฐานะการเงินของสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ในสภาพที่เหมาะสม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของสถาบันประกันเงินฝาก ดังนั้นการรวม 2 ส่วนงานนี้เข้าด้วยกัน จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม
สำหรับทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ศปร. เห้นว่าควรยกเลิกเนื่องจากการทำงานซ้ำซ้อนและหมดความจำเป็น
ในส่วนของงานให้บริการต่อบุคคลอื่นที่อยู่ภายใต้กฏหมายดังเช่นงานกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินนั้น ควรมีการกำหนดเป็นกฏระเบียบ โดยกำหนดระยะเวลาการทำงานขององค์กรอย่างชัดเจน นอกจากนี้แล้วควรมีการกำหนดให้ต้องรายงานสรุปเรื่องที่ได้ดำเนินการไปแล้วต่อประชาชนด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความระมัดระวังมากขึ้นการปฏิบัติงาน
นอกจากนี้ ศปร. เห็นว่าควรมีประชุมร่วมกันกันระหว่างผู้บริหารสถาบันทุกแห่งที่เกี่ยวข้องกับระบบการเงินของประเทศเป็นประจำ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการประสานงานและมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างหน่วยงานเพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงนโยบายที่ดีที่สุดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม
ในส่วนของ ธปท. นั้น ศปร. เห็นว่าควรมีคณะกรรมการ 2 คณะ ร่วมกันบริหาร กล่าวคือ คณะกรรมการบริหารทำหน้าที่ดูแลการบริหารและการเงินภายใน และคณะกรรมการนโยบายการเงินเป็นผู้พิจารณาตัดสินในนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการกำหนดมาตรการทางการเงิน ทั้งนี้ในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการเงินนั้นให้มีบุคคลภายนอกร่วมเป็นกรรมการจำนวนหนึ่ง สำหรับตำแหน่งผู้ว่าการนั้น ศปร. เห็นว่าควรมีการำหนดวาระไว้ รวมถึงวิธีการคัดเลือกและแต่งตั้งผู้ว่าการ ทั้งนี้การแต่งตั้งและคัดเลือกให้พิจารณาโดยบุคคลหลายฝ่าย เพื่อให้ผู้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและมีอิสระในการดำเนินงาน
จากคุณ : sam18 - [ 25 ส.ค. 49 17:26:52 ]
ความคิดเห็นที่ 56
Sam 18 กระทู้บน
ช่วยบอกแหล่งที่มาของ่ข้อมูลนิด ครับเพื่อความกระจ่าง
จากคุณ : backsubport - [ 25 ส.ค. 49 17:30:01 ]
ความคิดเห็นที่ 57
หนังสือ เปลือยธารินทร์ และผลการสอบ ปาส ครับ
จากคุณ : sam18 - [ 25 ส.ค. 49 17:34:37 ]
ความคิดเห็นที่ 58
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4653494/P4653494.htmlE B A
จากคุณ : Extraordinary Brain Activities (Arty_belgium) - [ 25 ส.ค. 49 17:47:36 ]
ความคิดเห็นที่ 59
ราคายางตกฮวบ ยาบ้าเกลื่อนเมือง และอะไรอีกหลายๆอย่างที่เยอะจนไม่รู้จะว่ายังไง
จากคุณ : เทเลทับขี้ - [ 25 ส.ค. 49 18:10:09 ]
ความคิดเห็นที่ 60
ปากกระเทยครับ
จากคุณ : Vincent Van Gogh - [ 25 ส.ค. 49 18:26:32 ]
ความคิดเห็นที่ 61
1. ด่า ทรท ว่าซื้อเสียง ประชาธิปัตย์ไม่เคยซื้อเสียง..ขอโทษนะครับ ผมเห็นกับตา รับมากับมือ
2. ผมยึดมั่นระบบรัฐสภา..จริงอยู่ คุณชวนอาจจะไม่เห็นด้วยกับการบอยคอตในตอนแรก
แต่แล้วก็ตามน้ำ ไป ๆ มา ๆ ก็ทวนน้ำ
และก็ฉกฉวยโอกาสไปเป็นของตัวเองบนกองเลือดของประชาชน สมัยพฤษภาทมิฬ
3. กลุ่มงูเห่า..เกิดขึ้นเพราะใคร ชวนไม่เกี่ยว คนอื่นทำ..
แล้วนั่งเสวยสุขเป็นนายกอย่างหน้าซื่อตาใสอยู่ได้
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 49 18:34:49
จากคุณ : นั่งนั่งนอนนอน - [ 25 ส.ค. 49 18:31:35 ]
ความคิดเห็นที่ 62
ไปแล้ว มันไปแล้ว
ขี้เสร็จเช็ดตูดแล้วออกไปอย่างเงียบ ๆ
นี่หลอกให้เรามาด่าลมด่าแล้งหรือไงเนี่ย
รู้ทั้งรู้ยังกดกันซะหมดแม๊กเลย
จากคุณ : Steeringwheel Father - [ 25 ส.ค. 49 18:42:14 ]
ความคิดเห็นที่ 63
ข้อมูลเยอะอย่างนี้ป้าใบไม้ไม่อ่านหรอกครับ ตาลาย
เท่าที่ดูป้าเล่นตั้งกระทู้แล้วหายไปเลยแฮะ
จากคุณ : ตอบแทน ฯ - [ 25 ส.ค. 49 18:50:55 ]
ความคิดเห็นที่ 64
แก่จนหัวหงอกแล้ว ยังไม่รู้จักกาละเทศะ
เป็นนายกฯมาสองสมัยแก่จะเข้าโลงอยู่แล้ว
ยังไม่สำนึก พูดจากแบ่งแยกแผ่นดินตลอด
จากคุณ : Angel ~ นรก - [ 25 ส.ค. 49 19:10:44 ]
ความคิดเห็นที่ 65
ไปแล้วครับ ไปตั้งกระทู้ใหม่แล้ว ตามระเบียบ
อ้อ ความเห้นข้างบนครับ
คุณ จขกท เป็นคนเดียวกับคุณ คำพร่ำเพ้อของหน่อไม้ ครับ (ชื่อนี้มีคนตั้งให้เขาในบอร์ดนี้แหละครับ)
จากคุณ : SPP Crew - [ 25 ส.ค. 49 19:36:10 ]
ความคิดเห็นที่ 66
อดีตก้คืออดีตค่ะ ไปตอกโลงเหอะ
ตอนนี้เราพูดถึงปัจจุบันและอนาคตแล้วคะ
คงไม่มีใครอยากคิดถึงอดีตแล้วค่ะ .................... ไปชิ๊วๆๆๆ
จากคุณ : PaNok@Philharmonic - [ 25 ส.ค. 49 19:55:35 ]
ความคิดเห็นที่ 67
ใบไม้เน่าอีกแล้วววว..5555
เพราะยังไม่ได้รับรายงานจากชวน..เหอ เหอ เหอ
จากคุณ : พิงค์นคร49 (พิงค์นคร49) - [ 25 ส.ค. 49 20:06:08 ]
ความคิดเห็นที่ 68
เกลียดเพราะมันชอบยกภาคมาอ้าง
เกลียดเพราะ เจ้าของกระทู้ชอบเลีย
เกลียดเพราะมันเป็น ปชป.
จากคุณ : 48 (ที่รองรีด) - [ 25 ส.ค. 49 20:14:21 ]
ความคิดเห็นที่ 69
เธอไปแล้ว โดนยึดอมยิ้มไปแล้ว เดื๋ยวคงเปลื่ยนชื่อเข้ามาใหม่ ตามเคย
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 49 20:23:04
จากคุณ : แฟนประจำ (ZaiZai_Ai_Ni) - [ 25 ส.ค. 49 20:22:39 ]
ความคิดเห็นที่ 70
ผมไม่รู้..........
ผมรู้แต่ว่า............
ถ้าผมด่า.....เอ้ย.........วิจารณ์ทีไร.......
กระทู้โดนลบทุกที........
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
จากคุณ : ฮั่นแน่...เชื่อผมเหรอ - [ 25 ส.ค. 49 21:36:30 ]
ความคิดเห็นที่ 71
เอ ไม่ใช่ บอใบไม้นั่นมั้ง เพราะเห็นเธอชื่นชมทักษิณนะ แต่คนนี้ชอบนายชวน คงเชื่องช้าเหมือนกัน
จากคุณ : padivarutda - [ 25 ส.ค. 49 23:41:48