กาลามชน
|
 |
« เมื่อ: 21-08-2006, 11:18 » |
|
เจตนาของกระทู้นี้ คืออยากเสนอมุมให้มองเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งทาง และอาจจะเป็นคำตอบ FAQ ที่สังคมสงสัยได้หลายข้อ
อนึ่ง ในขณะนี้ผมถือตามข้อวินิจฉัยอย่างเป็นทางการของกรมสรรพากร ที่ถือว่าทักษิณใช้เทคนิคทางกฎหมาย เพื่อให้ได้รับ ยกเว้นภาษี เป็นเรื่องที่สังคมข้องใจกันมากว่า คุณทักษิณรวยขนาดนั้น จะใช้เทคนิคให้ได้รับยกเว้นไปทำไม แม้ว่าจะมีช่องทางให้ทำได้ แต่ทำไมถึงไม่คิดเสียสละให้กับประเทศชาติบ้าง
แต่ผมเชื่อว่าเจตนา ที่ทักษิณใช้เทคนิคเพื่อให้ได้รับการยกเว้นภาษีนั้น มาจากปมอย่างหนึ่งในความคิด ปมที่ว่านี้ ไม่ใช่ความตระหนี่ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว หรือความโลภ อย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อ แต่เป็นเรื่องของทิฐิ ที่จะไม่ยอมเสียเปรียบในสิ่งที่คุณทักษิณเห็นว่าไม่ยุติธรรมกับเขา
การเสียภาษีให้กับประเทศชาติ เป็นความไม่ยุติธรรมตรงไหน ?
จะเข้าใจความคิดของคุณทักษิณ ต้องเข้าใจว่าข้อกำหนดในกฎหมายฉบับปัจจุบัน ห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯถือครองทรัพย์สินหลายประเภท แต่กฎหมายนี้เพิ่งจะมีขึ้นใหม่ๆ และทักษิณเป็นนายกฯนักธุรกิจคนแรกที่โดนบังคับใช้
กฎหมายนี้เหมือนมีเจตนารมณ์ที่ดี คือไม่ต้องการให้ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดมีผลประโยชน์ทับซ้อนในทางธุรกิจได้ แต่น่าสงสัยว่าทำไมกฎหมายนี้จึงเปิดช่อง ยอมให้ถ่ายโอนทรัพย์สินให้คนในครอบครัว เมื่อยอมให้ลูกเมียถือแทนได้ ในทางปฏิบัติก็ไม่ต่างอะไรกับการถือครองเอง แล้วจะไปป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนได้อย่างไร
กฎหมายนี้ จึงเป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์น่าฉงน ฉบับหนึ่ง
กฎหมายที่ใช้ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ที่เป็นมาตรฐานในประเทศทุนนิยม ให้จัดหาองค์กรมาดูแลทรัพย์สินของนักการเมือง เหมือนตั้งผู้จัดการบริหารกองทุน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังคงเป็นเจ้าของในกิจการ ไม่ต้องถ่ายโอนไปให้คนอื่น แต่ต้องยกสิทธิในการบริหารโดยสิ้นเชิงให้ผู้ที่เข้ามาจัดการแบบที่เรียกว่า blind trust แม้วิธีนี้จะป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็มีประสิทธิภาพดีกว่าการให้คนในครอบครัวถือแทนอย่างเทียบกันไม่ได้ ในประเทศทุนนิยมอย่างสหรัฐ ใช้กฎหมายนี้เป็นมาตรการป้องกันมากว่าสามสิบปีแล้ว แล้วทำไมตอนที่เราออกกฎหมาย จึงไม่เลือกใช้วิธีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลในระดับหนึ่ง กลับไปออกกฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ ที่เปิดช่องยอมให้ถ่ายโอนไปให้คนในครอบครัว ซึ่งมีผลลัพท์จริงๆเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้ว คงไม่ต้องอธิบาย
มีผู้วิจารณ์ไว้นานแล้วว่า เจตนาของกฎหมายคือ ต้องการให้เกิดการเสียภาษี !!
เจตนารมณ์ของกฎหมายนี้คือต้องการรีดภาษีนักธุรกิจที่มาเล่นการเมือง เนื่องจากนักการเมืองอาชีพรุ่นเก่า ส่วนมากที่มีพื้นฐานมาจากอาชีพนักกฎหมาย นักการเมืองอาชีพ รู้สึกว่ากลุ่มนักธุรกิจ กำลังก้าวเข้ามาในเวทีการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเลือกออกกฎหมายที่ให้มีการถ่ายโอนทรัพย์สิน ที่จะต้องมีภาระด้านภาษีเกิดขึ้น ตอนที่นักธุรกิจโอนทรัพย์สินก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ก็จะต้องเสียภาษีหนึ่งรอบ พอพ้นจากตำแหน่ง ถ้าจะโอนทรัพย์กลับมาเป็นของตนตามเดิม ก็จะต้องเสียภาษีอีกรอบ นั่นหมายความว่า การเข้ามารับตำแหน่งการเมือง จะต้องเสียภาษีให้รัฐไปเปล่าๆถึงสองรอบ เป็นการสร้างเงื่อนไขให้ต้องเสียภาษี เพื่อกีดกันไม่ให้นักธุรกิจเข้ามาเล่นการเมือง ส่วนนักการเมืองรุ่นเก่าที่มีพื้นฐานอาชีพเป็นนักกฎหมาย จะไม่ได้รับผลกระทบ
เป็นการเรียกเก็บภาษีที่ ยุติธรรม หรือเปล่า ?
เมื่อมีการใช้เล่ห์เหลี่ยม กีดกันนักธุรกิจโดยออกกฎหมายรีดภาษีทางอ้อมแบบนี้ ในมุมมองของทักษิณ คงจะรู้สึกเหมือนถูกนักการเมืองรุ่นเก่า กลั่นแกล้ง เสียเงินให้รัฐ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คงเจ็บใจพิลึก ที่ถูกแกล้งให้ต้องเสียภาษี
การรีดภาษีที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล เป็นการยั่วยุให้คิดหาทาง เอาคืน หรือเปล่า ?
คนอย่างทักษิณ ไม่มีทางยอมโดนเอาเปรียบง่ายๆ คงต้องหาทางตอบโต้ ตอนเข้ารับตำแหน่ง เตรียมตัวไม่ทัน ก็เลยต้องยอมเสียภาษีไปรอบหนึ่ง ถ้าจะให้เสียอีกเป็นรอบที่สองในตอนที่โอนกลับคืน คงจะรับไม่ได้ เมื่อทำได้ ก็คงจะใช้เทคนิคทางกฎหมาย เพื่อให้เสียน้อยที่สุด หรือให้ได้รับยกเว้นภาษี ถือว่าเป็นอารยะขัดขืนรูปแบบหนึ่ง ต่อภาระภาษีที่ไม่ค่อยจะชอบธรรมนัก เส้นทางโอนทรัพย์สินกลับคืน แบบที่ไม่ต้องเสียภาษี จึงถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่พอดีเกิดเหตุมีต่างชาติ เทมาเสก มาของซื้อต่อกิจการก่อนที่จะพ้นวาระ เนติกรที่มีหน้าที่จัดการด้านกฎหมายให้ชินคอร์ป ก็จัดการไปในเส้นทางที่เตรียมไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนในวงการ
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: 21-08-2006, 11:22 » |
|
Bravo!!!!
เนียนมากครับ เด็กที่ไม่รู้กฏหมายอ่านแล้วรับรองได้ว่าเชื่อกันหัวปักหัวปำเลย คุณกาลามชนยอดมาก กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ได้เนียนจริง ๆ กลับข้อกฏหมาย สลับข้างซะเนียน นับถือ นับถือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee. Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath." - Balian of Ibelin -
|
|
|
55555
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: 21-08-2006, 11:45 » |
|
"แต่ผมเชื่อว่าเจตนา ที่ทักษิณใช้เทคนิคเพื่อให้ได้รับการยกเว้นภาษีนั้น มาจากปมอย่างหนึ่งในความคิด ปมที่ว่านี้ ไม่ใช่ความตระหนี่ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว หรือความโลภ อย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อ แต่เป็นเรื่องของทิฐิ ที่จะไม่ยอมเสียเปรียบในสิ่งที่คุณทักษิณเห็นว่าไม่ยุติธรรมกับเขา "
ผมว่าไม่ใช่น๊ะครับ ผมว่าก็เป็นเรื่องขี้เหนียว ไม่อยากเสียภาษีนั่นแหละ........อีกอย่าง คุณทักษิณเป็นคนบ้าอำนาจ กรณีมันเป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่ง คือแบบว่า "ผมไม่จ่ายจะทำไม" ทั้งที่หลายเรื่อง ชัดเจนว่าต้องเสียภาษีครับ
"กฎหมายนี้เหมือนมีเจตนารมณ์ที่ดี คือไม่ต้องการให้ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดมีผลประโยชน์ทับซ้อนในทางธุรกิจได้ แต่น่าสงสัยว่าทำไมกฎหมายนี้จึงเปิดช่อง ยอมให้ถ่ายโอนทรัพย์สินให้คนในครอบครัว เมื่อยอมให้ลูกเมียถือแทนได้ ในทางปฏิบัติก็ไม่ต่างอะไรกับการถือครองเอง แล้วจะไปป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนได้อย่างไร"
"กฎหมายที่ใช้ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ที่เป็นมาตรฐานในประเทศทุนนิยม ให้จัดหาองค์กรมาดูแลทรัพย์สินของนักการเมือง เหมือนตั้งผู้จัดการบริหารกองทุน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังคงเป็นเจ้าของในกิจการ ไม่ต้องถ่ายโอนไปให้คนอื่น แต่ต้องยกสิทธิในการบริหารโดยสิ้นเชิงให้ผู้ที่เข้ามาจัดการแบบที่เรียกว่า blind trust แม้วิธีนี้จะป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็มีประสิทธิภาพดีกว่าการให้คนในครอบครัวถือแทนอย่างเทียบกันไม่ได้ ในประเทศทุนนิยมอย่างสหรัฐ ใช้กฎหมายนี้เป็นมาตรการป้องกันมากว่าสามสิบปีแล้ว แล้วทำไมตอนที่เราออกกฎหมาย จึงไม่เลือกใช้วิธีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลในระดับหนึ่ง กลับไปออกกฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ ที่เปิดช่องยอมให้ถ่ายโอนไปให้คนในครอบครัว ซึ่งมีผลลัพท์จริงๆเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้ว คงไม่ต้องอธิบาย"
ดูเหมือน เค้าจะให้แจงทรัพย์สิน ก่อนรับต่ำแหน่ง และ ตอนพ้นจากต่ำแหน่ง ทั้งลูกและเมียด้วย.......ด้วยวิธีการแบบนี้มันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์..... จึงไม่ใช่เหตุผลที่บอกว่าวิธีที่ใช้ในอเมริกาดีกว่าครับ.....แต่ทั้งหลายทั้งปวง สิ่งสำคัญ ต้องอยู่ทีคุณธรรม และจริยธรรมครับ
เป็นการเรียกเก็บภาษีที่ ยุติธรรม หรือเปล่า ?
เมื่อมีการใช้เล่ห์เหลี่ยม กีดกันนักธุรกิจโดยออกกฎหมายรีดภาษีทางอ้อมแบบนี้ ในมุมมองของทักษิณ คงจะรู้สึกเหมือนถูกนักการเมืองรุ่นเก่า กลั่นแกล้ง เสียเงินให้รัฐ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คงเจ็บใจพิลึก ที่ถูกแกล้งให้ต้องเสียภาษี
การรีดภาษีที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล เป็นการยั่วยุให้คิดหาทาง เอาคืน หรือเปล่า ?
คนอย่างทักษิณ ไม่มีทางยอมโดนเอาเปรียบง่ายๆ คงต้องหาทางตอบโต้ ตอนเข้ารับตำแหน่ง เตรียมตัวไม่ทัน ก็เลยต้องยอมเสียภาษีไปรอบหนึ่ง ถ้าจะให้เสียอีกเป็นรอบที่สองในตอนที่โอนกลับคืน คงจะรับไม่ได้ เมื่อทำได้ ก็คงจะใช้เทคนิคทางกฎหมาย เพื่อให้เสียน้อยที่สุด หรือให้ได้รับยกเว้นภาษี ถือว่าเป็นอารยะขัดขืนรูปแบบหนึ่ง ต่อภาระภาษีที่ไม่ค่อยจะชอบธรรมนัก เส้นทางโอนทรัพย์สินกลับคืน แบบที่ไม่ต้องเสียภาษี จึงถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่พอดีเกิดเหตุมีต่างชาติ เทมาเสก มาของซื้อต่อกิจการก่อนที่จะพ้นวาระ เนติกรที่มีหน้าที่จัดการด้านกฎหมายให้ชินคอร์ป ก็จัดการไปในเส้นทางที่เตรียมไว้
ผมไม่คิดว่าผู้ร่างกฏหมาย ซึ่งน่าจะเป็น สสร. ไม่น่าจะมีแนวคิดแบบนี้น๊ะครับ เรื่องภาษีอาจเป็นเรื่องปลายเหตุแต่ไม่น่าจะเป็นเป้าหมายหลักครับ..........การตรวจสอบทรัพย์ เพียงเพื่อหาสิ่งผิดปรกติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสินทรัพย์ ระหว่างก่อน-หลังเข้าดำรงแหน่ง.........ผมไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่มแนวคิดแบบที่คุณกาลามชนว่า แต่มันแปลกจริง ๆ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: 21-08-2006, 11:48 » |
|
"แต่ผมเชื่อว่าเจตนา ที่ทักษิณใช้เทคนิคเพื่อให้ได้รับการยกเว้นภาษีนั้น มาจากปมอย่างหนึ่งในความคิด ปมที่ว่านี้ ไม่ใช่ความตระหนี่ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว หรือความโลภ อย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อ แต่เป็นเรื่องของทิฐิ ที่จะไม่ยอมเสียเปรียบในสิ่งที่คุณทักษิณเห็นว่าไม่ยุติธรรมกับเขา "
ผมว่าไม่ใช่น๊ะครับ ผมว่าก็เป็นเรื่องขี้เหนียว ไม่อยากเสียภาษีนั่นแหละ........อีกอย่าง คุณทักษิณเป็นคนบ้าอำนาจ กรณีนี้มันเป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่ง คือแบบว่า "ผมไม่จ่ายจะทำไม" ทั้งที่หลายเรื่อง ชัดเจนว่าต้องเสียภาษีครับ
"กฎหมายนี้เหมือนมีเจตนารมณ์ที่ดี คือไม่ต้องการให้ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดมีผลประโยชน์ทับซ้อนในทางธุรกิจได้ แต่น่าสงสัยว่าทำไมกฎหมายนี้จึงเปิดช่อง ยอมให้ถ่ายโอนทรัพย์สินให้คนในครอบครัว เมื่อยอมให้ลูกเมียถือแทนได้ ในทางปฏิบัติก็ไม่ต่างอะไรกับการถือครองเอง แล้วจะไปป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนได้อย่างไร"
"กฎหมายที่ใช้ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ที่เป็นมาตรฐานในประเทศทุนนิยม ให้จัดหาองค์กรมาดูแลทรัพย์สินของนักการเมือง เหมือนตั้งผู้จัดการบริหารกองทุน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังคงเป็นเจ้าของในกิจการ ไม่ต้องถ่ายโอนไปให้คนอื่น แต่ต้องยกสิทธิในการบริหารโดยสิ้นเชิงให้ผู้ที่เข้ามาจัดการแบบที่เรียกว่า blind trust แม้วิธีนี้จะป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็มีประสิทธิภาพดีกว่าการให้คนในครอบครัวถือแทนอย่างเทียบกันไม่ได้ ในประเทศทุนนิยมอย่างสหรัฐ ใช้กฎหมายนี้เป็นมาตรการป้องกันมากว่าสามสิบปีแล้ว แล้วทำไมตอนที่เราออกกฎหมาย จึงไม่เลือกใช้วิธีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลในระดับหนึ่ง กลับไปออกกฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ ที่เปิดช่องยอมให้ถ่ายโอนไปให้คนในครอบครัว ซึ่งมีผลลัพท์จริงๆเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้ว คงไม่ต้องอธิบาย"
ดูเหมือน เค้าจะให้แจงทรัพย์สิน ก่อนรับต่ำแหน่ง และ ตอนพ้นจากต่ำแหน่ง ทั้งลูกและเมียด้วย.......ด้วยวิธีการแบบนี้มันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์..... จึงไม่ใช่เหตุผลที่บอกว่าวิธีที่ใช้ในอเมริกาดีกว่าครับ.....แต่ทั้งหลายทั้งปวง สิ่งสำคัญ ต้องอยู่ทีคุณธรรม และจริยธรรมครับ
เป็นการเรียกเก็บภาษีที่ ยุติธรรม หรือเปล่า ?
เมื่อมีการใช้เล่ห์เหลี่ยม กีดกันนักธุรกิจโดยออกกฎหมายรีดภาษีทางอ้อมแบบนี้ ในมุมมองของทักษิณ คงจะรู้สึกเหมือนถูกนักการเมืองรุ่นเก่า กลั่นแกล้ง เสียเงินให้รัฐ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คงเจ็บใจพิลึก ที่ถูกแกล้งให้ต้องเสียภาษี
การรีดภาษีที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล เป็นการยั่วยุให้คิดหาทาง เอาคืน หรือเปล่า ?
คนอย่างทักษิณ ไม่มีทางยอมโดนเอาเปรียบง่ายๆ คงต้องหาทางตอบโต้ ตอนเข้ารับตำแหน่ง เตรียมตัวไม่ทัน ก็เลยต้องยอมเสียภาษีไปรอบหนึ่ง ถ้าจะให้เสียอีกเป็นรอบที่สองในตอนที่โอนกลับคืน คงจะรับไม่ได้ เมื่อทำได้ ก็คงจะใช้เทคนิคทางกฎหมาย เพื่อให้เสียน้อยที่สุด หรือให้ได้รับยกเว้นภาษี ถือว่าเป็นอารยะขัดขืนรูปแบบหนึ่ง ต่อภาระภาษีที่ไม่ค่อยจะชอบธรรมนัก เส้นทางโอนทรัพย์สินกลับคืน แบบที่ไม่ต้องเสียภาษี จึงถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่พอดีเกิดเหตุมีต่างชาติ เทมาเสก มาของซื้อต่อกิจการก่อนที่จะพ้นวาระ เนติกรที่มีหน้าที่จัดการด้านกฎหมายให้ชินคอร์ป ก็จัดการไปในเส้นทางที่เตรียมไว้
ผมไม่คิดว่าผู้ร่างกฏหมาย ซึ่งน่าจะเป็น สสร. ไม่น่าจะมีแนวคิดแบบนี้น๊ะครับ เรื่องภาษีอาจเป็นเรื่องปลายเหตุแต่ไม่น่าจะเป็นเป้าหมายหลักครับ..........การตรวจสอบทรัพย์ เพียงเพื่อหาสิ่งผิดปรกติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสินทรัพย์ ระหว่างก่อน-หลังเข้าดำรงแหน่ง.........ผมไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่มแนวคิดแบบที่คุณกาลามชนว่า แต่มันแปลกจริง ๆ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
RiDKuN
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: 21-08-2006, 11:54 » |
|
อ่านรัฐธรรมนูญบ้างหรือเปล่าครับคุณกาลามชน มาตรา 209 รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้าง หุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นใน ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติใน กรณีที่รัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป ให้รัฐมนตรีผู้นั้นแจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้รัฐมนตรีผู้นั้นโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้ นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่ กฎหมายบัญญัติ ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้นกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไป บริหารหรือจัดการใด ๆ เกี่ยวกับหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทดังกล่าว ผมจำได้ เพราะอ่านมาตรานี้จนขึ้นใจ ว่าทักษิณมีทางเลือกที่จะไม่ต้องโอนหุ้นให้ลูกเมียก็ได้ นิติบุคคลที่จัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามที่บอกในรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะเป็น blind trust ไม่ผิดเพี้ยน เพราะกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามเข้าไปบริหารจัดการ เท่ากับยกสิทธิ์การจัดการทั้งหมดให้นิติบุคคลนั้น แต่...ทักษิณเลือกที่จะไม่ทำตามที่คุณกาลามชนบอกว่าดี ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เลือกที่จะโอนหุ้นให้ลูกเมีย เพื่อคงความทับซ้อนของผลประโยชน์ไว้ต่อไป  แล้ววันนี้จะมาอ้างว่าไม่อยากเสียภาษีอีกเหรอครับ เอาเปรียบประชาชนไปหน่อยมั้ง 
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2006, 11:56 โดย RiDKuN »
|
บันทึกการเข้า
|
คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
|
|
|
สมชายสายชม
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: 21-08-2006, 12:00 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
snowflake
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: 21-08-2006, 12:07 » |
|
แต่ผมเชื่อว่าเจตนา ที่ทักษิณใช้เทคนิคเพื่อให้ได้รับการยกเว้นภาษีนั้น มาจากปมอย่างหนึ่งในความคิด ปมที่ว่านี้ ไม่ใช่ความตระหนี่ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว หรือความโลภ อย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อ แต่เป็นเรื่องของทิฐิ ที่จะไม่ยอมเสียเปรียบในสิ่งที่คุณทักษิณเห็นว่าไม่ยุติธรรมกับเขา
เชื่อค่ะว่า เหตุผล ประการหนึ่งเป็นอย่างที่ จขกท. เสนอ เขาก็พูดออกมาจากใจให้ได้ยินไปแล้วว่าคิดอย่างไร กับการเสียภาษีมากกว่าใครๆ ในประเทศนี้ คือ รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และเอาเปรียบเขา ผมเสียภาษีมากกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศ(ซึ่งเป็นความเท็จ) และเข้าใจว่านักธรุกิจส่วนใหญ่ก็มีความคิดเช่นเดียวกันนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องกระทำเลยก็ว่าได้ คือต้องหาทางสียภาษีให้น้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากเพื่อให้มีกำไร/รายได้สูงสุดแล้ว (ความโลภ)ยังเป็นความภาคภูมิใจอีกที่สามารถใช้ความฉลาด หลบหลีกเลี่ยงการ รีด ภาษีจากรัฐ ตามช่องทาง ที่กฏหมายเปิดไว้ หรือปิดไม่สนิทพอที่จะลอดไปได้ (ความตระหนี่)โดยไม่คำนึงมากนักว่าภาษีที่จ่ายนั้นก็เพื่อให้รัฐ มีเงินไปใช้จ่ายในการดำเนินการพัฒนาประเทศ และกระจายความเป็นธรรมในสังคมให้แก่ผู้ที่ไม่มี รายได้มาก หรือยากจน (ความเห็นแก่ตัว)ขอถาม จขกท. ว่า เราควรมีผู้นำประเทศที่คิดแบบนี้หรือคะ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even the smallest person can change the course of the future.
|
|
|
RiDKuN
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: 21-08-2006, 12:12 » |
|
อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ไอ้ที่กรมสรรพากรทำนั้น ผมไม่คิดว่าเป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายครับ แต่เป็นการพยายามหลบเลี่ยงกฎหมาย พยายามตีความเข้าข้างตัวเองต่างหาก สตง. กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่ หวังว่าคุณหญิงคงไม่หมดวาระไปเสียก่อนจะได้เรื่อง ไม่งั้นคนชั่วคงลอยนวล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
|
|
|
|
พรรณชมพู
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: 21-08-2006, 13:26 » |
|
อ่านแล้วไร้สาระค่ะ นี่เองเป็นวิธีการของนักวิชาการจอมปลอมทั้งหลาย ที่พยายามเขียนให้วกไปวนมา เพื่อสรุปเอาแบบหน้าด้านๆว่า สิ่งที่ตนพูดมานั้นถูกต้อง
จอห์น เอฟ เคเนดี้ เคยพูดไว้ว่า "อย่าถามว่าประเทศนี้ให้อะไรกับท่าน แต่ถามว่าท่านได้ให้อะไรแก่ประเทศนี้บ้าง"
คำอ้างว่าไม่ยอมเสียเปรียบ เป็นคำอ้างของถ่***สถุลคน เราจะได้ยินคนห่างไกลศาสนาพูดคำนี้บ่อยๆค่ะ ไม่ยอมเสียเปรียบ แต่ได้เปรียบ เอา
การเอาหุ้นไปซุกไว้กับคนใช้คนขับรถ เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายบางข้อ ก็เห็นไดชัดเจนแล้วว่า คนคนนี้เลว และพร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้เปรียบ ดังนั้นการหนีภาษี ก็เป็นการได้เปรียบอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
ตำรวจจับโจรบ้ากามข่มขืนเด็กได้ โจรแก้ตัวว่า เด็กมันยั่ว
โจรปล้นชาติ โกงภาษี ถูกจับได้ มันให้สมุนมาอ้างว่า ทำไปเพราะไม่ยอมโดนเอาเปรียบ
ชั่วทั้งนาย ชั่วทั้งลิ่วล้อค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Cambridge
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: 21-08-2006, 13:51 » |
|
ผมคิดว่า นายกคงไม่อยากเสียภาษีแน่นอน
- ยิ่งมีความได้เปรียบด้านอำนาจบริหารอยู่ในมือ
และผมค่อนข้างแน่ใจว่าอีกปัจจจัยที่ไม่อยากเสียอะไรเลย
- เพราะจากจำนวนเงินทั้งหมดนั้น จาก 73300 ล้านบาท นายกอาจจะไม่ได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์เพราะมีต้นทุนที่ต้องจ่ายคืนให้กับบุคคลหลายๆกลุ่ม เช่น ท่านอาจต้องใช้คืนเงินจำนวนนั้นให้กับเจ้าของเงิน (นายทุน หรือคุณพ่อที่เคารพ หรือผู้มีอุปการะคุณอื่นๆ) ตัวจริงที่ให้ท่านมาลงทุน ถ้าจะให้เดาน่ะ ผมว่าไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของการขายหุ้น และยังมีพวกที่ซิกแซกให้ในเรื่องต่างๆอีกเป็นจำนวนมหาศาล อย่าให้พูดเลยครับแต่มีต้นทุนด้านนี้สูงมากแน่นอน เบ็ดเสร็จแล้วถ้าเสียภาษี จะเหลืออะไรละครับ
สรุปไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ที่กล่าวมา ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ยอมเสียภาษีแน่นอน แต่ไปพลาดที่ โดนประท้วงอย่างหนักเกินความคาดหมาย. . . ตอนจบของเรื่องนี้ น่าติดตาม . . .
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Tomorrow never die!!!
|
|
|
Limmy
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: 21-08-2006, 14:35 » |
|
คนทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ทำมาหากินด้วยความสุจริต ยอมเสียภาษีอย่างเต็มใจ และภูมิใจที่เงินภาษีของเขากลับคืนไปช่วยเหลือประเทศชาติและคนในชาติ
คนแบบนี้น่าสรรเสริญครับ
แต่คนทำมาหากินกับสัมปทาน ธุรกิจผูกขาด จนร่ำรวยล้นฟ้า กลับไม่มีความสำนึกในการที่จะเผื่อแผ่ไปยังแผ่นดินที่ตนเองได้อาศัยเกิดและเลี้ยงกาย
คนแบบนี้สมควรได้รับคำสาปแช่งครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
O_envi
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 21-08-2006, 14:50 » |
|
ผมว่าคนเราบางคนแปลกจริงๆ หน้ามือตามัวขนาดคนที่ไม่เสียภาษีใช้อำนาจ นายกเชียร์กันจังเลย ทำเป็นว่าเข้าใจเขาอย่างกับเป็นตัวเขาเอง ผมถามว่าการใช้อำนาจนายกเลี่ยงภาษีเนี่ยสมควรไหมครับ คนที่เป็นถึงนายกน่าจะมีสมองคิดได้นะ
แถมตอนนี้ยังมีบริการหลังการขายอีก โดดไปอุ้ม itv กุหลาบแก้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
The change musts come one by one.It has to start with you
|
|
|
สี่หามสามแห่
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: 21-08-2006, 15:35 » |
|
อย่าไปว่า ทักกี้ & ลิ่วล้อ ว่าชั่วเลยครับ
เพราะคำว่าชั่วสำหรับพวกมัน ก็เหมือนคำชมว่าทำดี แล้ว
สำหรับพวกนี้ คำว่าชั่วก็เหมือนคำว่า ดี
งง ไหมไม่งง นะ
ฉะนั้น ด่ามันว่า ชั่ว มันก็นึกว่าไปชม มันหน่ะาสิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: 21-08-2006, 15:46 » |
|
พ่อค้าก็อยากจะเสียภาษีน้อยที่สุดตามกฎหมายอยู่แล้ว มันแปลกตรงไหน ครั้งหน้าก็อย่าไปเลือกพ่อค้ามาเป็นนายกสิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
watson
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: 21-08-2006, 16:15 » |
|
พ่อค้าก็อยากจะเสียภาษีน้อยที่สุดตามกฎหมายอยู่แล้ว มันแปลกตรงไหน ครั้งหน้าก็อย่าไปเลือกพ่อค้ามาเป็นนายกสิ
ถูกต้องนะคร๊าบบบบบจำไว้นะครับ มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลาน ว่าอย่าเลือก "พ่อค้า" มาเป็นนายกอีกผมหมายถึง "พ่อค้า" นะครับ ไม่ใช "นักบริหาร" อย่างหน้าเหลี่ยมเป็นได้แค่ "พ่อค้า" ที่หวังแต่กำไรเพียงอย่างเดียวไม่ได้มีความเป็น "นักบริหาร" แต่อย่างใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
so what?
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: 21-08-2006, 16:20 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: 21-08-2006, 16:21 » |
|
พ่อค้าก็อยากจะเสียภาษีน้อยที่สุดตามกฎหมายอยู่แล้ว มันแปลกตรงไหน ครั้งหน้าก็อย่าไปเลือกพ่อค้ามาเป็นนายกสิ
คุณอ่านความคิดเห็นของคนอื่นๆ ยังแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ได้........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผู้เสียภาษี เป็นนิติบุคคล บุคคลธรรมดา หรือ สมาคม องค์กรต่างๆ ได้ให้นักบัญชีทำบัญชีตามระเบียบของกรมสรรพากร ได้รับการยกเว้น การอนุโลม การผ่อนผัน การ...ฯลฯที่เป็นระเบียบ เงื่อนไขของกรมสรรพากรแล้ว... สาธุชนไม่ผู้ใดจะไปติฉินนินทาหรอก มีแต่พวกหมาหางด้วน ยกเป็นข้ออ้างเท่านั้นแหละ....  คนไม่รู้ภาษา คนชอบตะแบง คนชอบแถให้"นาย" จะแสดงความไม่เข้าใจ หรือ บิดเบือนไปอย่างอื่น... ก่อนจะถึงเวลาเลือกตั้ง ผมจะต้องเปิดโปง โพทนา สาปแช่ง และขับไล่ก่อน ไม่โง่หลงกล นิ่งเฉย รอวันเลือกตั้งอย่างที่ทักษิณและลิ่วล้อเรียกร้องให้คนอื่น ๆ ทำตามหรอก.... ปล. คุณ"ชอบแถ" ตอบสนองความคิดของทักษิณได้รวดเร็วมาก ทักษิณเพิ่งจะบอกว่า ไม่ชอบก็อย่าไปเลือกทักษิณ วันที่ 15 ตุลาคม ........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: 21-08-2006, 16:25 » |
|
พ่อค้าก็อยากจะเสียภาษีน้อยที่สุดตามกฎหมายอยู่แล้ว มันแปลกตรงไหน ครั้งหน้าก็อย่าไปเลือกพ่อค้ามาเป็นนายกสิ
ถูกต้องนะคร๊าบบบบบจำไว้นะครับ มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลาน ว่าอย่าเลือก "พ่อค้า" มาเป็นนายกอีกผมหมายถึง "พ่อค้า" นะครับ ไม่ใช "นักบริหาร" อย่างหน้าเหลี่ยมเป็นได้แค่ "พ่อค้า" ที่หวังแต่กำไรเพียงอย่างเดียวไม่ได้มีความเป็น "นักบริหาร" แต่อย่างใด อย่าไปเลือก พ่อค้า ใคร ๆ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งหมด หรือ นักธุรกิจ ใคร ๆ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งหมด เพราะพวกนี้ถือคติประจำใจ ประจำตัวว่า โกงแต่ทำงาน..... นักธุรกิจ พ่อค้าที่ดี ๆ ก็มี ต้องแยกแยะให้ออก อย่าทำให้ทักษิณเป็น ปลาเน่าตัวเดียวทำให้ปลาเน่าตายทั้งข้อง....
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2006, 16:27 โดย ปุถุชน »
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-08-2006, 16:29 » |
|
ไอ้คำว่า โกงแต่ทำงาน คุณเขียนของคุณเองนะ อย่ามาอ้างผม หัดยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงซะบ้างเหอะ ทำตัวน่าเบื่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Şiłąncē Mőbiuş
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: 21-08-2006, 16:43 » |
|
ไอ้คำว่า โกงแต่ทำงาน คุณเขียนของคุณเองนะ อย่ามาอ้างผม หัดยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงซะบ้างเหอะ ทำตัวน่าเบื่อ
คุณก็ยอมรับความจริงบ้างเหอะว่า โอเค ถึงแม้ไอ้ทักกี้มันจะทำงาน แต่มันก็โกงประเทศชาติ มากกว่าหลายเท่า และก็ยอมรับด้วยเถอะว่า ถ้าคนดีๆ ที่ทำงานแบบโปร่งใสนั้น การยอมรับการถูกตรวจสอบมันเป็นเรื่องปรกติ และก็ยอมรับด้วยเถอะว่า ข้อสงสัยต่างๆที่สังคมตั้งคำถาม ถามทักกี้นั้น จนป่านนี้ ทักกี้ยังไม่ออกมาตอบเลย หรือว่าคุณลืมไปแล้ว 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 “People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.” . “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
|
|
|
สะพานหิน
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: 21-08-2006, 16:51 » |
|
เออ...พูดเข้าไปนั่น..ทักกี้โดนนักการเมืองรุ่นเก่ากลั่นแกล้งให้ต้องเสียภาษี
เออ..แล้วไม่ทราบผีนรกซาตานที่ไหนกลั่นแกล้งให้ทักกี้จอมโกงมาเป็นนายกหรือเปล่า
ตัวเองไม่ยอมเสียภาษีแต่เจือกเอาเงินภาษีของปชช.มาผลาญแดร๊กกันเล่น...มันยุติธรรมมากเลยน๊ะ...ฮ่วยยยยยย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
 |
« ตอบ #22 เมื่อ: 21-08-2006, 17:32 » |
|
เดรัจฉาน ย่อมพยายามแถ ตะแบง ช่วยเดรัจฉานด้วยกัน ไม่มีอะไรมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กาลามชน
|
 |
« ตอบ #23 เมื่อ: 21-08-2006, 19:16 » |
|
อ่านรัฐธรรมนูญบ้างหรือเปล่าครับคุณกาลามชน มาตรา 209 รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้าง หุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นใน ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติใน กรณีที่รัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป ให้รัฐมนตรีผู้นั้นแจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้รัฐมนตรีผู้นั้นโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้ นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่ กฎหมายบัญญัติ ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้นกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไป บริหารหรือจัดการใด ๆ เกี่ยวกับหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทดังกล่าว ผมจำได้ เพราะอ่านมาตรานี้จนขึ้นใจ ว่าทักษิณมีทางเลือกที่จะไม่ต้องโอนหุ้นให้ลูกเมียก็ได้ นิติบุคคลที่จัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามที่บอกในรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะเป็น blind trust ไม่ผิดเพี้ยน เพราะกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามเข้าไปบริหารจัดการ เท่ากับยกสิทธิ์การจัดการทั้งหมดให้นิติบุคคลนั้น แต่...ทักษิณเลือกที่จะไม่ทำตามที่คุณกาลามชนบอกว่าดี ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เลือกที่จะโอนหุ้นให้ลูกเมีย เพื่อคงความทับซ้อนของผลประโยชน์ไว้ต่อไป  แล้ววันนี้จะมาอ้างว่าไม่อยากเสียภาษีอีกเหรอครับ เอาเปรียบประชาชนไปหน่อยมั้ง  คุณ RiDKuN ที่คุณเข้าใจนั้นถูกเพียงครึ่งเดียว คุณมองแต่การป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และมองเห็นว่านี่คือวิธี blind trust ตามข้อกฎหมายที่คุณยกมา แต่คุณไม่ได้มองว่ามีเงื่อนไขแฝงเร้น ที่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องภาษี ตามประเด็นของกระทู้ กฎหมายที่คุณยกมานั้นสร้างปัญหา เพราะสั่งให้มีการ โอน ตามข้อความที่คุณขีดเส้นใต้ไว้ ซึ่งก่อให้เกิดภาระทางภาษี ตามที่ผมเข้าใจกฎหมาย blind trust จริงๆ ไม่มีการโอนทรัพย์สิน.. นักการเมืองยังคงเป็นเจ้าของกิจการต่อไป แต่เสียสิทธิ์ในการบริหาร โดยให้เลือกนิติบุคคลมาเป็นผู้จัดการบริหารแทน เมื่อไม่มีการโอนทรัพย์สิน ก็ไม่เกิดภาระด้านภาษี ผมขอถามว่า ถ้าไทยออกกฎหมาย เหมือนกับต่างประเทศ คือให้นักการเมืองยังคงเป็นเจ้าของกิจการได้ แต่ให้เสียสิทธิ์ในการบริหาร โดยไม่ต้องโอนทรัพย์สิน และไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดจากการโอน จะถูกต้องและเป็นธรรมกว่าหรือไม่ ถ้าคิดว่าเป็นธรรมมากกว่า ก็ควรสรุปได้ว่ากฎหมายปัจจุบันไม่เป็นธรรมกับนักธุรกิจที่เล่นการเมือง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2006, 22:05 โดย กาลามชน »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สี่หามสามแห่
|
 |
« ตอบ #24 เมื่อ: 21-08-2006, 21:00 » |
|
แล้วใครใช้ ให้พ่้อค้ามาเป็นนักการเมือง
สรุปทุกวันนี้ไอ้ทักกี้ มันเป็นพ่อค้าใช่ไหม ตายห่ะ นึกว่ามันเป็นนายก มาตั้งนั้น
มิน่าคนโบราณเค้าถึงบอกว่า
อย่าเอาพ่อค้ามาเป็นเจ้า เพราะมันจะพากันฉิบหายทั้งพารา
นึกถึงคำในเรื่อง เหมือนแร่เลยว่ะ
"พ่อค้าไม่มีนรก หรือ สวรรค์หรอกคุณ พ่อค้ามีแต่ กำไร หรือ ขาดทุน"
จั***แท้ ไอ้ชอบแถ เลวเหมือนนายมรึงเลยว่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
1ktip
|
 |
« ตอบ #25 เมื่อ: 21-08-2006, 22:24 » |
|
งานการเมืองคือการอาสาเข้ามารับใช้ประเทศชาตินะครับ ไม่มีใครบังคับให้ท่านเข้ามา
ถ้าคิดว่ากฏหมายไม่เป็นธรรมอย่างที่คุณว่า ก็ไม่ควรรับตำแหน่งแต่แรกครับ
หรือคิดว่าได้ตำแหน่งแล้วสร้างบุญคุณให้คนบางกลุ่ม แล้วตนเองจะทำอะไรก็ได้
ถ้าทักษิณควรลาออกไปเกาะกินสัมปทานต่อ ยังจะไม่น่าสมเพชเท่าที่เป็นอยู่ และประพฤติอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #26 เมื่อ: 21-08-2006, 22:35 » |
|
อ่านรัฐธรรมนูญบ้างหรือเปล่าครับคุณกาลามชน มาตรา 209 รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้าง หุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นใน ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติใน กรณีที่รัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไป ให้รัฐมนตรีผู้นั้นแจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้รัฐมนตรีผู้นั้นโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้ นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่ กฎหมายบัญญัติ ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้นกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไป บริหารหรือจัดการใด ๆ เกี่ยวกับหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทดังกล่าว ผมจำได้ เพราะอ่านมาตรานี้จนขึ้นใจ ว่าทักษิณมีทางเลือกที่จะไม่ต้องโอนหุ้นให้ลูกเมียก็ได้ นิติบุคคลที่จัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามที่บอกในรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะเป็น blind trust ไม่ผิดเพี้ยน เพราะกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามเข้าไปบริหารจัดการ เท่ากับยกสิทธิ์การจัดการทั้งหมดให้นิติบุคคลนั้น แต่...ทักษิณเลือกที่จะไม่ทำตามที่คุณกาลามชนบอกว่าดี ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เลือกที่จะโอนหุ้นให้ลูกเมีย เพื่อคงความทับซ้อนของผลประโยชน์ไว้ต่อไป  แล้ววันนี้จะมาอ้างว่าไม่อยากเสียภาษีอีกเหรอครับ เอาเปรียบประชาชนไปหน่อยมั้ง  คุณ RiDKuN ที่คุณเข้าใจนั้นถูกเพียงครึ่งเดียว คุณมองแต่การป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และมองเห็นว่านี่คือวิธี blind trust ตามข้อกฎหมายที่คุณยกมา แต่คุณไม่ได้มองว่ามีเงื่อนไขแฝงเร้น ที่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องภาษี ตามประเด็นของกระทู้ กฎหมายที่คุณยกมานั้นสร้างปัญหา เพราะสั่งให้มีการ โอน ตามข้อความที่คุณขีดเส้นใต้ไว้ ซึ่งก่อให้เกิดภาระทางภาษี ตามที่ผมเข้าใจกฎหมาย blind trust จริงๆ ไม่มีการโอนทรัพย์สิน.. นักการเมืองยังคงเป็นเจ้าของกิจการต่อไป แต่เสียสิทธิ์ในการบริหาร โดยให้เลือกนิติบุคคลมาเป็นผู้จัดการบริหารแทน เมื่อไม่มีการโอนทรัพย์สิน ก็ไม่เกิดภาระด้านภาษี ผมขอถามว่า ถ้าไทยออกกฎหมาย เหมือนกับต่างประเทศ คือให้นักการเมืองยังคงเป็นเจ้าของกิจการได้ แต่ให้เสียสิทธิ์ในการบริหาร โดยไม่ต้องโอนทรัพย์สิน และไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดจากการโอน จะถูกต้องและเป็นธรรมกว่าหรือไม่ ถ้าคิดว่าเป็นธรรมมากกว่า ก็ควรสรุปได้ว่ากฎหมายปัจจุบันไม่เป็นธรรมกับนักธุรกิจที่เล่นการเมือง ผมขอถามว่า ถ้าไทยออกกฎหมาย เหมือนกับต่างประเทศ คือให้นักการเมืองยังคงเป็นเจ้าของกิจการได้ แต่ให้เสียสิทธิ์ในการบริหาร โดยไม่ต้องโอนทรัพย์สิน และไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดจากการโอน จะถูกต้องและเป็นธรรมกว่าหรือไม่ ถ้าคิดว่าเป็นธรรมมากกว่า ก็ควรสรุปได้ว่ากฎหมายปัจจุบันไม่เป็นธรรมกับนักธุรกิจที่เล่นการเมืองคุณ กาลามชน.... ในประเทศไทยก็มีกฏหมายให้นักธุรกิจที่มีทรัพย์สินถึงเกณฑ์นั้น สามารถมอบหมายให้คนอื่นบริหารแทน โดยเจ้าของไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่มีอำนาจเหนือกว่าระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมือง(custody)(?) ก็มี และมีคนแนะนำแล้ว แต่ทักษิณไม่ยอม.... ทักษิณเชื่อว่า"นิติกรบริการ"และอลัชชีทางกฏหมาย จะช่วยเหลือเขาได้.... นอกจากนั้นทักษิณกลัวว่า คณะบุคคลหรือบุคคล(custody) จะไม่ยอมทำผิดกฎหมาย ไม่ยอมฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วย..... 
พวกเขาไม่กล้าจัดการดีลซื้อขายชินคอร์ปให้ทักษิณ แน่นอน....... เพราะฉนั้นอย่าเบียงเบนเจตนาของทักษิณ..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2006, 22:36 โดย ปุถุชน »
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #27 เมื่อ: 21-08-2006, 22:40 » |
|
จั***แท้ ไอ้ชอบแถ เลวเหมือนนายมรึงเลยว่ะ
มึ-.ง-.นั่นแหละ-.จั-.ญ-.ไ-.รแท้ไอ้.-ระ-.ยำ ไม่มีเหตุผลคิดแต่จะด่า ไม่ยอมเหมือนกันโว้ย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #28 เมื่อ: 21-08-2006, 22:42 » |
|
เดาว่าคุณปุถุชนไม่เคยทำธุรกิจ และไม่เข้าใจคำว่าอำนาจบริหารที่แท้จริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AsianNeocon
|
 |
« ตอบ #29 เมื่อ: 21-08-2006, 22:47 » |
|
เดาว่าคุณปุถุชนไม่เคยทำธุรกิจ และไม่เข้าใจคำว่าอำนาจบริหารที่แท้จริง
คุณปุถุชนจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ไม่ใช่คนที่ไร้ศักดิ์ศรีชาติพันธุ์ต่ำ ทำตัวเป็น "ลูกกะป้อ" ให้คนอื่นแบบคุณชอบแถครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #30 เมื่อ: 21-08-2006, 22:48 » |
|
ไอ้คำว่า โกงแต่ทำงาน คุณเขียนของคุณเองนะ อย่ามาอ้างผม หัดยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงซะบ้างเหอะ ทำตัวน่าเบื่อ
ไอ้คำว่า โกงแต่ทำงาน คุณเขียนของคุณเองนะ อย่ามาอ้างผม  ผมไปกล่าวหาคุณ"ชอบแถ" เมื่อไหร่ แต่ผมขอยืนยันว่า คนรักทักษิณใน"ราชดำเนิน เสรีไทยเว็บบอร์ด ใช้คำนี้เพื่อยกย่องทักษิณเสมอ ทำให้คนไทยส่วนหนึ่ง มีคุณธรรม จริยธรรมเสื่อม.....  ปล. คุณ ชอบแถ ไม่เคยอ่าน ไม่เคยรู้อย่างผมบ้างหรือ............ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #31 เมื่อ: 21-08-2006, 22:51 » |
|
เดาว่าคุณปุถุชนไม่เคยทำธุรกิจ และไม่เข้าใจคำว่าอำนาจบริหารที่แท้จริง
เวลานี้ ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด(CEO)ของกลุ่มบริษัทหนึ่ง ที่จัดอยู่ใน 500 บริษัท หรือ 1000 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย......  ผมว่าผมเข้าใจ" ธรรมาภิบาลทั้งในธุรกิจเอกชนว่าเป็นอย่างไร 
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2006, 22:53 โดย ปุถุชน »
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #32 เมื่อ: 21-08-2006, 22:54 » |
|
เดาว่าคุณปุถุชนไม่เคยทำธุรกิจ และไม่เข้าใจคำว่าอำนาจบริหารที่แท้จริง
เวลานี้ ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด(CEO)ของกลุ่มบริษัทหนึ่ง ที่จัดอยู่ใน 500 บริษัท หรือ 1000 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย......  ผมว่าผมเข้าใจ" ธรรมาภิบาลทั้งในธุรกิจเอกชนว่าเป็นอย่างไร  อ๋อเหรอ ผมก็เคยเป็นนะ ติด 1 ใน 1000 เหมือนกัน แต่ตอนนี้ย่อยยับเพราะฝีมือท่านนายกแล้ว แต่ผมก็ไม่มีวิสัยทึบอย่างคุณหรอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #33 เมื่อ: 21-08-2006, 23:39 » |
|
แหม คิดไปได้ ทำไมไม่เอาscrip นี้ให้นายกอ่านหล่ะ จะได้ไม่ต้องประกาศยุบสภา แต่สงสัยต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #34 เมื่อ: 21-08-2006, 23:41 » |
|
เดาว่าคุณปุถุชนไม่เคยทำธุรกิจ และไม่เข้าใจคำว่าอำนาจบริหารที่แท้จริง
เวลานี้ ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด(CEO)ของกลุ่มบริษัทหนึ่ง ที่จัดอยู่ใน 500 บริษัท หรือ 1000 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย......  ผมว่าผมเข้าใจ" ธรรมาภิบาลทั้งในธุรกิจเอกชนว่าเป็นอย่างไร  ผู้บริหารอะไรของมันวะ เล่นเน็ตทั้งวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #35 เมื่อ: 21-08-2006, 23:49 » |
|
เดาว่าคุณปุถุชนไม่เคยทำธุรกิจ และไม่เข้าใจคำว่าอำนาจบริหารที่แท้จริง
เวลานี้ ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด(CEO)ของกลุ่มบริษัทหนึ่ง ที่จัดอยู่ใน 500 บริษัท หรือ 1000 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย......  ผมว่าผมเข้าใจ" ธรรมาภิบาลทั้งในธุรกิจเอกชนว่าเป็นอย่างไร  ผู้บริหารอะไรของมันวะ เล่นเน็ตทั้งวัน ปล. ผมจะไม่ตอบคุณชอบแถอีกแล้ว ให้"อมภูเขาทอง "มาพูด คนรักทักษิณ ไม่ยอมเชื่ออยู่แล้ว.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #36 เมื่อ: 21-08-2006, 23:50 » |
|
ระวังจะกลืนน้ำลายนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #37 เมื่อ: 22-08-2006, 00:21 » |
|
Bravo!!!!
เนียนมากครับ เด็กที่ไม่รู้กฏหมายอ่านแล้วรับรองได้ว่าเชื่อกันหัวปักหัวปำเลย คุณกาลามชนยอดมาก กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ได้เนียนจริง ๆ] กลับข้อกฏหมาย สลับข้างซะเนียน นับถือ นับถือ
ฮืมม์ คนอ่านไม่ได้เฉลียวใจคิด จะเห็นพ้องด้วย......................ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
THX
|
 |
« ตอบ #38 เมื่อ: 22-08-2006, 00:42 » |
|
เดาว่าคุณปุถุชนไม่เคยทำธุรกิจ และไม่เข้าใจคำว่าอำนาจบริหารที่แท้จริง
เวลานี้ ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด(CEO)ของกลุ่มบริษัทหนึ่ง ที่จัดอยู่ใน 500 บริษัท หรือ 1000 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย......  ผมว่าผมเข้าใจ" ธรรมาภิบาลทั้งในธุรกิจเอกชนว่าเป็นอย่างไร  ผู้บริหารอะไรของมันวะ เล่นเน็ตทั้งวัน ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จน่ะ ไม่ใช่ทำงานเก่งนะครับ แต่มีเวลาว่างมากต่างหาก คือผู้บริหารที่เก่ง การทำงานที่ประสบความสำเร็จคือ ธุรกิจโตขึ้น และผู้บริหารมีเวลาว่างมากขึ้น รู้จักใช้คนในบังคับบัญชาให้ทำงานตามที่ต้องการ ระดับ CEO น่ะ ไม่ลงไปจับงานหรอก สั่งอย่างเดียวยิ่งเจ้าของบริษัทที่ประสบความสำเร็จน่ะ ทุก ๆ วันคือวันหยุด สำหรับคนที่มีกิจการส่วนตัว มีลูกน้องให้ใช้สอย ลองมองไปสิครับว่าเราเป็นเจ้าของกิจการ เป็นผู้บริหาร ตำแหน่งนี้ได้มายากแค่ไหน ทำไมต้องเหนื่อยอีก เราเป็นเจ้านาย ทำไมต้องมานั่งทำงาน คิดนู้น คิดนี่ให้ปวดหัว ขณะที่พนักงานใต้บังคับบัญชา แค่มาทำงานกลับบ้านนอนหลับสลายไม่ต้องคิดอะไรมาก สิ้นเดือนรับเงิน ทำงานไปซักพัก ลาพักร้อน ลาหยุด ลาป่วย สิ้นปีรับโบนัส ถ้า CEO ไม่ฉลาด ก็ต้องมาจับงานทำเองหมด เหนื่อยตายเลย แล้วมีพนักงานไว้ทำอะไร เป้นเจ้าของ เป็นผู้บริหาร ต้องสบายกว่าพนักงานใต้บังคับบัญชาสิ ไม่ใช่เหนื่อยกว่า
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2006, 00:46 โดย THX »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กาลามชน
|
 |
« ตอบ #39 เมื่อ: 22-08-2006, 08:12 » |
|
Bravo!!!!
เนียนมากครับ เด็กที่ไม่รู้กฏหมายอ่านแล้วรับรองได้ว่าเชื่อกันหัวปักหัวปำเลย คุณกาลามชนยอดมาก กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ได้เนียนจริง ๆ กลับข้อกฏหมาย สลับข้างซะเนียน นับถือ นับถือ
คุณคนในวงการ และคุณปุถุชน ผมไม่ได้กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ ผมเพียงแต่ชี้ว่าในกฎหมายที่ดูเหมือนจะเป็นสีขาวนั้น มีสีดำแฝงตัวนอนก้นอยู่ ผมก็เพียงแต่ชี้ให้คนมองดูสีดำที่ซ่อนอยุ่ข้างใต้สีขาว ก็เท่านั้น แล้วมันก็มีอยู่จริงอย่างที่ผมบอกใช่ไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นู๋เจ๋ง
|
 |
« ตอบ #40 เมื่อ: 22-08-2006, 08:45 » |
|
คนดี คนที่มีจิตสำนึกดี เขาไม่ใช้ช่องว่าง มุมมืดของกฎหมายมาโต้แย้ง ยกเว้นพวกโจร คนร้ายหาช่องเอาตัวรอด ยิ่งคนเป็นผู้นำ ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ในการเสียสละ และภาวะผู้นำต้อง เข้าขั้นสูงในทางใฝ่ดี
แต่ นายแมว ไม่มีจิตสำนึกของความเป็นคนไทยที่ดีเลยแม้แต่น้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
|
|
|
AsianNeocon
|
 |
« ตอบ #41 เมื่อ: 22-08-2006, 09:23 » |
|
Bravo!!!!
เนียนมากครับ เด็กที่ไม่รู้กฏหมายอ่านแล้วรับรองได้ว่าเชื่อกันหัวปักหัวปำเลย คุณกาลามชนยอดมาก กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ได้เนียนจริง ๆ กลับข้อกฏหมาย สลับข้างซะเนียน นับถือ นับถือ
คุณคนในวงการ และคุณปุถุชน ผมไม่ได้กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ ผมเพียงแต่ชี้ว่าในกฎหมายที่ดูเหมือนจะเป็นสีขาวนั้น มีสีดำแฝงตัวนอนก้นอยู่ ผมก็เพียงแต่ชี้ให้คนมองดูสีดำที่ซ่อนอยุ่ข้างใต้สีขาว ก็เท่านั้น แล้วมันก็มีอยู่จริงอย่างที่ผมบอกใช่ไหม ก็คือการศรีธนญSHINไง คนที่คิดแบบนี้ได้ แปลว่า ชาติชั่ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
katindork
|
 |
« ตอบ #42 เมื่อ: 22-08-2006, 10:09 » |
|
สั้นๆง่ายๆนะครับ นาย กาลามขน
ไม่ใช่หน้าที่กงการอะไรของนายที่ออกมาพูดแทน ถ้าจริงอย่างที่คิด เรียกนายทักษิณออกมาพูดเอง นอกนั้นอย่ากินเผือก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
so what?
|
 |
« ตอบ #43 เมื่อ: 22-08-2006, 10:38 » |
|
ท่าน ThaiTruth โดนทั้งสามดอกจะๆ ได้ไปสิบคะแนนเต็มครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
 |
« ตอบ #44 เมื่อ: 22-08-2006, 11:04 » |
|
ผมว่าถ้าคุณทักษิณผิดมันก็คือผิดกฏหมายครับ....คุณทักษิณเองมีวุฒิภาวะพอที่จะรู้ว่ามันผิด แต่ยังฝืนทำ หากเป็นคนธรรมดาก็คงไมมีใครไปสนใจหรอกครับ.....แต่นี่เป็นถึงผู้นำประเทศ........คงไม่มีใครให้อภัยแบบ กรณีซุกหุ้น ภาค 1 แล้วครับ....เพราะ 5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนเรียนรู้ครับว่า การให้อภัยคุณทักษิณในคราวนั้น ก่อให้เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ อย่างไรบ้าง.........คุณกาลามชน เองก็คงมีวุฒิภาวะพอเช่นกันในการพิจารณา เหตุและผลของเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา อย่าพยายามทำในสิ่งที่มันขัดกับใจตนเองเลยครับ.....ลองถามใจตัวเองก่อนว่า สิ่งที่ผู้คนกล่าวหามันมีข้อเท็จจริงอยู่หรือไม่.....ลองตรองดูครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2006, 19:14 โดย 55555 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กาลามชน
|
 |
« ตอบ #45 เมื่อ: 22-08-2006, 16:11 » |
|
คนที่ร่างกฎหมายมีเจตนาร้ายแฝงอยู่ เท่าที่ดูก็รู้สึกว่าไม่มีใครค้านในประเด็นนี้ ส่วนการที่นายกฯพยายามใช้เทคนิคต่างๆหลบเลี่ยงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ก็เป็นเรื่องจริง ที่ผมไม่ค้าน บอกตรงๆ ผมก็เห็นว่า นายกทำไม่ถูกไม่ควร ที่พยายามหลบเลี่ยง เพราะควรเป็นตัวอย่างที่ดี แต่ก็มีเหตุผลที่ควรได้รับความเห็นใจอยู่บ้าง ก็เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สี่หามสามแห่
|
 |
« ตอบ #46 เมื่อ: 22-08-2006, 16:42 » |
|
ขอลบ ครับเนื่องจากกระผมใช้วาจาจาบจ้วงคุณลุง ปุถุชน กราบขออภัยอย่างสูงครับ หวังจะได้รับการอภัยจากคุณ ปุถุชน ครับ
ขอโทษจริงๆ ครับ คุณลุงปุถุชน T_T
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2006, 23:42 โดย สี่หามสามแห่ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชอบแถ
|
 |
« ตอบ #47 เมื่อ: 22-08-2006, 16:45 » |
|
อ้าวไปว่ากันเองซะแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
snowflake
|
 |
« ตอบ #48 เมื่อ: 22-08-2006, 17:25 » |
|
คนที่ร่างกฎหมายมีเจตนาร้ายแฝงอยู่ เท่าที่ดูก็รู้สึกว่าไม่มีใครค้านในประเด็นนี้ ส่วนการที่นายกฯพยายามใช้เทคนิคต่างๆหลบเลี่ยงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ก็เป็นเรื่องจริง ที่ผมไม่ค้าน บอกตรงๆ ผมก็เห็นว่า นายกทำไม่ถูกไม่ควร ที่พยายามหลบเลี่ยง เพราะควรเป็นตัวอย่างที่ดี แต่ก็มีเหตุผลที่ควรได้รับความเห็นใจอยู่บ้าง ก็เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม
ไม่น่าเห็นใจเลยสักนิด กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมมีมากมาย ชาวบ้านเขาก็ต้องทนใช้กันทั้งนั้น หากคุณทักษิณรู้สึกไม่เป็นธรรมต่อตนเอง ก็ต้องไปเรียกร้องมีการแก้ไข "ตามขั้นตอน" เหมือนชาวบ้านสิคะ จะมาใช้อภิสิทธิ์ (ที่ไม่ใช่หัวหน้าพรรคปชป.  ) ทำตามอำเภอใจ โดยอาศัยฐานะ "พิเศษ" ได้อย่างไร ... สมควรถูกด่าค่ะ ยังมีหน้ามาบอกให้ชาวบ้าน "เคารพกติกา" อีก พูดได้ไม่ละอายปากบ้างเลย 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Even the smallest person can change the course of the future.
|
|
|
ปุถุชน
|
 |
« ตอบ #49 เมื่อ: 22-08-2006, 17:47 » |
|
Bravo!!!!
เนียนมากครับ เด็กที่ไม่รู้กฏหมายอ่านแล้วรับรองได้ว่าเชื่อกันหัวปักหัวปำเลย คุณกาลามชนยอดมาก กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ได้เนียนจริง ๆ กลับข้อกฏหมาย สลับข้างซะเนียน นับถือ นับถือ
คุณคนในวงการ และคุณปุถุชน ผมไม่ได้กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ ผมเพียงแต่ชี้ว่าในกฎหมายที่ดูเหมือนจะเป็นสีขาวนั้น มีสีดำแฝงตัวนอนก้นอยู่ ผมก็เพียงแต่ชี้ให้คนมองดูสีดำที่ซ่อนอยุ่ข้างใต้สีขาว ก็เท่านั้น แล้วมันก็มีอยู่จริงอย่างที่ผมบอกใช่ไหม 1. คุณกาลามชนคิดว่าความคิดเห็นของคุณกับคุณทักษิณ เป็นอันหนึ่งเดียวกันหรือไม่  เดี๋ยวคุณทักษิณปฎิเสธว่าไม่ได้คิดเหมือนคุณ ทักษิณจะถูกด่าฟรี คุณจะรับผิดชอบหรือไม่  2. เจ้าของที่ดินผืนใหญ่ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย นอกจากปลูกต้นกล้วย 2 ต้น ไม่เข้าใจหรอกว่า เขาต้องเสียภาษีแพงกว่าที่ดินที่ของคนอื่นใช้ทำประโยชน์คุ้มค่า เพราะอะไร  3. ทักษิณที่พูดแผ่นเสียงตกร่องทุกครั้งว่า ปฏิบัติตามกฎหมาย กติกา และรัฐธรรมนูญทุกครั้ง ไม่เข้าใจหรือไม่ กฏหมายที่ใช้กับทุกคนไม่ยกเว้น แม้แต่เขา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
|