'ป๋าเปรม'ต่อจิ๊กซอว์ 'แม่ทัพ' คลี่คลายวิกฤติชาติ
ถอดรหัส พล.อ.เปรม ในสถานการณ์การเมืองวิกฤติ-สถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ระอุ เลือกใช้วิธีปลูกฝังจิตสำนึกปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ปลุกแม่ทัพภาคที่ 1-4 สกัดจุดเผชิญหน้าจนคลี่คลายวิกฤติ
น่าจับตามองยิ่งสำหรับความเคลื่อนไหวของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่พยายามคลี่คลายวิกฤติประเทศ ทั้งในด้านการเมืองและด้านความมั่นคง
แม้ว่า สถานะที่เป็นอยู่ การพูด หรือแสดงออกในบางเรื่องบางอย่างถูกจำกัดให้อยู่ในวงที่ "เหมาะสม" และเป็นอุปสรรคในการ "สื่อสาร" แต่นั่นก็ไม่ได้เรียกว่า "อุปสรรค" แม้แต่น้อย
เปิดฉากที่กองทัพภาคที่ 2 พล.อ.เปรม ถอดชุดพระราชทานที่สวมใส่ จนเรียกได้ว่าเป็นโลโก้ประจำตัวมานานนับสิบๆ ปี สวมเครื่องแบบทหารม้า หมวกเบเร่ต์ดำ นั่นคือปรากฏการณ์แรก
การเข้าเยี่ยมหน่วยทหารที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.เปรม เคยเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วย ไม่เพียงสร้างขวัญกำลังใจให้แก่นายทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 2 หากแต่จังหวะที่เดินทางไปของ พล.อ.เปรม นั้น เป็นจังหวะที่ถ้อยแถลงถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ดังกระหึ่ม
ดังไปถึงกองทัพภาคที่ 3 ที่นายทหารระดับแม่ทัพ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 แอ่นอกออกมาลุยไล่ล้างคาวการเมือง สกัดการเผชิญหน้าของคนไทยด้วยตนเอง
นอกจากนี้ การออกเดินสายพบปะทั้งการเมืองท้องถิ่น นักศึกษา นักวิชาการ เพื่อชี้แจงให้ทุกคนมั่นใจว่า กองทัพจะคุ้มครองประชาชน ต่อสู้กับการเมืองเลว
สถานการณ์ขณะนั้นต้องเรียกว่า "สับสน" และอาจเกิดความวุ่นวายได้ทุกเมื่อ
แล้วก็ถึงคิว พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งไม่ได้พูดจาอะไรกับใครมากนัก โดยเฉพาะเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ก็เซ็นคำสั่งย้ายนายทหารระดับ ผบ.พัน ซึ่งเป็นนายทหารที่คุมกำลัง และในอดีตเมื่อคำสั่งปฏิวัติออกมา ก็เป็นนายทหารที่ส่งให้รถถังเคลื่อน
คำสั่งย้าย ผบ.พัน ที่คุมกำลังในกรุงเทพฯ จึงเท่ากับถอดชนวนปฏิวัติที่กรุ่นมาตลอดในช่วงนั้น
บทบาทของ พล.อ.เปรม ก็ไม่ได้หยุดยั้งลงเพียงแค่นั้น การเดินสายบรรยายปลุกจิตสำนึกนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า นั่นก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้มีการแปลความหมายว่า พูดถึงการเมืองโดยตรง
พล.อ.เปรม เปรียบเทียบว่า ทหารก็เหมือนม้า รัฐบาลก็เหมือนจ๊อกกี้ ที่มาแล้วก็ไป แต่ม้าก็ยังเป็นม้า ส่วนจ๊อกกี้นั้น ก็มีทั้งดีและไม่ดี
ที่สำคัญ พล.อ.เปรม สอนว่า อย่ายกมือไหว้คนที่ไม่มีคุณธรรม จริยธรรม
การบรรยายของ พล.อ.เปรม ครั้งนั้น ได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงจาก พงศ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำคนสำคัญของพรรคไทยรักไทย ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เองถึงกับออกปากว่า พงศ์เทพ คือ "เพื่อนตาย" มาแล้วเมื่อครั้งยอมเว้นวรรคตำแหน่งรัฐมนตรี
ถ้อยคำที่ยอกย้อนและบาดลึกประสานักกฎหมายของพงศ์เทพ อาจจะมีคนในพรรคไทยรักไทยยินดี แต่ปฏิกิริยาจากภายนอกนั้น ภาพลักษณ์พงศ์เทพถูกลดต่ำลงอย่างรุนแรง
แม้กระทั่ง บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ยังออกปากแสดงความผิดหวัง ด้วยเพราะรู้จักมักคุ้นกับพ่อของพงศ์เทพเป็นอย่างดี
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ พล.อ.เปรม หยุดยั้ง ที่จะปลุกสำนึกรักชาติและปกป้องสถาบันกษัตริย์ เดินสายไปปลูกฝังจิตสำนึกให้แก่นักเรียนโรงเรียนนายเรือ เป็นคิวถัดมา
การเดินทางไปภาคใต้ในช่วงเดียวกันกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดภาคเหนือ คือ ภารกิจล่าสุดของ พล.อ.เปรม
5 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และ สงขลา ร่วมหารือกับผู้นำศาสนาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ที่รักษาการนายกรัฐมนตรีแสดงท่าทีราวกับว่า จะปล่อยให้เหตุการณ์คลี่คลายด้วยตัวเอง หรือไม่เช่นนั้นก็มอบหมายให้คนอื่นรับผิดชอบแทน
3 มูลนิธิที่ พล.อ.เปรม นำลงไปภายใต้โครงการ "สานใจไทยสู้ใจใต้" นั้นดูเหมือนว่า จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
1.มูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นประธาน
2.มูลนิธิรักเมืองไทย ที่มี พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์
เป็นประธาน
และ 3.มูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นประธาน
"ผมอยากจะเห็นสิ่งเหล่านี้ อีก 12 วันอายุจะครบ 86 ปี จึงอยากจะเห็นความสงบสุขก่อนตาย ถ้าทุกคนรักผมและรักประเทศชาติ จะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา อะไรที่เห็นไม่ตรงกันก็จะต้องหันกลับมาพูดจากัน"
นี่อาจเป็นเดิมพันสุดท้ายของชีวิต ที่เปี่ยมด้วยสำนึกของการแทนคุณแผ่นดิน
แต่นั่นอาจเป็นส่วนสำคัญที่ปลุกเร้าให้ พล.ท.องค์กร ทองประสม แม่ทัพภาคที่ 4 เดินออกมายืนแถวหน้าอย่างจริงจัง
พูดถึงปัญหาที่แท้จริงของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจัง ผ่านหัวข้อ "ไฟใต้ร้อนระอุ...ทำอย่างไรจึงดับ"
ไฟใต้ที่ยังไม่มอด ไม่ใช่เพราะความคิดความเชื่อที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีความเข้าใจในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ต่างหาก ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง
"ขณะเดียวกัน รัฐก็ไม่ได้ส่งคนลงไปดูแลอย่างแท้จริง แต่กลับไปแสวงหาผลประโยชน์ และให้ความอยุติธรรมในการปกครอง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำจนพวกเขารู้สึกว่าเป็นพลเมืองชั้น 2 ไม่ได้รับการดูแล ทั้งเรื่องการศึกษาและการทำงาน คนเราถ้าถูกกระทำในลักษณะเหมือนไม่ใช่มนุษย์ จะเป็นความทรงจำที่ต้องใช้เวลาในการเยียวยาแก้ไขพอสมควร"
นี่คือ ความคิดที่ตกผลึกของแม่ทัพภาคที่ 4
พล.ท.องค์กร ยังตอกย้ำด้วยว่า ปัญหาสำคัญของการแก้ไข 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คือ "การเมือง" เพราะการเมืองคือส่วนยอดสุดการวางโครงสร้าง และที่ผ่านมาก็วางโครงสร้างอันสลับซับซ้อน แล้วยิ่งมีรัฐมนตรีบางคนลงไปในพื้นที่ถืออำนาจสั่งการ ก็ยิ่งทำให้ระดับปฏิบัติสับสนมากขึ้นไปอีก
แม่ทัพภาคที่ 4 ฟันธงเปรี้ยงลงไปว่า รัฐมนตรีที่ลงไปทำงาน แล้วลงไปสั่งคนโน้นคนนี้ แม้กระทั่งเข้าไปจัดการเรื่องบางเรื่อง ซึ่งมีทั้งงบประมาณและผลประโยชน์ นี่คือการสร้างปัญหาให้กับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่
แน่นอน การแสดงความเห็นของแม่ทัพภาคที่ 4 ถูกตอบโต้ทันทีจาก พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรอง นายกฯ และ รมว.ยุติธรรม ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลปัญหาภาคใต้
แต่นั่นก็ย่อมอยู่ในส่วนที่คาดคำนวณได้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
น่าสนใจก็ตรงที่ว่า อะไรที่ทำให้แม่ทัพภาคที่ 4 หาญกล้าวิพากษ์ความล้มเหลวในการดับไฟใต้ว่า เป็นเพราะรัฐบาลและรัฐมนตรีที่ไม่จริงจัง และไม่มีความรู้มาบริหารจัดการปัญหา
เพราะว่ากันตามจริง พล.ท.องค์กร เพิ่งจะก้าวจาก "แถวสอง" มานั่ง "แถวหน้า" ร่วมกับบรรดาผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ถึงปี
ถึงแม้ว่า พล.ท.องค์กร ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 4 มานาน บรรดาผู้ว่าราชการจังหวัด 3 จังหวัดชายแดน ต่างก็ขึ้นรับตำแหน่งก่อน ซึ่งตรงนี้หากมองในภาพรวมแล้ว เมื่อ พล.ท.องค์กร ขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ทำหน้าที่บูรณาการปัญหาภาคใต้ทั้งหมด ก็อาจจะมีผลต่อ "ท่าที" ในการพูดคุย-สั่งการ ระหว่างแม่ทัพกับผู้ว่าฯ
ที่แม่ทัพภาคที่ 4 กล้าออกมายืนซดกับการเมืองชนิด 3 วันรวดเช่นนี้ ใช่เพราะก่อนหน้านั้น พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ทุ่มสรรพกำลังลงพื้นที่ และชำแหละปัญหาที่แท้จริงของภาคใต้หรือไม่???
ถ้าใช่ นี่จึงนับได้ว่า 4 แม่ทัพภาคได้กำลังใจพิเศษ จนทำให้กล้าที่จะออกมายืนแถวหน้า สนองตอบความต้องการแก้ไขปัญหาชาติอย่างแท้จริง
เพราะมีแต่ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เท่านั้นที่จะรู้ถึงสภาพปัญหา และเลือกแนวทางแก้ไขได้อย่างถูกต้อง
นี่จึงต้องยอมรับว่า เป็นบทบาทของ พล.อ.เปรม โดยแท้ เป็นบทบาทของ "The old soldiers never died"
ทีมข่าวความมั่นคง
http://www.komchadluek.net/2006/08/mili/u001_39605.php?news_id=39605